ตอนที่ 25 บ้านเก่าเปลี่ยนโฉมใหม่

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

คืนนั้นซูสุ่ยเลี่ยนกลับไปเมืองฝานลั่วกับเขา เข้าพักที่โรงเตี๊ยมที่ไม่ไกลจากแหล่งการค้า

เช้าวันรุ่งขึ้นหลินซือเย่าก็ไปหาช่างปูนและช่างไม้จากละแวกแหล่งการค้า ไปบ้านที่จะเป็นบ้านในวันหน้าของพวกเขา จัดการรื้อทิ้งเตรียมซ่อมแซม ทิ้งลูกหมาป่าสองตัวไว้เป็นเพื่อนซูสุ่ยเลี่ยนซื้อหาผ้าและด้ายปักต่างๆ

ซูสุ่ยเลี่ยนพาลูกหมาป่าสองตัวออกไปเดินเลือกซื้อตามร้านขายผ้าหลายร้าน จนสายมากแล้วจึงได้เลือกผ้าสีที่ถูกใจออกมาได้สี่ชิ้น แต่ไรมานางเป็นคนชอบผ้าสีอ่อนลายดอก เลือกพื้นสีม่วงอ่อน สีขาว สีไข่เป็ด สีแสดแดง คิดจะทำเป็นผ้าม่านหน้าต่าง ม่านประตู ปูโต๊ะ และผ้าบังลมขนาดต่างๆ

พูดถึงแต่งงาน แววตาซูสุ่ยเลี่ยนก็ส่องประกายเขินอายขึ้นมา ค่อยๆ แย้มยกมุมปาก นางเลือกผ้าต่วนสีเขียวเข้มกับผ้าดิ้นทองสีควันเมฆ คิดจะตัดชุดใหม่ให้หลินซือเย่าสองชุด เลือกผ้าต่วนสีเขียวใบบัวผืนบางและสีแสดแดงให้ตนเอง จากนั้นก็เลือกผ้าฝ้ายสีขาวสองผืนเตรียมเอาไว้ทำเสื้อตัวในและตัวกลางให้เขาและนางสักสองสามชุด จากนั้นสุดท้ายต่อหน้าคนขายในร้านที่ยิ้มร่า ซูสุ่ยเลี่ยนเลือกผ้าต่วนสีแดงสดมาตัดชุดแต่งงานและผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวด้วยอาการเขินอายจนหน้าแดงไปหมด รีบจ่ายเงินให้คนงานในร้านและให้ส่งผ้าทั้งหมดไปที่โรงเตี๊ยมเยว่ไหลที่พักอยู่ตอนนี้

พอผ้ามาส่งแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็เลือกผ้าฝ้ายลายดอกมาเตรียมเย็บเป็นผ้าม่านประตู ม่านหน้าต่าง ผ้าปูโต๊ะและผ้าบังลม โชคดีก่อนกลับมาเมื่อวานคิดได้ จึงได้วัดขนาดประตูหน้าต่างมาแล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อาจลงมือตัดได้

เริ่มพยายามนึกย้อนกลับไปถึงผ้าม่านประตูและหน้าต่างแต่ละชนิดที่เมื่อก่อนตอนอยู่ตระกูลซูเคยใช้ ซูสุ่ยเลี่ยนลงมือจับเข็มเย็บอย่างไม่ได้หยุด อาจเพราะโชคดีที่มีฝีมือเรื่องงานปัก นางจึงทำงานเย็บประกอบตัวผ้าพวกนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว

งานเย็บหยาบๆ พวกนี้ เมื่อก่อนย่อมไม่ตกถึงมือนาง มือนางนั้นหากใช้คำพูดที่บิดาเคยกล่าว ก็คือมีไว้เพื่องานปักซูซิ่วเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ตกในภวังค์อีกครั้ง ตระกูลซู…ตระกูลผ้าปักซูซิ่ว…คุณแม่…พี่ใหญ่…อา…ที่แท้ในใจตนก็คิดถึงพวกเขา นอกจากคุณแม่และพี่ใหญ่แล้ว เงาภาพนายท่านใหญ่กับท่านพ่อแทบจะลืมไปหมดแล้ว หากพวกเขาได้รู้ก็คงเสียใจมากกระมัง อย่างไรลูกสาวที่ตนเองเฝ้าอบรมฝึกฝนงานปักซูซิ่วมาแต่เล็ก ถึงกับแค่ครึ่งปีก็ใกล้จะลืมเลือนพวกเขาไปหมดแล้ว

ซูสุ่ยเลี่ยนส่ายหน้าเล็กน้อยพลางถอนหายใจเบาๆ ความรู้สึกมากมายผสมผสานผุดขึ้นมาในใจ ก่อนจะตั้งสมาธิลงมือทำงานต่อ

……

“ฮู่ว์!” ซูสุ่ยเลี่ยนเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จก็ลุกขึ้นสะบัดข้อมือแข็งตึงเล็กน้อย ไม่ได้จับเข็มมานาน ท่วงท่าเริ่มไม่คุ้นชินอยู่สักหน่อย

ก้มหน้าลงมองกองผ้าม่านและผ้าต่างๆ บนโต๊ะที่เย็บเสร็จก็แย้มยิ้มมุมปาก แววตาดีใจอย่างมาก

นำแต่ละผืนมากางออกก่อนจะพับเก็บวางลงในห่อผ้า เตรียมรอไว้พรุ่งนี้บ้านซ่อมแซมเสร็จก็จะเอาไปติดตั้ง

ยามนี้หลินซือเย่าเองก็กลับจากเมืองฝานฮัวมาพอดี

พอเห็นซูสุ่ยเลี่ยนกำลังยุ่งกับการเก็บกวาดเศษผ้าบนโต๊ะก็ขมวดคิ้วทันที

“เสี่ยวเอ้อร์บอกว่าเจ้าไม่ได้กินอะไรทั้งวัน?” หลินซือเย่ารับชะลอมไม้ไผ่สานที่เก็บเศษผ้าของนางมาถือไว้ สะบัดแขนเสื้อเบาๆ เศษผ้าบนโต๊ะก็ถูกกวาดลงชะลอมไม้ไผ่สานหมด

“เอ๋? ดึกมากแล้วหรือ?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินหลินซือเย่ากล่าวเช่นนี้ก็ลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปไกลๆ ก็เห็นว่าค่ำแล้วจริงๆ พระอาทิตย์ตกดินจนเริ่มมืดสลัวแล้ว

หลินซือเย่าเห็นดังนี้ สายตาก็กวาดตามองไปยังห่อผ้าที่นางมัดเก็บเรียบร้อย มองเห็นเศษผ้าลายดอกสีม่วงละมุนตา ในใจก็เข้าใจทันที ตลอดบ่ายนี้นางต้องไม่ได้พักมาถึงตอนนี้

กำลังคิดจะดึงนางเข้าไปกินข้าวที่ห้องเขา ก็เห็นผ้าหลากสีที่พับเรียบร้อยเป็นตั้งในหีบเสื้อผ้า โดยเฉพาะผ้าต่วนสีแดงสดที่สะดุดตาอย่างมากผืนนั้น มองจนเข้าอดแย้มยกมุมปากไม่ได้

“ทำไมหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนเก็บห้องสะอาด ล้างมือเสร็จกลับมายืนข้างกายหลินซือเย่า เห็นเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มท่าทางประหลาด ก็อดสงสัยไม่ได้

“เอ้อ…” หลินซือเย่ายกกำปั้นวางใต้จมูกแสร้งทำเป็นไอกลบเกลื่อนความดีใจที่ทำให้เสียอาการ ตั้งสติให้นิ่งก่อนจะลากข้อมือซูสุ่ยเลี่ยนมาว่า “ไปกินข้าวก่อน กินเสร็จ ค่อยเล่าเรื่องบ้านให้เจ้าฟัง” ตนเองรู้ว่านางมีนิสัยขี้อาย หากถามเรื่องชุดแต่งงานขึ้นมา ต้องหน้าแดงอีกนานแน่ ลึกๆ ตนเองแอบดีใจที่นางเขินอาย แต่ก็กลัวว่านางจะเสมาทำโมโหแทน เฮ้อ…ทำเป็นไม่รู้ดีกว่า รอให้นางมาบอกให้ตนเองดีใจแทนแล้วกัน

……

บ้านเก่าแม้ว่าดูแล้วทรุดโทรมมาก แต่พอช่างปูนช่างไม้มาจัดการตรวจสอบแล้วก็บอกว่าหากเสริมให้แข็งแรงอีกนิด อยู่อีกสองสามปีก็ไม่มีปัญหา

แน่นอนว่าหลินซือเย่าดูแล้วบ้านเช่นนี้ย่อมไม่อาจทนพลังฝ่ามือลมหมุนของเขาได้ ทีเดียวย่อมพังพาบลงตามแรงลม แน่นอนว่าคำพูดนี้เขาย่อมไม่พูดให้ซูสุ่ยเลี่ยนฟัง กลัวนางคิดมากจนตกใจหนีตนไป กว่าจะได้เผยความในใจกันก็ไม่ง่าย เขาย่อมไม่อยากให้เกิดอะไรที่ผิดพลาดขึ้น

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินหลินซือเย่าเล่าว่างานปูนต้องใช้เวลาอีกสามวัน ส่วนงานไม้ก็ต้องดูว่าเครื่องเรือนต้องให้เขาทำเองไหม หากเครื่องเรือนไปหาแบบสำเร็จรูปที่ร้านค้า เช่นนั้นงานไม้วันเดียวก็เสร็จ ก็แค่ห่อหุ้มเสาคานไม้ผุพวกนี้ภายนอกด้วยไม้อีกชั้นก็แค่นั้น

“พรุ่งนี้พวกเราไปที่ร้านหาดูเครื่องเรือนสำเร็จรูปกันนะ หากว่าดีก็ซื้อเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนคำนวณเงินที่เหลือ

ห้าสิบตำลึง นอกจากจ่ายค่าบ้านสิบห้าตำลึง ค่าซื้อผ้าอีกสามตำลึงห้าสิบอีแปะ ค่าแรงช่างปูนสามวันเพื่อเสริมบ้านให้แข็งแรง ค่าทาสี รวมๆ กันแล้วก็เดาว่าน่าจะราวหนึ่งตำลึงได้

ส่วนค่างานไม้ หากเครื่องเรือนให้เขาทำเองคนเดียว ค่าแรงค่าของ น่าจะราวหกตำลึง และยังคงได้แต่เครื่องเรือนใหญ่ที่จำเป็นกับการกินอยู่ไม่กี่ชิ้น เช่นพวกเตียงใหญ่ ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเก้าอี้ ตู้ชาม ตู้ลิ้นชักห้าชั้น เป็นต้น ส่วนเรื่องอ่างอาบน้ำ กะละมังล้างหน้า พวกของชิ้นเล็กๆ พวกนี้ยังไม่รวม อย่างน้อยก็ต้องอีกราวเดือนถึงจะได้ใช้

ตอนนี้ปลายฤดูร้อนใกล้ฤดูใบไม้ร่วง รอให้เครื่องเรือนต่อเสร็จหมดแล้ว บ้านเก็บกวาดสะอาดแล้ว ได้เข้าไปอยู่จริงๆ ก็คงต้องกลางฤดูใบไม้ร่วง ไม่ต้องพูดถึงว่าพักโรงเตี๊ยมต้องใช้เงิน ตอนหน้าหนาวยังต้องเตรียมของหน้าหนาวอีกชุด เช่นพวกเสื้อผ้าผ้าห่มสำหรับสองคนต้องใช้ในหน้าหนาว เช่นว่าอาหารต่างๆ ที่ต้องเตรียมไว้กินในยามหิมะตกหนักขวางทางสัญจร

ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงบ้านพร้อมที่นาสองหมู่ หลายปีนี้หวังเกิงฟาล้วนปลูกข้าวสาลีมาตลอด ครั้งนี้แม้ว่าขายมาพร้อมบ้าน แต่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ของที่เก็บเกี่ยวได้ก็ย่อมนับว่าเป็นของเขา หน้าหนาวนี้ตนเองยังต้องสะสมอาหารให้ดีอีกสักหน่อย

ดังนั้นเงินพวกนี้ประหยัดใช้ไว้หน่อยก็ดี

พอคิดเช่นนี้ สองมือซูสุ่ยเลี่ยนก็แอบกำแน่นให้กำลังใจตนเอง

หลินซือเย่าเห็นเข้าก็รู้สึกขำ ในใจมีความรู้สึกเฝื่อนขมขึ้นมา คิดถึงว่าตนเองเลิกอาชีพนักฆ่าก็เหมือนกับไม่เหลืออะไรเลย ทุกเรื่องต้องพึ่งพาสตรีตัวน้อย แอบรู้สึก…เหมือนคนไม่ได้เรื่องจนพูดไม่ออก หากเสี่ยงกลับไปที่ลับเอาเงินสะสมก้อนนั้นออกมา ซูสุ่ยเลี่ยนจะได้ใช้อย่างไม่ต้องกังวล แต่หากพวกซือทั่วรู้ว่าตนยังไม่ตายก็จะตามมาไล่สังหารตน

“อาเย่า? เป็นไรไป?” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ามองหลินซือเย่าที่เหม่อลอย ดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ ถามอย่างอ่อนโยน

หลินซือเย่าได้สติ สบเข้ากับแววตากังวลของซูสุ่ยเลี่ยน ได้แต่แย้มยกมุมปากว่า “ข้าไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรจริงหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยิน ยังคงแตะหน้าผากเขาอย่างไม่วางใจ ถูกมือใหญ่เขาคว้าเอาไว้ ก่อนจะร่างอ่อนนุ่มนิ่มจะถูกเขาดึงเข้าสู่อ้อมกอด

“ข้าไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม” หลินซือเย่าซุกหน้าลงบนบ่านาง ถอนหายใจเบาๆ “ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง”

“ที่ไหนกัน!” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเขาดูแคลนตนเองเช่นนี้ก็รีบเงยหน้าขึ้นจ้องมองดวงตาลุ่มลึกของเขา ในใจรู้สึกปวดปลาบแทนพลางปลอบใจว่า “หากไม่มีเจ้าอยู่ ข้าจะออกจากป่ามาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยเช่นนี้ได้อย่างไร จะกล้าไปหาซื้อบ้านในเมืองฝานฮัวหรือ…หากไม่มีเจ้าเป็นเพื่อนข้า ข้า…ไม่อาจเข้าพักโรงเตี๊ยมอย่างสบายและได้ทำงานที่ตนเองชอบเช่นนี้…หลินซือเย่า…” กล่าวถึงสุดท้าย ซูสุ่ยเลี่ยนก็เริ่มโมโหอยู่บ้าง

“สุ่ยเลี่ยน…” หลินซือเย่าอุทานออกมาพลางกอดนางไว้อ่อนโยน “ขอโทษ ข้า…”

“เมื่อก่อนใครเป็นคนพูด? ระหว่างเราไม่อนุญาตให้ทำตัวเหมือนเป็นคนนอก?” ซูสุ่ยเลี่ยนย้อนคืนวาจาของเขาทุกคำ ยู่ปากพูดอย่างขัดเคือง

“เอ่อ…ได้ ข้าไม่ดีเอง” หลินซือเย่าคลายปมในใจตนลงได้ในที่สุดหลังจากได้ยินคำปลอบใจที่เหมือนไม่พอใจและตำหนิตนเองของนางเป็นชุด เขาอมยิ้มดึงมือน้อยนุ่มนิ่มราวไร้กระดูกของนางมาแนบคางตนพลางถูไถไปมา แววตาเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง ตนเองช่างโชคดีที่ได้นางมาครองคู่