ตอนที่ 37 เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร
รถม้าโคลงเคลง
บรรยากาศแปลกไปเล็กน้อย
หลี่ไป๋หลินที่ชินกับการโคลงเคลงบนเส้นทางแล้วหลับตาลง ถามเสียงเบา “คนนั้นเป็นใคร”
สวีชิงเค่อตอบ “คนนั้นชื่อกงซุน…นามในอดีตไม่สำคัญแล้ว เพราะเขาเปลี่ยนนามไป ข้าจะมอบตัวตนใหม่ให้เขา จากนั้นส่งเขาไปเมืองหลวง”
“เมืองหลวงหรือ”
“ใช่ เขาจะมีชีวิตรอดไปถึงเมืองหลวง จากนั้นใช้ชีวิตในเมืองหลวงตลอด…จนพวกเราต้องการเขาในครั้งต่อไป”
หลี่ไป๋หลินกลับมาจากเทือกเขาประจิมจนถึงเขตประจิม ระยะทางยาวนาน รถม้าอ่อนแรง ก้นบึ้งหัวใจเขาเกิดความเหนื่อยล้าเล็กๆ มานานแล้ว หลังหลับตาลง ในความคิดยังเกิดเป็นภาพเลือนรางที่ประสบมาระหว่างทาง เขาแค่มองการจัดการของสวีชิงเค่อ ไม่ได้พูดอะไรมาก
เขาเป็นคนแปลกมาก พูดน้อยมาตลอด
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความเห็นอะไร
เขารู้ว่าตนต้องการอะไร อยากได้อะไร อนาคตทุกอย่างปูเข้ามาแล้ว เดินไปทีละก้าว สวีชิงเค่อพูดไว้ไม่ผิด ไล่หมาป่าไล่พยัคฆ์ เดินหน้าทุกก้าวยากเข็ญ แต่ตนเองไม่มีทางเลือก
การจะมีชีวิตรอดชีวิตไปใต้ฝ่ามือพี่รองที่มีอำนาจล้นฟ้านั้น ตนจะต้องสั่งสมพลัง ได้รับความเอ็นดูจากคนนั้นที่อยู่สูงสุด แดนประจิมคือที่ที่ตนจะแสดงความมุ่งมั่นปรารถนา…คนจากเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ ตอนนี้ติดตามหลังตนอยู่สองข้างตู้รถ พวกเขาเป็นตัวแทนของแดนประจิมเกือบครึ่ง
องค์ชายรองฮุบเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในแดนบูรพามานานแล้ว หานเยวียเป็นคนโฉด เขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดกดดันจนตนหายใจไม่สะดวก มีเพียงแดนประจิมที่จะดึงมาคลุมตัวได้ ตอนที่กลับเมืองหลวง…ถึงได้มีตัวหมากไว้ต่อต้านขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้เขายังไม่มีคุณสมบัตินั่งตรงข้ามกับองค์ชายรอง
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ คนที่นั่งบนโต๊ะมีเพียงองค์รัชทายาทกับองค์ชายรอง ไม่มีตำแหน่งของเขา
นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพียงใด
เขาขึ้นโต๊ะไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรได้
หลี่ไป๋หลินสีหน้าเรียบนิ่ง นึกถึงเสด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพรุมเร้าและอาการแย่ลงทุกวัน ในสายตาเขาฉายแววซับซ้อนมากมาย อิฐและกระเบื้องทุกแผ่นในเมืองหลวงต้าสุย มุมที่แกะสลักบนบัลลังก์นั้น ถึงท้ายที่สุด…เป็นเพียงดินและทองอันน้อยนิดในใต้ฟ้า
ในดวงตาดำมืดที่ปกปิดความปรารถนาไว้ บางคนไม่เกรงกลัวที่จะเผยมันออกมา บางคนยิ้มอ่อนโยน เหมือนสัตว์น้อยไร้ความกลัว ดูเหมือนไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัย
หลี่ไป๋หลินรู้ทุกก้าวที่ตนจะเดิน ตอนนี้มาถึงเขตแดนเขาสู่ซาน บนเขาสู่ซานเงียบสงบ…อาจเป็นเพราะตนพาทหารม้ามาด้วยสองกลุ่ม เขาอนันต์เล็กกับทะเลสาบกระบี่รวมกันได้ แต่เขาสู่ซานกับพวกเขามีความแค้นกันสิบปี นี่เป็นปัญหาที่จัดการได้ยากมาก
แต่หากตนได้พินิจเหมันต์เล่มนั้น ได้เป็นอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน…เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไม่เป็นปัญหาอีก
องค์ชายสามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาพลันรู้สึกว่าคำทำนายของเจ้าหรุยถูกต้องมากจริงๆ อาจารย์อาน้อยของเขาสู่ซานเป็นตำแหน่งที่สุดยอดมาก ความขัดแย้งมากมายที่ดูเหมือนไม่มีทางแก้ไขได้ ขอแค่คนหนึ่งตายไปก็จะได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์แบบ โลกนี้ไม่มีมิตรและศัตรูชั่วนิรันดร์ มีเพียงผลประโยชน์ตลอดไป
หากสวีจั้งตายไป เช่นนั้นตนจะเป็นอาจารย์อาน้อยผู้ครองพินิจเหมันต์คนใหม่
หลังขึ้นตำแหน่งนี้ ความขัดแย้งทั้งหมดจะคลี่คลาย เหลือเพียงการรอที่ไม่น่าตื่นตกใจ รอขุดคุ้ยเบาะแสที่ฝังไว้ขึ้นมาทีละอย่าง ความกลัดกลุ้ม กล้ำกลืนความอัปยศ ความพยายามยี่สิบสี่ปีไม่เสียเปล่า…เขาจะได้มีชีวิตต่อไปอย่างเจิดจรัส
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ตอนนี้โอกาสวางอยู่ตรงหน้าตนแล้ว
ขอแค่หลี่ไป๋หลินยื่นมือออกไปก็จะคว้าได้ เขาแค่ต้องได้รับความสนใจจากสวีจั้ง ช่วยเขาขจัดความแค้นของเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูก เช่นนั้นเมื่อสวีจั้งตายไป มรดกทั้งหมดจะเป็นของตน
ทุกอย่างนี้ในใจเขา…กลายเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว
เขาเริ่มคิดถึงเรื่องจุกจิกยามว่าง นึกถึงเรื่องการปล้นสะดมที่ไม่น่าอภิรมย์นี้ จิตใจไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด
เขาตรวจสอบสาเหตุทั้งหมด เด็กหนุ่มที่ปล้นสะดมพักอยู่ที่ไหนในเมืองสันติ เริ่มสังหารคนครั้งแรกตั้งแต่ตอนไหน กิจวัตรประจำวันคือ…
สิ่งที่ทำให้หลี่ไป๋หลินเกิดความสนใจคือเด็กหนุ่มที่ปล้นสินค้าตนครั้งนี้…อยู่ในอารามรู้กรรม
เด็กหนุ่มที่ชื่อหนิงอี้นั่น ทำให้เขาเกิดความคิดอยากจะพบสักครั้ง
เขามองอีกฝ่ายเป็นดั่งมดปลวก เป็นขี้หมูราขี้หมาแห้ง มีใจกล้าหาญโอบฟ้า พอนึกดูดีๆ กลับรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมด ความจริงดูเหนือความคาดหมายนิดๆ การฆ่าคนปล้นสะดมของเด็กหนุ่มนั่นเรียกว่าทำได้อย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หากไม่ใช่เพราะโจรม้าที่รอดมาได้นั้น ตนอาจจะหาความจริงไม่พบ
คนชื่อหนิงอี้นั่นปล้นสินค้าของตน ไม่หนี ไม่ไปไหน แต่อยู่ที่นี่…หรือไม่รู้ว่าตนจะสาวมาถึงตัวเขากัน
ถือดีหรือว่าโง่กันแน่
องค์ชายสามคลึงระหว่างคิ้ว ครุ่นคิดเงียบๆ ตนเป็นคน ‘เปราะบาง’ มาตลอด ต่อให้เผยด้านที่ลึกกว่านี้ก็น่าจะสุภาพและอ่อนโยน
เช่นนั้น ตอนที่ตนยืนยิ้มอยู่หน้าตัวการ เด็กหนุ่มนั่นรู้ว่าตนทำผิดอะไร จะร้องไห้ฟูมฟาย คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตตัวเองหรือไม่
หลี่ไป๋หลินอาจจะสังหารเขา
เพราะนี่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น จะฆ่าก็ได้ไม่ฆ่าก็ได้ ไม่ว่าจะเลือกจัดการแบบใดก็ไม่ส่งผลใดๆ กับตนเลย
เขาแปลกใจกับความเป็นมาของเด็กหนุ่มเล็กน้อย…อารามรู้กรรมถูกเขาสู่ซานปิดไว้ ช่วงนี้เด็กหนุ่มนี่เข้าออกวัดในเวลาที่แน่นอน แทบจะมั่นใจได้เลยว่านี่เป็นศิษย์เขาสู่ซาน
และตนจะเป็นอาจารย์อาในอนาคตของเขาสู่ซาน
ก่อนที่พินิจเหมันต์จะอยู่ในมือ ตนจะต้องแสดงท่าทีเป็นมิตรกับเขาสู่ซาน
…..
รถม้าหยุดลงช้าๆ หลี่ไป๋หลินเปิดผ้าม่านรถขึ้น เขาหรี่ตาลง มองภาพตรงหน้า ใบไม้แห้งในอารามรู้กรรมหมุนวนในสายลม
อารามไม่ได้บูรณะใหม่ กำแพงสีแดงแตกร้าว มีกลิ่นอายเงียบสงบและเย็นสบาย
สวีชิงเค่อมองไปทางที่เปิดผ้าม่าน มองทิวทัศน์ในอาราม รู้สึกไม่ปกติเล็กน้อย ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง พืชหญ้ากลับแผ่พลังชีวิตเกิดใหม่ ไม่ใช่แค่ดับลง แต่ยังมีพลังชีวิตเพิ่มมาเล็กน้อย
นี่เป็นทิวทัศน์ที่ขัดแย้งกันอย่างหนึ่ง
คนเขาอนันต์เล็กไม่ได้เหยียบกระบี่บิน ตอนที่ตามหลังองค์ชายสาม พวกเขาจะเก็บกระบี่บิน สวมผ้าคลุมเนื้อหยาบ เก็บกระบี่เข้าฝัก เหมือนคนปกติ
ซูขู่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกเช่นนี้พบเห็นได้ยากมาก ตอนที่เขาอยู่แดนศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็เคยเกิดแรงกระตุ้นอยู่บ้าง แสงดาราที่ไหลเวียนในโลหิตไหลเชี่ยวกราก ควบคุมไม่ได้เล็กน้อย
ทหารม้าสองกลุ่ม สามสิบสี่สิบคน ตู้รถหนึ่งคัน หยุดตรงหน้าประตูอารามรู้กรรม
แสงตะวันยามอัสดงมีความเย็นนิดๆ ลากเงาทอดยาวมาก รูปปั้นหินสิงโตแยกเขี้ยวกางกรงเล็บเป็นเงาแตกกระจายบนพื้น เมื่อใบไม้ที่ตกลงพื้นปลิวขึ้นก็แยกไม่ออกว่าเป็นเงาหรือใบไม้
…..
หนิงอี้กำลังดึงความเป็นเทพออกมาให้เด็กสาว
เขาจะมาทุกวัน
ต่อให้เอาหยดน้ำความเป็นเทพออกไปสี่สิบสามหยด ร่างกายของสวีชิงเยี่ยนดีขึ้น เขาก็ยังคงเดินทางออกจากบ้านในเมืองสันติทุกวันตอนบ่ายด้วยความเคยชิน ถือกระบี่ร่มมาอารามรู้กรรม นำความเป็นเทพที่กำเนิดใหม่ในตัวสวีชิงเยี่ยนออก
ความเป็นเทพเป็นของหายากยิ่ง ร่างกายสวีชิงเยี่ยนเหมือนกับครรภ์มารดา จะให้กำเนิดความเป็นเทพใหม่ทุกวัน ก่อนที่จะควบแน่นเป็นหยดน้ำจะเป็นหมอกก่อน โยงใยเหมือนใยฝ้าย ยาของเขาสู่ซานมีสรรพคุณอหังการ ฝืนรวมเป็นหยดน้ำ อยู่ในกายเด็กสาว ทุกที่มีเศษความเป็นเทพหลงเหลือ เศษพวกนั้นยังไม่ทันควบแน่น บางทีแค่ใช้ยาก็อาจจะไม่มีวันควบแน่นได้
หนิงอี้ใช้ขลุ่ยกระดูกดูดซับออกมาทีละนิด
สวีชิงเยี่ยนเคยบอกว่าตนอยู่ในอารามมาไม่นานนัก หนิงอี้รู้ว่าเบื้องหลังนางซ่อนขุมอำนาจยักษ์ใหญ่เพียงใดไว้ ต่อให้เป็นองค์ชายสามที่เรียกได้ว่าตกอับแห่งแดนประจิมตอนนี้ เบื้องหลังก็มีราชวงศ์ต้าสุยอยู่เกือบครึ่ง
เขาไม่พัวพันกับการชิงอำนาจราชวงศ์
ไม่นานเด็กสาวจะถูกส่งเข้าเมืองหลวง
แต่หนิงอี้ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะต่างจากที่ตนคิดไว้เล็กน้อย
เขาขมวดคิ้ว ลางสังหรณ์บอกตนลับๆ ว่าทหารม้ากลุ่มนั้นที่มาถึงนอกอาราม เหมือนจะมีกลิ่นอายไม่เป็นมิตรอยู่
“เป็นพี่ชายข้า” เด็กสาวพ่นลมหายใจ นางไม่ได้ออกไปดูนอกหน้าต่าง ใบหน้ามีความเสียใจเล็กๆ เอ่ยเสียงนุ่มนวล “ขอบคุณเจ้าด้วย…หนิงอี้ พวกเขามาหาข้า เกรงว่าข้าคงต้องไปแล้ว”
หนิงอี้เกิดแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ในใจ เขามองใบหน้าด้านข้างสมบูรณ์แบบนั้นของเด็กสาว จากนั้นลุกขึ้น มองผ่านซอกหน้าต่างไผ่ เห็นเงามากมายนอกอาราม
คนพวกนั้น…มาหาตน
สวีชิงเยี่ยนเองก็รู้สึกแปลกๆ คนพวกนั้นที่หยุดอยู่นอกอารามไม่มีใครพูดเลย…คนที่คลุมชุดคลุมสีเทาพวกนั้นเป็นผู้บำเพ็ญ พลังของพวกเขามหาศาลและหนาแน่น
ไม่ได้มาหาตนหรือ
สวีชิงเยี่ยนมองหนิงอี้อย่างสับสน
หนิงอี้หัวเราะอย่างไร้เสียง เขาตบบ่าเด็กสาว ตอนที่หมุนตัวกลับมาก็เห็นแววตาร้อนใจของนาง ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการทุกอย่างเอง”
กระบี่ร่มพิงอยู่ข้างกายเขา
หนิงอี้หยิบกระบี่ร่มขึ้น นึกไปถึงรายละเอียดตอนที่ตนฆ่าคนปล้นสะดมเงียบๆ…ซ่างกวนจิงหงตายแล้ว คนที่ขวางทางตายแล้ว คนที่เห็นภาพนี้ตอนนั้นน่าจะตายหมดแล้ว
มีคนเดียวที่รอดไปได้
บุรุษคนนั้นที่ขี่ม้าถือคันศรบนเขาเล็ก คำพูดนั้นที่พูดกับตน
‘หนิงอี้ ข้าจำเจ้าไว้แล้ว’
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเบาๆ
สวีจั้งพูดไว้ไม่ผิด ฆ่าคนต้องฆ่าให้หมด หากตนฆ่าทุกคนจนหมดก็คงไม่มีปัญหาอย่างวันนี้
หนิงอี้ยืนในห้อง เขายื่นมือออกไปข้างหนึ่ง พริบตาที่จะผลักประตูนั้น
เด็กสาวพูดเสียงเบา “หนิงอี้”
หนิงอี้หยุดชะงัก
เด็กสาวพูดด้วยความลังเล “ระวังด้วย”
หนิงอี้ยิ้ม
ถือกระบี่ร่ม ผลักประตูออก แสงตะวันนอกห้องตกกระทบใบไม้สีแดง ซ้อนเป็นชั้นๆ เขายืนในอาราม รั้วไม้ไผ่ขวางกั้น คนในชุดคลุมสีเทาตัวใหญ่มีทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน นอกจากกลิ่นอายพืชหญ้าตอนตะวันลับแล้ว ยังมี…กลิ่นอายคุ้นเคยที่เคยได้กลิ่นตอนเทือกเขาประจิม
หนิงอี้มองไปรอบๆ เห็นคนจากเขาอนันต์เล็กที่เคยพบหน้ากันมาก่อน
เจิ้งฉีขมวดคิ้ว รู้สึกคุ้นหน้าเด็กหนุ่มนี่ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
ตอนนั้นวุ่นวายมาก ฝุ่นดินหมุนตลบ เวลาหยุดพักก็น้อยเกินไป
บุคลิกของหนิงอี้เปลี่ยนไปมาก เส้นผมสั้น สะอาดเรียบร้อย เปลี่ยนชุดคลุมใหม่ หลังก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ เขาจะอยู่กับสวีชิงเยี่ยนทุกวัน ในตัวมีความเป็นเทพที่เหมือนมีและไม่มี
หนิงอี้รีบเบนสายตา เขาถือกระบี่ร่ม ปลายกระบี่ปักลงพื้น มองตู้รถม้าคันนั้นที่ทุกคนล้อมรอบ
เสียงหนึ่งดังมาจากในตู้รถ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
………………………