ตอนที่ 29 เลือกเขาไม่สู้เลือกฉัน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 29 เลือกเขาไม่สู้เลือกฉัน

หลินม่ายเห็นว่าเถียหนิวไม่ได้มีท่าทางเฉลียวฉลาดนัก เลยพูดกับเขาว่าให้ขายเกาลัดแค่ครึ่งชั่งและหนึ่งชั่ง ประเด็นคือกลัวว่าถ้าขายได้ไม่กี่ขีดเขาจะคิดเงินไม่ได้

เถียหนิวเอ่ยถามว่า “แล้วคนที่ซื้อหนึ่งชั่งครึ่งหรือสองชั่งไม่ต้องขายเหรอ?”

หลินม่ายใช้ไม้พายคนเกาลัดพลางเอ่ยว่า “ขายสิ  ถ้านายคิดเงินได้ก็ขายได้”

เถียหนิวเอ่ยอย่างไร้เดียงสา “เงินแค่นี้ฉันคิดได้อยู่แล้ว”

ไม่นานเกาลัดก็ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล แผงขายทั้งสองคนเริ่มเต็มไปด้วยลูกค้าอีกครั้ง

หลินม่ายคือจอมกะล่อนในวงการค้าขาย ทั้งยังขายเก่งอีกด้วย

ในทางกลับกันเถียหนิวกลับทำไม่ได้เลย เมื่อมีลูกค้าเข้ามาเขากลับทำตัวไม่ถูก กระทั่งเจอคนอวดดี หยิบเกาลัดหนึ่งกำมือเขาก็ได้แต่เบิกตากว้าง

หลินม่ายทนดูไม่ได้ เลยให้เขารับหน้าที่แค่คั่วเกาลัด ส่วนเธอจะขายเอง

เธอควบคุมกำลังไฟในเตาของตัวเองให้ต่ำลง ถึงจะทั้งขายทั้งคั่วได้

ไม่อย่างนั้นหากไฟลุกโหม เกรงว่าเกาลัดในกระทะคงจะไหม้เกรียม ทั้งที่มือก็ยังหยุดขายไม่ได้

แม่เถียหนิวทำอาหารมื้อค่ำอยู่ที่บ้าน เมื่อทำเสร็จ ก็นั่งกินกับเจ้าตัวเล็กทั้งสองแล้ว จากนั้นก็พาเด็กทั้งสองไปส่งข้าวด้วยกัน

นางให้หลินม่ายกินก่อน ส่วนนางก็มาคั่วเกาลัด

แม้นางจะอายุมากแล้ว แต่เรี่ยวแรงยังใช้ได้ ทว่าสิ่งที่เหมือนกับลูกชายก็คือนางคิดเงินไม่ได้

ต้องมีหลินม่ายช่วยคิดเงินอยู่ข้าง ๆ  ไม่อย่างนั้นนางเองก็ยากจะรับมือ

เมื่อหลินม่ายกินข้าวเสร็จ ก็มาคั่วเกาลัดขายต่อ ส่วนแม่เถียหนิวก็ไปเปลี่ยนมือกับเถียหนิว

เมื่อทั้งสองคนกินอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว แม่เถียหนิวก็เก็บข้าวของและพาเด็กทั้งสองกลับไป

ชีวิตกลางคืนในยุคสมัยนี้ยังไม่เจริญรุ่งเรืองนัก ประกอบกับอยู่ในช่วงฤดูหนาว ลมหนาวในตอนกลางคืนปะทะกับความเหน็บหนาวในแม่น้ำเจียงพาให้หนาวสะท้านมากยิ่งขึ้น

สองทุ่มผ่านไป บนถนนก็ร้างซึ่งผู้คน หลินม่ายและเถียหนิวจึงเก็บแผงกลับบ้าน

แม่เถียหนิวพาสองเด็กหญิงกลับมาล้างหน้าบ้วนปาก เตรียมพาพวกหล่อนเข้านอน

นางชี้ไปยังห้องทางซ้ายมือพลางเอ่ยกับหลินม่ายว่า “ห้องนั้นเป็นห้องที่ดีที่สุด ฉันจัดให้เธออยู่กับโต้วโต้ว ส่วนเสื้อผ้าของพวกเธอฉันจัดเก็บใส่ตู้ไว้เรียบร้อยแล้ว”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ” จากนั้นก็เอ่ยถามนางถึงเรื่องจำนวนของข้าวสาร แป้งหมี่และน้ำมัน

แม่เถียหนิวโบกมือไปมา “ของเหล่านั้นช่างมันเถอะ เราพาเด็กมาอยู่บ้านเธอ จะมากินฟรีอยู่ฟรีได้ไงเล่า”

“ช่างเถอะได้ยังไงคะ หนูเชิญพวกคุณมาช่วย ยังจะให้พวกคุณมาออกค่าของพวกนี้อีกใช้ได้ที่ไหน?”

หลินม่ายหยิบธนบัตรสองใบยื่นออกไป “นี่คือเงินค่าของพวกนี้ ถ้าไม่พอก็ขอโทษด้วย ส่วนผักดองกับผักสดไม่คิดเงินนะคะ”

แม่เถียหนิวพูดโกหกออกไป “ต่อให้มีผักสดและผักดองก็ไม่น่าจะมีมูลค่ามากขนาดนี้ มันมากเกินไป!” กล่าวจบ ก็คืนธนบัตรกลับไปหนึ่งใบ

ให้คือให้ หลินม่ายคงเอากลับคืนมาไม่ได้

ในใจของเธอไม่ชอบคนที่ไม่ยอมสะสางบัญชีให้ชัดเจน เธอชอบให้พี่น้องชัดเจนเรื่องเงิน

เพราะแม่เถียหนิวไม่ยอมสะสางบัญชี เธอเลยต้องจ่ายมากขึ้น

แม่เถียหนิวกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าเกรงใจ จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “วันนี้ขายได้เท่าไหร่ล่ะ”

หลินม่ายไม่อยากนับเงินต่อหน้าสองแม่ลูก กลัวว่าพวกเขาเห็นว่าตนหาเงินได้มาก แล้วจะคิดไม่ซื่อในใจ

แต่เมื่อคิดทบทวนหนึ่งตลบ ถ้าไม่ให้พวกเขารู้ว่าตนหาเงินได้เท่าไหร่ อาจเกิดการเดามั่ว พูดให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า

ถ้าพวกเขารู้ว่าตัวเองหาเงินได้มาก คงจะแยกตัวออกไปทำเอง

สองแม่ลูกเถียหนิวต่างไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ ยิ่งแยกตัวออกไปทำเองยิ่งเป็นไปไม่ได้

ไม่ชอบเงินเดือนต่ำ? ก็ออกไปสิ ค่าแรงห้าหยวนต่อหนึ่งวัน คงจะชวนใครไม่ได้!

ที่เธอชวนเถียหนิว เพราะเห็นถึงความขยันขันแข็งของเขา แต่เขา…

ทำให้หลินม่ายรู้สึกหมดคำพูด….

“ฉันยังไม่มีเงินหมุนเวียนที่ชัดเจนนะคะ” หลินม่ายนำเงินที่ขายได้ในวันนี้ออกมานับอย่างโจ่งแจ้ง

หลังแยกเงินทุน รวมทั้งเงินเดือนของสองแม่ลูกเถียหนิว ก็ได้กำไรสุทธิยี่สิบเจ็ดหยวน

แต่ระยะเวลาในการขายวันนี้ค่อนข้างสั้น พรุ่งนี้ต้องขายให้นานกว่านี้ ถึงจะมีรายได้มากขึ้น

แม่เถียหนิวต้มน้ำอาบเรียบร้อย ส่วนหลินม่ายรีบอาบน้ำเย็นแล้วรีบซุกตัวในผ้าห่มทันที ตั้งใจว่าซักเสื้อผ้าที่ใส่แล้วพรุ่งนี้เช้า

สองแม่ลูกเถียหนิวเข้านอนทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ

แม่เถียหนิวคิดถึงธุรกิจที่หลินม่ายใช้เวลาขายเกาลัดช่วงห้าโมงเย็นถึงสองทุ่ม เป็นเวลาสามชั่วโมง ก็สามารถสร้างเงินได้แล้วกว่ายี่สิบกว่าหยวน จึงเกิดความลำเอียงขึ้นในใจจนนอนไม่หลับ

นางครุ่นคิดว่าถ้าพวกตนสองแม่ลูกตั้งแผงขายเกาลัดจะขายดีสู้หลินม่ายได้ไหม?

แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองตั้งแผงขายก็ต้องมากังวลอีก

ในเมืองสู้ในชนบทไม่ได้ คนในเมืองต่างตื่นตัวกันตลอดเวลา พวกตนสองแม่ลูกรับมือกันไม่ได้แน่นอน

ให้หลินม่ายกินเนื้อไป ส่วนสองแม่ลูกอย่างพวกนางดื่มแค่น้ำแกงไปแล้วกัน

…..แต่ถ้าหลินม่ายกลายเป็นลูกสะใภ้ของนาง ต่อให้หลินม่ายหาเงินได้มากเท่าไหร่ก็ล้วนแต่เป็นของครอบครัวนาง

คิดได้เช่นนี้ แม่เถียหนิวก็ครุ่นคิดหาทางว่าทำอย่างไรถึงจะชักจูงหลินม่ายมาเป็นสะใภ้ของตนได้

ครั้นถึงเวลาสามทุ่มตรงก็พากันเข้านอน เพราะยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่

วันที่สอง หลินม่ายตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าครึ่ง

หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้าสกปรกของตัวเองออกไปซัก แต่กลับถูกแม่เถียหนิวแย่งไปเสียก่อน “ป้าซักเอง หนูพักเถอะ”

หลินม่ายคิดจะแย่งมาซักเอง

แม้จะให้เงินเดือนแม่เถียหนิว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกัน คงจะให้นางมาทำตัวเทียบเท่ากับแม่ของเธอไม่ได้

ไม่อย่างนั้นพวกชาวบ้านอาจลอบกัดเธอ หาว่าเธอไม่มีมนุษยธรรม แม้แต่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ไม่ไว้หน้า

แม่เถียหนิวกลับใช้แรงแขนที่แข็งแรงกว่าเบี่ยงหลบไปด้านข้าง “ไม่กี่ตัวเอง เธอจะแย่งป้าเหรอ?”

หลินม่ายทำได้แค่ถอดใจ หยิบตะกร้าใบหนึ่งออกไปเก็บก้อนหินริมน้ำ ใช้ก้อนหินมาคั่วเกาลัดไม่ให้ไหม้เกรียม

วิธีการนี้ต่อให้จะไม่ได้คั่วในหม้อโดยตรง แต่ก็เหมาะกับการคั่วเกาลัดของเธอ

ก้อนหินที่ใช้คั่วเกาลัดมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ไม่อย่างจะสิ้นเปลืองฟืน

หลินม่ายใช้ตะกร้าขุดทรายริมแม่น้ำ อาศัยช่องว่างระหว่างตัวตะกร้า ร่อนเม็ดทรายทั้งหมดทิ้ง เหลือไว้แต่ก้อนหิน

จากนั้นก็เลือกหินก้อนใหญ่ทิ้ง เหลือไว้แต่หินขนาดเท่าเม็ดถั่ว งานนี้ทำเองได้ไม่ยาก

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลินม่ายก็รวบรวมก้อนหินไว้จนเต็มตะกร้า ก่อนจะนำมันมาล้างน้ำจนสะอาด เก็บใส่ตะกร้าและขนกลับบ้าน

เมื่อเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านก็ไม่คิดว่าจะเจอกับเฉียนกั๋วเหลียง

หลินม่ายไม่อยากสนใจเขา จึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น เดินผ่านเขาไป

เฉียนกั๋วเหลียงกลับไล่ตามอย่างไม่ลดละ พลางตะโกนจากด้านหลังของเธอ  “ฉันได้ยินมาว่า ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ผู้ชายของเธอ”

แม้เมื่อวานนี้จะมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมาช่วยเธอขนย้ายเกาลัด แต่ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการเปิดธุรกิจย่อมเยาทั้งนั้น

ไม่มีใครถามว่าสองแม่ลูกเถียหนิวนั้นเป็นใคร ต่างคิดว่าเป็นแม่สามีและผู้ชายของเธอ เธอเองก็ไม่ได้ชี้แจงถึงสถานะของสองแม่ลูกคู่นั้นต่อหน้าทุกคนให้ชัดเจน

เพราะไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร แค่สองแม่ลูกเถียหนิวอยู่ในหมู่บ้านแค่สองสามวัน ทุกคนก็นำไปพูด สุดท้ายก็รู้กันทั้งบาง

หลินม่ายเกิดความสงสัยในใจว่าทำไมคนเสเพลผู้นี้ถึงรู้เร็วนัก หรือว่าเขาไปสอบถามกับเถียหนิวตั้งแต่เช้า?

เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันยังไม่ทันบอกเลยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชายของฉัน ใครบอกคุณไม่ทราบ?”

เฉียนกั๋วเหลียงเกิดความลำพองใจเล็กน้อย “ฉันเอาลูกกวาดไปให้ตัวจิ๋วสองคนนั้น พวกหล่อนบอกฉันหมดทุกอย่าง”

หลินม่ายครุ่นคิด กลับไปจะต้องสั่งสอนเด็กสองคนนั้นให้ตระหนักถึงความปลอดภัยเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนพวกโจรล่อลวงด้วยลูกกวาดจนถูกลักพาตัวไปง่าย ๆ แน่

เฉียนกั๋วเหลียงเห็นหลินม่ายไม่พูดอะไร จึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเธอเลือกพ่อของนิวนิวก็ไม่สู้เท่าเลือกฉันหรอก พ่อของนิวนิวซื่อบื้อจะตายไป เขาจะช่วยอะไรเธอได้? ฉันช่วยธุรกิจของเธอได้นะ”

ผู้ชายที่เสเพลไปวัน ๆ ใครบ้างที่จะไม่เกียจคร้าน ไม่ตะกละ แล้วก็เอาถ่านกับเขา?

หวังให้เขาทำธุรกิจ ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว

อีกอย่างหลินม่ายยังไม่อยากหาผู้ชาย ตัวเองอยากหาเงินเพื่อใช้จ่ายสำหรับสองแม่ลูก เลี้ยงดูโต้วโต้วให้ดีที่สุด เมื่อตัวเองแก่ตัวลง โต้วโต้วจะได้ดูแลตน มีช่วงเวลาแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ทำไมจะต้องหาผู้ชายให้ปวดหัว!

ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่เลือกใครทั้งนั้น!”

เฉียบนกั๋วเหลียงยังตื้อเธอ

หลินม่ายเก็บกิ่งไม้หยาบ ๆ จากพื้นอย่างฉับพลัน แล้วฟาดใส่เขาอย่างเต็มแรง

ฟาดไปก็ตะโกนด่าไปด้วยความฉุนเฉียว “ถ้าคุณกล้าตื๊อฉันอีก ฉันจะไปแจ้งตำรวจ บอกว่าคุณลอบทำร้ายฉัน ตอนนี้อยู่ในช่วงปราบปรามพอดี ให้ตำรวจตัดสินว่าคุณเป็นพวกนักเลงหัวไม้ กินกระสุนสักนัดดีไหม?”

เฉียนกั๋วเหลียงตื่นตกใจจนหนีกระเจิง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

หยุดมโนเลยป้า ม่ายจื่อไม่ยอมแน่นอน ถึงตอนนั้นคงไล่ป้ากับลูกชายออกจากงานแทน

มาเจ้าชู้ไก่แจ้ผิดคนแล้วตานี่ โดนม่ายจื่อฟาดกลับไปเป็นไง

ไหหม่า(海馬)