เช้าวันรุ่งขึ้นซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็ออกไปแหล่งการค้า ทิ้งลูกหมาป่าสองตัวไว้ที่ลานด้านหลังโรงเตี๊ยมให้ลูกสองคนของเถ้าแก่เล่น

ซูสุ่ยเลี่ยนกำชับหลายรอบและบอกว่าจะเพิ่มเนื้อให้ตอนอาหารเย็น ลูกหมาป่าสองตัวก็เชื่อฟังหมอบอยู่กับพื้นอย่างเป็นเด็กดี ปล่อยให้เด็กน้อยสองคนอายุสามกับห้าขวบขี่เล่น ทำเอาเถ้าแก่เนี้ยที่ยืนดูอยู่ข้างๆ แปลกใจไม่น้อย ในใจแอบนึกเลื่อมใสซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าที่เพิ่งออกไป ตัดสินใจว่าจะสั่งให้สามีนางให้ราคาห้องพักพิเศษพวกเขาสองคนสักหน่อย ถือเป็นการขอบคุณที่พวกเขาให้สุนัขเล่นเป็นเพื่อนลูกตน

ลูกหมาป่าสองตัวได้แต่ทนเอา หมอบอยู่กับพื้นคิดไปเรื่อย แอบมีอาการคำรามในใจลึกๆ บ้างว่า เจ้านาย อย่าลืมคำสัญญานะ คืนนี้พวกเราต้องได้กินเนื้อ!

ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าเดินไปที่ร้านขายเครื่องเรือนขนาดใหญ่หลายร้าน ในนั้นมีเครื่องเรือนสำเร็จรูปตั้งวางไว้ไม่น้อย เพียงแต่ราคาก็ไม่น้อยเช่นกัน เพียงแค่เตียงสี่เสาแกะสลักลวดลายและมีโต๊ะข้างเตียงเตี้ยๆ อีกสองตัว ขนาดแค่สองเมตรก็ราคาแพงถึงสามตำลึง ตู้เสื้อผ้าประตูสามบานที่มีลิ้นชักดึงไว้ใส่รองเท้าด้วยก็ตั้งสองตำลึง

ดูจนสุ่ยเลี่ยนอ้าปากค้าง คิดว่าบ้านขนาดหนึ่งหมู่และที่นาสามหมู่รวมกันยังแค่สิบห้าตำลึง เครื่องเรือนพวกนี้รวมกันราคาเกือบเท่าบ้าน

ซูสุ่ยเลี่ยนไหนเลยจะรู้ว่าเครื่องเรือนที่ตั้งในร้านพวกนี้เป็นเครื่องเรือนตัวเด่นของร้าน ย่อมต้องเลือกชิ้นที่ฝีมือดีและเป็นงานแกะสลักที่ดีที่สุดมาแสดง

คนงานที่เพิ่งส่งแขกกลุ่มหนึ่งออกจากร้าน พอเห็นซูสุ่ยเลี่ยนจ้องมองเตียงแกะสลักหลังใหญ่ตาไม่กะพริบ ก็พอเดาได้แปดเก้าส่วน

“แม่นางคิดจะซื้อเครื่องเรือน?” คนงานทักทายอย่างกระตือรือร้น “พวกนี้เป็นของดีร้านเรา หากแม่นางคิดว่าไม่เหมาะ เช่นนั้นก็เชิญตามข้าเข้าไปดูแบบอื่นด้านใน”

ได้ยินคนงานกล่าวว่าด้านในยังมี ซูสุ่ยเลี่ยนก็ไม่คิดสนใจเครื่องเรือนที่ตนแอบชอบแต่ราคาแทบไม่น่าเชื่อพวกนี้อีก เรียกหลินซือเย่าให้ตามเข้าไปด้านใน

ตามคาด ด้านในมีห้องที่วางเครื่องเรือนไว้เต็มห้อง ล้วนเป็นเนื้อไม้ธรรมดา รูปแบบก็ธรรมดา เครื่องเรือนพวกนี้แม้ราคาไม่สูง แต่ว่าหากหาช่างไม้มาต่อเองก็ราคาราวนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดในใจว่าหากซื้อเครื่องเรือนที่จำเป็นไปสักสองสามชิ้นพวกนี้ไปก็รวมราวสิบเอ็ดตำลึง แพงกว่าไปหาช่างมาต่อเองราวห้าตำลึง

ห้าตำลึง ซูสุ่ยเลี่ยนแอบอุทานเสียดายในใจ ราคาของในเมืองฝานลั่ว ห้าตำลึงเลี้ยงดูครอบครัวที่มีสามปากท้องได้ถึงหนึ่งปีเต็ม แต่ทำไมแค่เครื่องเรือนถึงได้แพงเช่นนี้

“แม่นางคงไม่รู้ว่า เมืองเราแรงงานช่างไม้พวกนี้รวมกันก็มีแค่สิบกว่าไม่ถึงยี่สิบคน ตอนนี้ไม้ที่ใกล้เขาที่สุดก็ตัดไปพอควรแล้ว ไกลออกไปอีกหน่อยก็ต้องไปถึงเขาต้าซื่อที่มีสัตว์ป่าดุร้ายออกหากิน แทบไม่มีคนกล้าไปที่นั่น ดังนั้นเครื่องเรือนจากนี้ไปก็ล้วนอาศัยไม้ที่ขนมาจากเมืองใกล้ๆ ราคาจึงได้สูงเช่นนี้ กล่าวกับแม่นางตรงๆ ร้านเรายังไม่ได้ขึ้นราคาเลยนะ ร้านตรงข้ามสองร้านนั่นยังแพงกว่าอีก แม่นางไม่เชื่อก็ลองไปเทียบดูได้” คนงานในร้านเห็นซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วก็พอเดาได้ว่านางคิดว่าราคาแพงไป จึงได้พูดอธิบายยืดยาว เห็นชัดว่ากำลังแอบเกลี้ยกล่อมให้นางซื้อของร้านตน

หลินซือเย่าดึงซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังคิดอยู่มากระซิบที่หูเบาๆ ว่า “กลับไปค่อยว่ากัน” สองคนจึงได้พากันกลับโรงเตี๊ยม

……

“อะ…อะไรนะ ไม่ได้!” ซูสุ่ยเลี่ยนยังฟังไม่จบก็ปฏิเสธข้อเสนอหลินซือเย่าทันที ล้อเล่นอะไรกัน คนงานร้านนั่นบอกว่าเขาต้าซื่อมีสัตว์ป่าดุร้ายจนไม่มีคนกล้าไป เจ้ายังจะบุกไปเพื่อตัดไม้มาทำเครื่องเรือนเนี่ยนะ บ้าไปแล้วหรือ!

“ฟังข้านะ” หลินซือเย่าถอนหายใจเบาๆ ดึงซูสุ่ยเลี่ยนมานั่งที่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาร้อนให้นาง เดินมาทั้งเช้า สองคนไม่ได้ดื่มน้ำสักแก้ว เห็นริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางเริ่มแตกบ้างแล้ว

“พวกเราอยู่เขาต้าซื่อมาเดือนกว่า เจ้าเคยเห็นสัตว์ป่าดุร้ายไหม” หลินซือเย่ามองนางด้วยสายตาอ่อนโยนพลางอธิบายด้วยเสียงเบาๆ

“เอ๋? เขานั่นก็คือเขาต้าซื่อหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนมองตาปริบๆ แทบไม่อยากจะเชื่อ

หลินซือเย่าแย้มยกมุมปาก ที่แท้นางก็ไม่รู้จริงๆ มิน่าปฏิกิริยาจึงได้มากมายเช่นนั้น พยักหน้าว่า “อืม ข้าเดาว่าเขาต้าซื่อไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายมานานแล้ว”

“ทำไม? พวกเราไม่เจอ แปลว่าพวกเราโชคดี ไม่ได้หมายความว่าไม่มี” ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปากแน่น หนังสือเล่มไหนบอกนะ? ยอมเชื่อว่ามีดีกว่าเชื่อว่าไม่มี

หลินซือเย่าชี้ไปที่หนังเสือขาวในห่อผ้า สองตาเห็นชัดว่ามีรอยยิ้มแวบหนึ่ง “ข้าเดาว่าสัตว์ป่าดุร้ายนั่นก็น่าจะเป็นมัน”

“…” ซูสุ่ยเลี่ยนตกตะลึง ไม่…ไม่กระมัง

ตนเองโชคดีเพียงนี้? เพิ่งมาถึงโลกใบนี้ก็หนีพ้นการไล่ล่าของสัตว์ป่า? หากว่าวันนั้นหมาป่าสองตัวนั่นไม่ได้ออกมาสู้กับเสือดาวขาวจนต่างต้องตายลง นางจะยังมีชีวิตรอดไหมนะ

ซูสุ่ยเลี่ยนถูฝ่ามือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อของตนเอง ในใจแอบนึกว่าโชคดีจริง ควรต้องขอบคุณเจ้าหมาป่าสองตัวนั่น แม้พวกมันจะทำไปเพื่อปกป้องลูกน้อยสองตัวก็ตาม แต่ตนเองได้รับประโยชน์ที่สุดไม่ใช่หรือ ตัดสินใจว่าวันหน้าจะเลี้ยงดูเสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ยให้ดีอีกสักหน่อย อืม ใช่แล้ว รับปากว่าเย็นนี้จะเพิ่มเนื้อให้พวกมัน ห้ามลืมเด็ดขาดเลย

……

พอตกดึก หลินซือเย่าก็ขึ้นเขาต้าซื่อ

ก่อนออกเดินทางไม่ได้บอกซูสุ่ยเลี่ยนไว้ก่อน เพียงแต่ทิ้งข้อความไว้ หากไม่มีอะไรคาดว่าพรุ่งนี้บ่ายก็คงกลับมา และยังไปกวาดตามองเจ้าลูกหมาป่าสองตัวที่นอนหลับอุตุอยู่ด้านหลังร้าน ตั้งแต่ให้พวกมันกินเนื้อไปก็หลับสบาย ออกจากเมืองฝานลั่วไปท่ามกลางสายตาไร้เดียงสาของพวกมันสองตัว ทะยานตรงไปยังเขาต้าซื่อ

รุ่งเช้าซูสุ่ยเลี่ยนไปตามเขามากินอาหารเช้า ก็เห็นข้อความจึงได้รู้ว่าเขาไปตัดไม้ที่เขาต้าซื่อโดยไม่บอกนางก่อน ในใจก็มีความรู้สึกมากมายผุดขึ้นมา สุดท้ายก็เหลือแค่ความรู้สึกซาบซึ้งและโมโห ซาบซึ้งที่เขาช่างเข้าใจนาง โมโหที่เขาใจกล้าเกินไป

เอาละ แม้เขาวรยุทธ์สูง แม้ในป่าไม่มีสัตว์ป่าดุร้าย แต่ไปตัดไม้คนเดียวจะขนไม้กลับมาอย่างไร

……

หลินซือเย่ามาถึงปากทางเข้าเขาต้าซื่อ ก็เลือกเส้นทางที่มีร่องรอยคนเดินผ่านน้อยที่สุด ตรงเข้าไปในป่าลึกทันที

เดาเอาว่าซูสุ่ยเลี่ยนน่าจะชอบไม้สีไหน เลือกเอาต้นไม้สีม่วงสูงใหญ่ราวสองคนรวมกันเจ็ดต้น คิดว่าจะเอาไว้ทำเครื่องเรือนในห้องนอนก็น่าจะเหลือ ไม้ที่เหลือในป่ามากที่สุดก็เป็นไม้สีแดงราวสีเลือด สีแดงเข้มทำเครื่องเรือนน่าจะดูหรูหราเป็นมงคล

พอคิดเช่นนี้ สายตาเย็นเยียบของหลินซือเย่าก็ฉายแววอ่อนโยนแวบหนึ่ง แต่การเคลื่อนไหวฝ่ามือไม่ได้ช้าตามแม้แต่น้อย ใช้กำลังภายในส่วนฝ่ามือเป็นดังมีด ฟันทีหักไม่เหลือ ไม่นานก็เลือกโค่นไม้ใหญ่ได้หลายสิบต้น

ใช้เถาวัลย์มัดรวมกัน ห้าต้นเป็นหนึ่งกองอย่างแน่นหนาหกรอบ วิ่งทะยานไปมาเจ็ดรอบก็นำไม้สามสิบห้าต้นออกไปจากเขาต้าซื่อได้อย่างสบายๆ ก่อนจะลงนั่งขัดสมาธิเคลื่อนพลังภายใน

ไม่กี่รอบพลังภายในก็ฟื้นคืนดังเดิม

แม้เป็นคนไม่ยี่หระสิ่งใดอย่างหลินซือเย่า ในใจก็ย่อมแอบยินดีไม่ได้ กลั่นหยกเซียนนั่นไม่ธรรมดาจริงๆ กินลงไปสองช้อนชาไม่เพียงช่วยชีวิตตนไว้ได้ ยังทำให้พลังภายในฟื้นคืนรวดเร็ว หากแพร่ออกไปในยุทธภพ ต้องทำให้เกิดกระแสแย่งชิงเลือดสาดแน่นอน

พอคิดเช่นนี้หลินซือเย่าก็ขมวดคิ้ว ไม่ว่าอย่างไรภารกิจตอนนี้ก็คือต้องจัดการบ้านให้เสร็จเรียบร้อยเร็วที่สุดแล้วย้ายออกจากโรงเตี๊ยม ไม่เช่นนั้นหากไม่ระวังทำน้ำเต้าที่บรรจุกลั่นหยกเซียนหายไป ย่อมทำให้ชาวยุทธภพแตกตื่น

หากเป็นเมื่อก่อน หลินซือเย่าคงไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย ยุทธภพจะสั่นสะเทือนอย่างไรเกี่ยวอะไรกับตน แต่วันนี้ไม่เหมือนวันวาน เขามีนางผู้เป็นที่รักแล้ว และกำลังจะมีครอบครัวเล็กๆ ของตนเอง วันหน้ายังจะมีลูกที่ฉลาดและน่ารักอีก

เกิดวันหนึ่งมีคนรู้ร่องรอยของกลั่นหยกเซียนนั่น คนที่ต้องถูกทำร้ายคนแรกมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นซูสุ่ยเลี่ยน

หลินซือเย่ากำหมัดแน่น เขาจะไม่ยอมให้เกิดความน่าจะเป็นเช่นนี้แน่นอน