หลังจากที่นากาได้วิ่งไล่ตามเอริซาเบธไปตามถนนริมสนามหญ้าสักพัก อยู่ดีๆ เอริซาเบธที่วิ่งนำเขาอยู่นั้นก็ได้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันจนทำให้นากาแทบจะชนเข้ากับเธอ
 

แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยปากถามหาสาเหตุที่เธอหยุดวิ่งลง เขาก็ได้สังเกตเห็นตัวอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอิฐสีขาวตรงหน้าเข้าซะก่อน

 

ซึ่งถึงแม้ว่าตัวอาคารสีขาวเบื้องหน้าเขานั้นจะดูค่อนข้างเล็กกว่าตัวอาคารเรียนอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็ทอดยาวไปจนเกือบจะสุดเขตสนามหญ้าที่กว้างนับร้อยเมตร

 

“โหโฮวววว~”

 

“อย่าบอกนะว่าตึกหลังนี้คือโรงอาหารน่ะ? มันจะไม่ใหญ่เกินไปหน่อยหรือไงน่ะ?”

 

ในระหว่างที่พรีมูล่าส่งเสียงออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจนั้น นากาเองก็พยายามเก็บอาการตกตะลึงของตัวเองและเอ่ยปากถามเอริซาเบธขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเห็นตัวอาคารสีขาวนี้ตั้งแต่ทีแรกที่เดินเข้ามาในโรงเรียนแล้ว แต่ว่าด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมันนั้นก็ทำให้เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นโรงอาหารเลยแม้แต่น้อย

 

“เห็นเขาว่ากันว่าก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงอาหารมันเคยเป็นคลังแสงสำหรับเก็บอาวุธขนาดใหญ่หรืออะไรพวกนั้นมาก่อนน่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงแค่ไหนเหมือนกันสิ”

 

“เดี๋ยวก่อนนะ… เห็นเอริกะเขาบอกว่าโรงเรียนนี้เคยเป็นโบสถ์มาก่อนไม่ใช่หรอ”

 

นากาที่ได้ยินว่าตัวโรงอาหารนั้นเคยเป็นคลังแสงมาก่อนก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามเรื่องที่คาใจเขาอยู่ออกมา

 

“โบสถ์… อ้อ ถ้าหมายถึงอาคารเรียนที่เธอเข้าไปยื่นเอกสารก่อนจะเริ่มสอบนั่นก็น่าจะตามนั้นแหล่ะ”

 

“แล้วถ้าเป็นแบบนั้นทำไมในโบสถ์ถึงมีคลังเก็บอาวุธด้วยล่ะ?”

 

“เอ๋ะ? แล้วมันทำไมอ่ะพี่นากา? ขนาดในบ้านของพี่เอริกะยังมีห้องเก็บอุปกรณ์เลยนะ ทำไมในโบสถ์ถึงจะมีคลังเก็บอาวุธบ้างไม่ได้อ่ะ?”

 

เมื่อนากาได้ยินคำถามของพรีมูล่าที่ถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสานั้น เขาก็กะพริบตามองเธอเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา ก่อนที่จะหันไปฟังคำตอบของเอริซาเบธแทน

 

“เอาจริงๆ ทั้งเรื่องโบสถ์ทั้งเรื่องคลังเก็บอาวุธนี่มันเป็นเรื่องที่คนเขาเล่าต่อๆ กันมาเฉยๆ น่ะ เรื่องจริงจะเป็นยังไงฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ~”

 

เอริซาเบธพูดตอบขึ้นมาพลางเดินเข้าไปลูบเสาอิฐสีขาวบริเวณประตูหน้าของตัวอาคาร ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อค้ำยันหลังคาที่ยื่นออกมาด้านหน้า

 

“อีกอย่างหนึ่ง ถึงจะบอกกันว่ามันเคยเป็นนู้นเป็นนี่มาก่อนก็เถอะ แต่ว่าตัวอาคารพวกนี้มันก็ถูกดัดแปลงไม่ก็บูรณะมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะ ไม่แน่ว่าที่จริงมันอาจจะเคยเป็นโรงพยาบาลหรือห้องสมุดก็ได้นะใครจะไปรู้ล่ะ”

 

“เอ๋… แบบนี้ก็หมายความว่าที่พี่เอริกะเขาเล่ามาไม่เป็นความจริงหรอ?”

 

“ก็ไม่รู้สินะ~ ทางโรงเรียนเขาก็ไม่ได้เที่ยวป่าวประกาศซะด้วยสิ อีกอย่างหนึ่ง ต่อให้อาคารนี้จะเคยเป็นคลังแสงมาก่อนจริงๆ มันก็อาจจะเป็นของทางวังก็ได้นี่ เพราะว่าแถวนี้ก็ไม่ได้อยู่ห่างจากวังหลวงสักเท่าไหร่ด้วยนะ”

 

“เอ๊ะ… แต่ว่าเอริกะเขา…”

 

เมื่อนากาได้ยินเอริซาเบธพูดขึ้นมาแบบนั้นเขาก็เลิกคิ้วมองเธออย่างแปลกใจในทันที เพราะว่าในสายตาของเขาแล้ว เอริกะนั้นดูเหมือนจะเป็นผู้รอบรู้ที่เก่งกาจไปในทุกด้าน ทำให้เขานึกว่าทุกอย่างที่เธอพูดขึ้นมานั้นจะเป็นเรื่องจริงซะอีก ซึ่งเอริเซเบธที่เห็นท่าทางสับสนของนากาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา

 

“อ้ะใช่แล้ว~ ถ้าเป็นพวกเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นี่ เป็นไปได้อย่าไปถามคุณเอริกะเขาจะดีกว่านะ เพราะว่าคุณเอริกะเขาไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนั้นเลยน่ะ~”

 

“เอ๋? ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องพวกนี้ไว้สักหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรอ?”

 

“นั่นสิ? ตอนอยู่ที่หมู่บ้านพวกอาจารย์เขายังบังคับให้หนูเรียนเลยอ้ะ”

 

“…ก็เพราะว่าฉันไม่สนใจเรื่องที่มันปนเปื้อนได้ง่ายยิ่งกว่าเชื้อโรคแบบนั้นยังไงล่ะ”

 

ในระหว่างที่นากาและพรีมูล่ากำลังถามเอริซาเบธกลับไปอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงของเอริกะดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของสองพี่น้อง

 

และเมื่อเอริซาเบธเห็นว่าเอริกะที่มายืนฟังพวกเธอคุยกันได้สักพักแล้วนั้นเอ่ยปากพูดขึ้นมา เธอก็เลยรีบแกล้งทำเป็นโบกมือทักทายไปในทันที

 

“ว่าไงคะคุณเอริกะ~ เมื่อกี้เห็นวิ่งซะวุ่นเลยไม่ใช่หรอคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?”

 

“อื้อ ก็พอดีจำวันผิดนิดหน่อยน่ะ แต่ได้นั่งพักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

 

“เล่นทำเอาพวกฉันหัวใจแทบวายเลยนะ!/ ช่าย!ขนาดหนูเองยังตกใจแทบแย่เลย!”

 

“อ่ะ—”

 

เอริกะที่ได้ยินทั้งสองคนโวยวายมาแบบนั้นก็ถึงกับทำให้เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรีบกระแอ่มคอออกมาเบาๆ พร้อมพูดเปลี่ยนประเด็นกลับไปทันที

 

“ฮะแฮ่ม— เรื่องวันสอบนั่นมันผ่านไปแล้วก็ช่างมันไปละกันเนอะ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมฉันถึงไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ก็เพราะว่ามันน่ารังเกียจน่ะสิ”

 

“น่ารังเกียจหรอ…?”

 

“อื้ม… แต่ก่อนอื่นต้องอธิบายให้ฟังก่อนสินะ สำหรับฉันแล้วคนที่ทำหน้าที่บันทึกประวัติศาสตร์น่ะมันมีอยู่สามประเภทด้วยกัน”

 

เอริกะพูดขึ้นมาพร้อมกับเหลือบตาไปมองเอริซาเบธเล็กน้อย ซึ่งเอริซาเบธที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเอริกะกำลังจะพูดอะไรขึ้นมาก็ส่ายหางจิ้งจอกไปมาพลางลูบหัวของตนอย่างเขินๆ

 

“ประเภทแรกเป็นคนที่เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ พวกเขาสามารถยอมรับและเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้และบันทึกมันลงไปอย่างเที่ยงธรรม… ต้องบอกว่ากลุ่มคนพวกนี้แหล่ะที่มีส่วนช่วยให้พวกเราสามารถหยุดปัญหาเดิมๆ ได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นซ้ำสองน่ะ”

 

“หือ? ไม่ใช่ว่าปกติแล้วเขาก็ทำกันอย่างงั้นอยู่แล้วหรอกหรอ”

 

“ถ้านักประวัติศาสตร์ทุกคนเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ… แต่ว่าโลกนี้ยังมีคนประเภทที่สองอยู่อีกด้วย คนประเภทนี้จะเป็นพวกที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับประวัติศาสตร์และอยากให้ชื่อของตัวเองถูกเล่าต่อๆ กันไป

 

พวกเขาจะเขียนประวัติศาสตร์จากมุมมองของตัวเองและสอดแทรกเรื่องที่พวกเขาทำลงไปเพื่อที่จะทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือน่ะ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรกับคนประเภทนี้หรอกนะ… ขอแค่พวกเขาไม่มาบังคับให้ฉันอ่านก็พอแล้ว”

 

“อ่าหะ ราวๆ ว่าตระกูลของตัวเองได้สร้างวีรกรรมอะไรไว้บ้างแบบนั้นสินะ”

 

“อื้มๆๆ ~”

 

นากาที่ได้ยินเอริกะอธิบายมานั้นก็พอจะทำความเข้าใจได้ ในระหว่างที่พรีมูล่านั้นก็ได้พยายามทำสีหน้าจริงจังและพยักหน้ารัวๆ จนทุกคนไม่แน่ใจว่ามีอะไรเข้าหัวเธอไปบ้างหรือเปล่ากันแน่

 

“แต่ว่าที่ฉันเกลียดที่สุดน่ะมันคือคนประเภทสุดท้ายนี่ต่างหาก… พวกมันพยายามที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่พวกมันได้ทำลงไป โดยการสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาบังหน้าแล้วก็เอาไปเที่ยวป่าวประกาศให้คนรับรู้ แถมยังพยายามที่จะปิดบังเรื่องที่พวกมันได้ทำลงไปทุกวิถีทางอีกต่างหาก”

 

“หะ—”

 

ซึ่งพอนากาได้ยินแบบนั้นเขาก็เบิ่งตามองเอริกะอย่างประหลาดใจก่อนจะรีบถามเธอกลับไปในทันที

 

“ไม่ใช่ว่าปกติแล้วเรื่องพวกนั้นมันต้องมีการตรวจสอบแล้วก็ค้นคว้าก่อนถึงจะอนุญาตให้เผยแพร่หรอกหรอ?”

 

“ก็ใช่ แต่ว่าถ้าเธอมีกำลังคนหรืออำนาจมากพอก็ไม่เห็นจะต้องไปสนใจอะไรแบบนั้นเลยใช่มั้ยล่ะ~”

 

“น—นี่เธอกำลังหมายความว่ายังไงน่ะ”

 

นากาที่ได้ยินอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยจากปากของเอริกะก็ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก แต่ว่าเอริกะก็ทำเพียงแค่ยักไหล่และเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับเอริซาเบธแทน

 

“นั่นสิน๊า~ จริงด้วยสิเอริ วันนี้โรงอาหารเปิดอยู่ใช่มั้ย? ถ้าได้กาแฟเพิ่มสักแก้วน่าจะดีมากเลยล่ะ~”

 

“อ–เอ๋ะ— เดี๋ย—”

 

“อ๋อ! เปิดสิคะ~ ถึงจะไม่ครบทุกร้านเพราะว่าปิดภาคเรียนอยู่ก็เถอะ แต่ว่าร้านกาแฟกับร้านขนมน่าจะยังเปิดอยู่นะคะ”

 

“เอ่ะ มีขนมด้วยหรอ~ พี่นากาไปกันเถอะ!!”

 

และเมื่อพรีมูล่าได้ยินคำว่าขนมเธอก็รีบหันมามองเอริซาเบธตาเป็นประกาย โดยที่ไม่ได้สนใจพี่ชายของตนที่กำลังอ้าปากอึ้งกับความเร็วในการเปลี่ยนประเด็นของเอริกะอยู่เลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้างั้นเราก็เข้าไปด้านในกันเถอะพริมจัง~ แล้วไหนๆ พวกเธอก็เพิ่งจะสอบเสร็จกันทั้งที เดี๋ยวฉันเลี้ยงขนมให้เป็นรางวัลดีมั้ยเอ่ย~”

 

“เย้~ ไปกันเถอะพี่นากาาาา~”

 

“ด—เดี๋ยว—”

 

เมื่อพรีมูล่าได้ยินคำว่าเลี้ยงขนม เธอก็ร้องขึ้นมาอย่างดีใจและคว้าแขนของนากาเพื่อที่จะให้เขาเดินเข้าไปในโรงอาหารทันที แต่ว่านากาก็ยังยืนอึ้งอยู่กับที่จนทำให้เอริซาเบธที่เห็นแบบนั้นเดินเข้าตบไหล่เขาอย่างเห็นใจ

 

“เหนื่อยหน่อยนะนากาคุง แต่ว่าคุณเอริกะเขาก็แบบนี้แหละ ถ้าเกิดว่าเธอคิดจะไม่บอกอะไร ต่อให้เอาขนมมาล่อเธอก็ไม่พูดหรอก”

 

“ไอเอาขนมมาล่อนี่คิดว่าน่าจะใช้ได้ผลแค่กับยัยพรีมูล่าคนเดียวนะ…”

 

“ฮะฮะ แต่ถ้าเป็นคุกกี้ก็ไม่แน่หรอกมั้ง~ ว่าแต่พอจะเข้าใจสาเหตุที่คุณเอริกะเขาไม่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์รึยังล่ะนากาคุง?”

 

“จะว่าเข้าใจมันก็เข้าใจแหล่ะ… แต่ว่าที่เอริกะเขาพูดขึ้นมาตอนท้ายสุดนั่นหมายความว่าไงกันแน่น่ะ…”

 

ทันทีที่ได้ยินนากาพูดขึ้นมาแบบนั้น เอริซาเบธก็ยักไหล่ด้วยท่าทางเดียวกับเอริกะ ก่อนจะหันไปลูบหัวของพรีมูล่ากำลังพยายามลากนากาให้เดินเข้าไปในโรงอาหารอยู่

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาถอนหายใจออกมาเพราะดูท่าว่าเอริซาเบธก็คงจะไม่พูดอธิบายให้เขาเข้าใจเหมือนกัน เขาจึงได้หันไปชะโงกหน้ามองดูด้านในโรงอาหารนั่นแทน

 

“ใหญ่เอาเรื่องเหมือนกันแฮะ…”

 

นากาพูดขึ้นมาหลังจากที่เขาเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่ทางฝั่งหนึ่งของมันมีโต๊ะโลหะยาวเหยียดนับสิบตัวตั้งเรียงรายกันไปเป็นทางยาว ในขณะที่ทางฝั่งซ้ายมือนั้นก็ถูกแบ่งเป็นล็อกๆ ให้ร้านขายอาหารได้จับจองที่ ถึงแม้ว่าในขณะนี้จะมีแค่บางร้านเท่านั้นที่เปิดให้บริการก็ตาม

 

“ก็นะ โรงเรียนนี้มีนักเรียนตั้งหลายร้อยคนนี่นา แถมเผลอๆ บางปีก็ยังทะลุหลักพันเลยซะด้วยซ้ำ ถ้าโรงอาหารไม่ใหญ่ขนาดนี้ก็คงเอาไม่อยู่หรอก~”

 

“บู่วววววว พี่นากาช้าอ่ะ!!หนูเข้าไปเองก่อนก็ได้ แบร่!”

 

ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง อยู่ดีๆ พรีมูล่าก็ได้เป่าปากเสียงดังและปล่อยมือของเธอออกจากแขนของนากาก่อนจะเดินนำเข้าไปหาเอริกะก่อนในทันที เพราะว่าการที่เอริซาเบธมาลูบหัวของเธอนั้นเทียบไม่ได้กับการที่เอริกะบอกว่าจะเลี้ยงขนมเธอเลยแม้แต่น้อย

 

“อ่าว พรีมูล่าเขางอลหนีไปแล้วนะ ไม่ต้องรีบตามไปง้อหรอ?”

 

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวขนมเข้าปากเมื่อไหร่ก็กลับมาซนเหมือนเดิมเองแหล่ะ ว่าแต่เธอบอกว่าจะมาตามใครไปซ่อมสนามไม่ใช่หรอเอริซาเบธ?”

 

“ช่าย~ น่าจะอยู่ในโรงอาหารเนี่ยล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันเข้าไปเดินหาข้างในก่อนละกันนะ~”

 

และเมื่อเอริซาเบธพูดจบเธอก็เดินเข้าไปด้านในโรงอาหารทันที โดยปล่อยให้นากาไม่อยากกินอะไรสักเท่าไหร่นักยืนชมบรรยากาศอันเงียบสงบของโรงอาหารอยู่คนเดียว

 

“หือ…?”

 

ในระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆ โรงอาหารอยู่นั้นเอง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นกระจกอันเล็กๆ ที่ถูกแขวนประดับเอาไว้ในล็อกขายอาหารอันหนึ่ง ซึ่งมันก็สะท้อนภาพของเขาที่กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้า โดยมีอะไรสักอย่างสีเขียวๆ เหลืองๆ กำลังโยกไปมาอยู่ที่ด้านหลังของเขา

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบหันกลับไปมองในทันที แต่ว่าเขาก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย มีเพียงถนนที่ว่างเปล่ากับนักเรียนบางคนที่กำลังเดินอยู่ไกลๆ

 

และในขณะที่เขากำลังจะหันกลับไปเพื่อดูกระจกบานนั้นให้ชัดๆ ว่าเขาตาฝาดไปเองหรือเปล่านั้น อยู่ดีๆ ก็มีใบหน้าของเด็กสาวผมสีเหลืองแซมเขียวที่กำลังฉีกยิ้มกว้างพุ่งเข้ามาใช้นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเธอจ้องมองใบหน้าของเขาในระยะประชิดโดยที่นากานั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเธอเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

“เหวอ!!?”

 

 

ปึ้ง!!

 

“แฮ่ก…แฮ่ก…”

 

ในขณะเดียวกันที่โบสถ์หลังเล็กๆ สภาพเก่าทรุดโทรมซึ่งตั้งอยู่ในป่าลึกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองรีมินัสนั้น อยู่ดีๆ ประตูไม้ผุๆ ของมันก็ได้ถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงจนแทบจะหลุดออกมา

 

ซึ่งผู้ที่ใช้ฝ่าเท้าเตะประตูให้เปิดออกและรีบวิ่งเข้ามาหลบด้านในนั้นก็ไม่ใช่ใครซะจาก นิลิม หญิงสาวผมสีชมพูร่างเล็กที่เคยพยายามติดต่อหาเอริกะผ่านแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมสีดำในวันแรกที่พวกนากาเพิ่งจะมาถึงเมืองนั่นเอง

 

โดยสภาพของนิลิมตอนนี้นั้นก็ยังมีแท่งเหล็กสีดำปักยึดแขนทั้งสองข้างของเธอให้ติดกันอยู่ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาถึงสามวันแล้วก็ตาม ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุให้เธอต้องยกเท้าขึ้นถีบบานประตูให้เปิดออกนั่นเอง

 

“ให้ตายสิ… การเดินทางก็ล่าช้าจะตายอยู่แล้วยังจะมีคนมาตามล่าอีก… หวังว่าเซซิเรียจะไม่เป็นอะไรนะ…”

 

เธอบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่จะรีบใช้ไหล่ของตนดันประตูขึ้นสนิมขนาดใหญ่นั่นให้ปิดกลับไปตามเดิม

 

และเมื่อเห็นว่าตัวเองน่าจะปลอดภัยแล้ว เธอจึงได้หันไปมองดูรอบๆ สถานที่ที่เธอเข้ามาหลบอยู่ด้านใน ซึ่งเธอก็พบว่ามันคือโบสถ์ขนาดเล็กที่มีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้างเอาไว้นานแล้ว

 

โดยเก้าอี้ไม้แถวยาวที่ถูกตั้งเรียงกันไว้กลางห้องนั้นก็ได้ผุพังลงไปตามกาลเวลา รวมถึงกำแพงและเพดานเองก็พังถล่มลงมาบางส่วนและถูกปกคลุมด้วยไม้เลื้อย และยิ่งไปกว่านั้น รูปปั้นอะไรบางอย่างที่เหมือนจะเป็นเทพีที่โบสถ์นี้นับถือนั้นได้ก็หักกลางและถล่มลงมาทับเก้าอี้บางส่วนไปอีกด้วย

 

“เป็นสถานที่ที่ทำให้รู้สึกสงบดีใช่มั้ยล่ะคะ ถึงตอนนี้จะเหลือแค่ซากไปแล้วก็เถอะ~”

 

“—!?”

 

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของฐานรูปปั้นที่หักครึ่งนั้น ทำให้นิลิมที่กำลังมองสำรวจดูรอบๆ ต้องรีบหันไปทางต้นเสียงทันที

 

ซึ่งเธอก็พบกับเด็กสาวหูแมวผมสีดำตาสองสีในชุดเดรสสีชมพูอ่อนประดับด้วยลูกไม้ซึ่งสวมผ้าคลุมหัวสีขาวโปรงใสคล้ายๆ กับที่พวกแม่ชีสวมใส่กัน

 

“ยินดีต้อนรับสู้โบสถ์ของหนูค่ะ~ แฮะๆ ถึงมันจะเป็นแค่สถานที่ชั่วคราวก็เถอะ…”

 

“ท—ที่นี่มีคนอยู่หรอ…!? ขอโทษทีฉันนึกว่ามันเป็นโบสถ์ร้างน่ะ!เดี๋ยวจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

 

“อ่ะ เดี๋ยวสิคะพี่สาว!”

 

ทันทีที่เด็กสาวได้ยินนิลิมขอโทษขอโพยและทำท่าเหมือนกับจะวิ่งกลับออกไปทันทีแบบนั้นเธอก็รีบร้องห้ามอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจดูเหล็กสีดำที่ปักแขนทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้ด้วยกันใกล้ๆ

 

“นี่พี่สาวไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บขนาดนี้เนี่ย? ไหนๆ ก็ได้พบกันแล้วทั้งทีแล้ว พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือเปล่าว่ากำลังหนีอะไรมาอยู่น่ะ?”

 

เด็กสาวตาสองสีพูดขึ้นมาหลังจากจ้องมองบริเวณปากแผลของนิลิมที่มีน้ำแข็งสีแดงจากเลือดของเธอคอยช่วยห้ามเลือดเอาไว้ไม่ให้ไหลทะลักออกมา

 

“เอาเป็นว่ามีคนกลุ่มนึงไล่ตามฉันมาอยู่น่ะ… ถึงเพื่อนของฉันจะช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ก็เถอะ แต่ดูเหมือนว่าจะมีพวกมันหลุดรอดมาได้บางส่วน… ถ้าเธอไม่อยากติดร่างแหไปด้วยก็เปิดประตูให้ฉันออกไปเร็ว!”

 

นิลิมที่เห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าท่าทางจะไม่ปล่อยเธอไปไหนง่ายๆ ก็พยายามอธิบายอย่างรวบรัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำท่าเหมือนกับว่าจะถีบประตูให้เปิดออกอีกครั้งเพื่อที่จะออกไปหาที่หลบที่อื่นจะได้ไม่ทำให้เด็กสาวตรงหน้าต้องโดนลูกหลงไปด้วย

 

ซึ่งเด็กสาวตาสองสีที่เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งมาขวางประตูเอาไว้และร้องห้ามเธอออกมาทันที

 

“เดี๋ยวสิคะ พี่สาวไม่ต้องหนีไปไหนหรอก”

 

แต่ทันใดนั้นเองเด็กสาวก็กลับพูดออกมาพร้อมดึงตัวของนิลิมกลับออกมาจากประตู ก่อนที่เธอนั้นจะนำตัวเองมาขวางระหว่างนิลิมและประตูโบสถ์เอาไว้

 

“ท–ทำอะไรของเธอน่ะ–!? ถ้าเกิดว่าพวกนั้นเห็นเธออยู่กับฉันแบบนี้มีหวัง—”

 

“พี่สาวไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ!เดี๋ยวพวกหนูจัดการให้~”

 

ถึงแม้ว่าจะได้ยินนิลิมพูดขึ้นมาอย่างกังวลใจ แต่ว่าเด็กสาวตรงหน้าเธอก็กลับยิ้มออกมาและหันไปทางบันไดทางลงห้องใต้ดินที่อยู่ไม่ไกล

 

“ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ~ ถ้าอยากจะชดเชยในเรื่องแย่ๆ ที่คุณเคยทำลงไปล่ะก็ การช่วยเหลือคนอื่นก็นับว่าเป็นการทำความดีเหมือนกันนะคะ”

 

ทันทีที่เธอตะโกนไปทางบันไดนั้นก็ได้มีร่างของชายคนหนึ่งที่สวมใส่ผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดิน พร้อมกับพูดตอบเธอกลับมาเบาๆ

 

“ได้ยินแล้วครับ…คุณหนูทีเอร่า…”

 

“น—นี่เดี๋ยวสิ!? พวกเธอคิดจะทำอะไรน่ะ!?”

 

“หน่าๆ คนที่ตามพี่สาวมาปล่อยให้เพื่อนของหนูจัดการไปเถอะ ส่วนพวกเรารีบไปช่วยเพื่อนของพี่สาวกันดีกว่า~”

 

ทีเอร่าหันกลับมายิ้มตอบนิลิม ก่อนที่เธอจะหันไปกำชับกับชายในชุดคลุมว่าอย่ากระทำการรุนแรงเกินไปนัก

 

“อย่าลืมว่าแค่ไล่พวกเขากลับไปเฉยๆ ก็พอแล้วนะคะ~”

 

“แน่นอนอยู่แล้วครับ…”

 

เขาพูดตอบกลับมาสั้นๆ ก่อนจะเลื่อนมือเข้าไปด้านใต้ผ้าคลุม และทันใดนั้นเองก็ได้มีแท่งเหล็กอะไรบางอย่างดีดตัวออกมาจากด้านหลังเอวของเขาจนทำให้ผ้าคลุมนั้นสะบัดเปิดออกและเผยให้เห็นอุปกรณ์ที่มีหน้าตาเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่ติดอยู่กับตัวแท่งเหล็กนั้น

 

ซึ่งถึงแม้ว่าแท่งเหล็กและอุปกรณ์เหล่านั้นจะเต็มไปด้วยรอยไหม้และร่องรอยของการซ่อมแซมเหมือนกับว่ามันเพิ่งจะพังยับเยินมาก็ตามที

 

แต่ว่าเมื่อชายตรงหน้าได้ส่งพลังวิซของเขาเข้าไปแล้ว ตัวอุปกรณ์นั้นก็ได้พ่นไฟสีเขียวอ่อนออกมาเล็กน้อยจนทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นเหนือพื้นดินได้อย่างน่าประหลาดใจ

 

“เครื่องนั่น—น—นี่พวกเธอ… เป็นใครกัน…”

 

นิลิมที่เห็นอุปกรณ์ของชายในผ้าคลุมนั้นก็ได้รีบหันไปร้องถามทีเอร่าในทันที แต่ว่าเด็กสาวตรงหน้าทำเพียงแค่หันไปมองชายในชุดคลุมที่กำลังลอยตัวเหนือพื้นอยู่เล็กน้อย และเมื่อเขาได้พยักหน้าให้กับเธอ ทีอาร่าจึงได้หันกลับมาตอบนิลิมกลับไป

 

“พวกหนูก็เป็นแค่กลุ่มคนที่ติดอยู่ในอดีตแล้วบังเอิญได้มาพบกันเท่านั้นแหละค่ะ แต่ว่าเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ที่สำคัญคือการไปช่วยเหลือเพื่อนของพี่สาวต่างหากล่ะคะ”

 

“คุณหนูทีเอร่า…พร้อมกันแล้วใช่มั้ย…?”

 

“อื้อ!เดี๋ยวหนูฝากพี่สาวบอกทางที่พี่วิ่งมาหน่อยนะ!”

 

“อ…อ่า”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นเข้าไปนิลิมก็ได้แต่พยักหน้าให้กับเด็กสาวอย่างไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเธอรู้ดีว่าอุปกรณ์ของชายในชุดผ้าคลุมนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง และเธอก็มั่นใจว่าอุปกรณ์ของชายเบื้องหน้านั้นจะทำให้เธอสามารถช่วยเหลือเซซิเรียที่กำลังถ่วงเวลาศัตรูอยู่ได้อย่างแน่นอน

 

และเมื่อได้ยินว่านิลิมยอมตกลงที่จะทำตามแผนของทีเอร่าแล้ว ชายในชุดผ้าคลุมที่กำลังลอยตัวอยู่เหนือพื้นนั้นก็ได้ดึงผ้าคลุมที่เขาสวมอยู่นั้นทิ้งไป เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำตาลและดวงตาสีฟ้าที่มีผ้าพันปิดเอาไว้ข้างหนึ่งพร้อมกับพูดขึ้นมาก่อนจะเตะประตูไม้บานใหญ่เบื้องหน้าให้เปิดออกในทันที

 

“ถ้างั้นไปกันเถอะครับ…!”

 

ปึ้ง!!