ตอนที่ 38 บุญคุณช่วยชีวิตจะตอบแทนอย่างไร
หลังจากสิ้นเสียงนี้ อารามรู้กรรมพลันเงียบลง
หนิงอี้มองตู้รถนั้น เขากำลังคิดว่าจะพูดอย่างไร ฟังดูแล้วคำพูดอีกฝ่ายไม่มีความหมายเหยียดหยามใดๆ เหมือนแค่แปลกใจเท่านั้น…ตนรู้จริงหรือไม่ว่าคนนั้นที่นั่งในรถม้าเป็นใคร
ไม่ต้องคิด ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด คนที่มีคนใหญ่โตจากสองเขาศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมได้ ในแดนประจิมทั้งหมดจะมีใครไปได้อีก
ภายใต้เบื้องหลังเช่นนี้ ถามมาเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีการเหยียดหยาม ก็มีความไร้ยางอายที่รู้อยู่แล้วยังแสร้งถามของสวีจั้ง
หนิงอี้จึงตอบตามความจริง
เขาพูดสามคำอย่างสงวนถ้อยคำดั่งทอง
“องค์ชายสาม”
คนผู้นั้นในตู้รถเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเฉยชา
“หนิงอี้ เจ้าปล้นของของข้า”
หนิงอี้ไม่ตกใจที่อีกฝ่ายรู้นามของตน…องค์ชายรองอยู่ไกลในแดนบูรพา ยังเรียกกลุ่มโจรม้ามาสังหารปล้นสะดมได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสามที่อยู่ในถิ่นฐานตนเอง
หนิงอี้เพียงแค่ขมวดคิ้ว หากบอกว่าเขาปล้นสินค้าครั้งนี้…ก็ไม่ผิดจริงๆ เขาเอาของล้ำค่าที่สุดทั้งตู้รถไป เขากินไข่มุกหยินไข่มุกหยางที่มีระดับไม่ธรรมดาสองเม็ดในตู้รถเพื่อทะลวงขอบเขตแรก
แต่ตู้รถที่เหลือไปที่ใด หนิงอี้รู้ว่าสินค้าครั้งนี้จะส่งมาอารามรู้กรรม แต่เขารออยู่ที่นี่นานขนาดนี้ ไม่เห็นแม้แต่เงารถ ผีก็รู้ว่าถูกใครสกัดไว้
หนิงอี้จะพูดแต่ก็เงียบไป เขาปักกระบี่ร่มยืนหน้าประตูอาราม วงเส้นสีดำขึ้นเหนือศีรษะ ในที่สุดก็เข้าใจความรู้สึกที่เป็นแพะรับบาปของสวีจั้ง…
คนนั้นในตู้รถม้าเหมือนจะหมดความสนใจไปเล็กน้อย เขาเอ่ยเสียงเบา “เจ้ากล้าปล้นของของข้า นี่คือโทษประหาร”
เมื่อเอ่ยจบ ทหารม้าสองกลุ่มจากเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ก็ไม่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงอีก แต่สะบัดผ้าคลุมใหญ่ พลังกดดันลงมา ใบไม้แห้งในอารามรู้กรรมร่วงหล่น ตกลงมาอย่างแน่วแน่
……
หลี่ไป๋หลินที่นั่งในตู้รถม้าพูดจบก็ขี้เกียจมองอีก ก่อนหน้านี้เขาชำเลืองตามองไปทีหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้เด่นเหนือกว่าใคร ดูเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
ปล้นสินค้าของราชวงศ์ต้าสุย นี่เป็นโทษประหารอยู่แล้ว
หากเด็กหนุ่มนามหนิงอี้นั่นไม่ให้คำตอบที่เขายอมรับได้ เช่นนั้นเขาจะลงโทษเด็กหนุ่มที่ทำผิดมหันต์คนนี้ตามกฎหมาย ส่งให้เขาสู่ซานจัดการด้วยตนเอง
หลี่ไป๋หลินสังเกตเห็นว่าสวีชิงเค่อที่นั่งตรงข้ามตนมีสีหน้าแปลกไป ใบหน้ามีความฉงนและสับสนเล็กน้อย เขาเห็นอาจารย์มีสีหน้าเช่นนี้น้อยครั้งมาก
สวีชิงเค่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนคิดอะไรบางอย่าง และเหมือนรู้สึกอะไรบางอย่าง
พลังวิญญาณในอารามแห่งนี้ไม่ปกติมาก ใบไม้แห้งมาก แต่มีสีสันสวยงาม สายลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวมาก แต่ตอนที่พัดผ่านผ้าม่านกระทบผิวหนังกลับมีความอบอุ่น
เขาเคยสัญญากับเขาสู่ซานไว้ว่าจะมารับสวีชิงเยี่ยนในปีที่นางอายุสิบหก กำหนดที่หมายแล้วคืออารามรู้กรรม
เขาเข้าใจน้องสาวของตนมากกว่าใครๆ
นั่นคือคลังสมบัติความเป็นเทพ และเป็นยาพิษถึงแก่ชีวิต
นี่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ เขาขอแค่ให้นางอยู่ถึงอายุสิบหกในปีที่เข้าเมืองหลวง
ยาหลังเขาสู่ซานทำถึงจุดนี้ได้
หลายปีมานี้ เขาสู่ซานดูแลน้องสาวตนดีมาก ตอนที่สวีชิงเค่อมาเที่ยวชมเขาสู่ซาน ก็ยังไม่พบสถานที่ที่เขาสู่ซานซ่อนน้องสาวตนไว้…ตอนนี้มาถึงอารามรู้กรรม เห็นดอกไม้เบ่งบานดอกไม้ร่วงโรยในลานอาราม วัฏจักรขึ้นสนิม ทิวทัศน์เช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของความเป็นเทพแน่นอน
เสียงเปิดประตูดังมาจากข้างนอกเบาๆ
หนิงอี้มองเด็กสาวหัวดื้อที่เปิดประตูออกมาด้วยความฉงน แสงตะวันยามอัสดงสาดลงบนแก้มเด็กสาวที่ขาวหิมะไร้มลทิน จากนั้นสายตาทั้งหมดต่างมองไป
ในตู้รถม้ายังได้ยินเสียงดังเกรียวกราวจากข้างนอก
คนที่ฝึกบำเพ็ญในเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูกได้ล้วนเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่ ถึงจะเป็นเช่นนั้นตอนที่พวกเขาเห็นเด็กสาวที่เปิดประตูออกมา ก็ยังอดทอดถอนใจมิได้
หลี่ไป๋หลินขมวดคิ้ว ชะเง้อหน้าออกมา
มองทีเดียว เขาก็เบนสายตาไปไม่ได้อีก
โลกข้างนอกเล่าลือกันว่าองค์ชายสามหลี่ไป๋หลินแห่งแดนประจิมเป็นพวกมักมากในกามารมณ์ แต่คนที่รู้จักองค์ชายสามอย่างแท้จริงจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องตลก…หลี่ไป๋หลินไม่เข้าใกล้สตรีเพศ ข่าวด้านลบทั้งหมดที่แพร่งพรายออกไปเพียงแค่ทาสิ่งสกปรกให้ตัวเอง ในยามพักผ่อนในตำหนักแดนประจิม รอบกายเขาจะมีนกขมิ้นบินรอบ มักจะนึกถึงว่าเพราะตนเกิดช้าไปหน่อยเลยต้องตกต่ำถึงเพียงนี้ ยิ่งมองยิ่งเกลียด ยิ่งมองยิ่งแค้น
ความรัก…เป็นของปลอม
หลี่ไป๋หลินเหม่อมองเด็กสาวที่ผลักประตูคนนั้น ใบหน้ารูปไข่เยาว์วัยน่ารัก เครื่องหน้าองอาจ ต่างกับสตรีพวกนั้นที่ตนเคยเห็น
เขาได้ยินสวีชิงเค่อบอกว่าตระกูลสวีมีสตรีที่หากเติบใหญ่จะเป็นหญิงงามที่ยากจะพานพบได้ เพียงแต่มีโรคอยู่กับตัว ต้องรออายุสิบหก ส่งเข้าเมืองหลวง จะมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับองค์ชาย
บุรุษผอมบางที่นั่งตรงข้ามหลี่ไป๋หลินเห็นอาการเหม่อลอยขององค์ชายก็ส่ายหน้าเงียบๆ เคาะผนังในตู้รถสองที จนหลี่ไป๋หลินได้สติกลับมาถึงได้พูดเสียงเบาในรถม้า
…….
หนิงอี้เอ่ยเสียงเบา “เจ้าไม่ต้องมาก็ได้ ข้าจัดการทุกอย่างได้”
วิธีแก้ปัญหาของหนิงอี้ง่ายมาก สู้…สู้ไม่ได้ก็หนี ตั้งแต่ที่เขาเปิดประตูก็คิดมาตลอด หากเกิดการปะทะขึ้นมา จะหนีไปจากมือผู้บำเพ็ญเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนี้อย่างไร
ที่นี่คือเขตแดนเขาสู่ซาน คนเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่คงไม่กล้าอวดดี
การปรากฏตัวของเด็กสาวเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้
สวีชิงเยี่ยนคลายปมคิ้ว พูดกระซิบให้คนอื่นไม่ได้ยิน “ข้าไม่วางใจ…ความจริงพี่ชายข้าไม่ใช่คนเลว เจ้าช่วยข้า ดังนั้นเจ้าไม่ควรตาย”
หนิงอี้มองเด็กสาวเงียบๆ คำนวณเรื่องอื่นในใจเงียบๆ
สวีชิงเยี่ยนเดินมาหนึ่งก้าว เบนสายตามองทุกคนช้าๆ ก่อนจะพูดกับรถม้านั้นอย่างจริงจัง “คุณชายหนิงอี้ ช่วยชีวิตข้าไว้”
คำพูดนี้มีความหมายชัดเจนมาก
คนจากเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่เริ่มซุบซิบ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเด็กสาวคนนี้เกี่ยวอะไรกับรถม้า แต่บรรยากาศตึงเครียดหายไปตั้งแต่นางออกมา
คนส่วนใหญ่ขมวดคิ้ว มองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เพิ่งอยู่ร่วมห้องกัน ความคิดเพ้อต่างๆ ขยายออกไป…แต่ไม่นานนัก มีเสียงเคาะดังกังวานมาจากในรถม้า สวีชิงเค่อเก็บมือแล้ว ทุกคนก็เงียบลงโดยไม่ต้องนัดหมาย
“คุณชายหนิงอี้…ข้าขอคืนคำก่อนหน้านี้แทนองค์ชาย”
มีคนลงมาจากรถม้า สวีชิงเค่อมองน้องสาวที่ไม่ได้พบกันมาสามปี เด็กสาวที่อาบกลางแสงตะวันน่าตกใจจริงๆ ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนข้างสวีชิงเค่อดูธรรมดาเหมือนขยะ
“เจ้ากดความเป็นเทพในกายนางไว้รึ” สวีชิงเค่อขมวดคิ้วพลางพูด “เจ้าคือคนเขาสู่ซานหรือ”
หนิงอี้ตอบอืม
“เจ้าน่าจะรู้ว่านางป่วย” สวีชิงเค่อพูดเสียงเบา “ยาเขาสู่ซานรักษาไม่หาย”
หนิงอี้พยักหน้า
ความเป็นเทพพวกนี้ในกายสวีชิงเยี่ยน ยาของเขาสู่ซานทำได้แค่กดไว้ ไม่ให้กระจายออก
“ข้าจะส่งนางไปเมืองหลวง เมืองหลวงแห่งต้าสุย มีปราชญ์โอสถปรมาจารย์ยาเหนือชั้นที่สุดในโลกหล้า มีฝีมือเลิศล้ำ พวกเขาทำให้นางมีชีวิตต่อได้นานขึ้น” สวีชิงเค่อมองหนิงอี้ พลันเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่านางงดงามหรือไม่”
หนิงอี้พยักหน้าเงียบๆ อีกครั้ง
“ข้าหวังว่าร่างกายนางจะไม่เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างน่าเวทนา” สวีชิงเค่อยิ้มแล้วพูดต่อ “หลังแยกกันมาสามปี ได้พบน้องสาวของข้าอีกครั้ง พบว่าสุขภาพนางไม่ได้แย่ลง ดูท่าคงยังมีชีวิตไปได้อีกสักระยะ นี่เป็นเรื่องดี และทำให้ข้ามีภาพจำต่อเขาสู่ซานดีขึ้นด้วย”
คำพูดพวกนี้ฟังดูเหลวไหลและยังถือดี
แต่หนิงอี้ไม่ยิ้ม
บุรุษผอมบางตรงหน้าดูไม่มีพลังบำเพ็ญ แต่กลับสร้างแรงกดดันมหาศาลให้หนิงอี้
และเป็นความรู้สึกอันตรายในกระแสคลื่นลับ
หนิงอี้เม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดตอบ
“เจ้ารักษานางอย่างไร” สวีชิงเค่อเลิกคิ้วขึ้น
หนิงอี้ส่ายหน้า ปฏิเสธจะตอบคำถามนี้
เงียบ
สวีชิงเค่อพิจารณาเด็กหนุ่มอย่างจริงจัง ก่อนจะพูดเสียงเบาและนุ่มนวล “ทุกคนล้วนมีความลับ…เจ้าทำให้นางอยู่ต่อไปได้อีกหลายปี เป็นโชควาสนาของพวกเจ้าสองคน”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว
สวีชิงเยี่ยนมองพี่ชายตนเองอย่างเฉยชา
“องค์ชายยินดีจะละเว้นโทษของเจ้า” สวีชิงเค่อยิ้ม “เจ้าไม่ใช่แค่ไม่ต้องตาย…แต่ยังได้กลับเมืองหลวงไปกับองค์ชาย ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
เด็กหนุ่มไม่มีสีหน้าดีใจใดๆ ไม่พยักหน้า และก็ไม่ส่ายหน้า
สวีชิงเค่อมีสีหน้าปกติ ซูขู่ที่ยืนข้างเขาเห็นท่าทีของเด็กหนุ่มก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
สองเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เหลือ ผู้บำเพ็ญส่งสายตากัน มองเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยความสงสัย เหตุใดถึงมีท่าทีโต้ตอบต่างจากรองหัวหน้าโจรม้าคนนั้นหลังได้ยินคำพูดแบบเดียวกันนี้
ในมุมมองพวกเขา การถูกพากลับเมืองหลวงเป็นเรื่องที่มีพระมหากรุณาเป็นล้นพ้น
ซูขู่พลันเดินหน้ามาหนึ่งก้าว เขามองสวีชิงเค่อก่อน และยังมีองค์ชายสามหลี่ไป๋หลินในรถม้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ในตำหนักทะเลสาบกระบี่ ผู้บำเพ็ญอย่างพวกข้าเดินบนปลายกระบี่ บุกฝ่าโลกหล้าก็ดี ออกไปฝึกฝนก็ดี มักจะบาดเจ็บเป็นประจำ หนักเบาไม่เหมือนกัน ทุกปีจะมีคนตาย…หากถูกช่วยจนรอด นั่นเป็นเรื่องโชคดียิ่ง”
ผู้อาวุโสเจิ้งฉีแห่งเขาอนันต์เล็กได้ยินเช่นนั้นก็สับสนเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าซูขู่จะพูดอะไร
ในตู้รถม้าเงียบงัน
ซูขู่พูดต่อ “ช่วยหนึ่งชีวิตเหนือกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น…บุญคุณช่วยชีวิต เป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า”
หนิงอี้ฟังถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจ ใจนึกว่าในผู้บำเพ็ญพวกนี้ยังมีคนปกติอยู่คนหนึ่งบ้าง
เมื่อครู่เขาอยากจะบอกว่าตนไม่ต้องการเงินทองใด และไม่ต้องการรางวัลใด…เรื่องปล้นสินค้าก็ให้หายกันไป เขาไม่อยากถูกพาไปเมืองหลวง ให้เด็กหนุ่มอายุสิบหกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คำพูดนี้มันบ้าอะไรกัน
สิ่งที่ทำให้หนิงอี้อึดอัดคือผ่านไปไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ ซูขู่หันกลับมา เอาสองมือไพล่หลัง มองลงมาอย่างทะนงตัว แต่สีหน้ากลับจริงใจอย่างยิ่ง พูดเตือนด้วยความหวังดี “หนิงอี้ องค์ชายสามช่วยชีวิตเจ้า บุญคุณยิ่งใหญ่เท่าฟ้านี้…เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้สำนึกบ้าง”
……………………….