ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 39 อาจารย์อาน้อย

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 39 อาจารย์อาน้อย

คำว่าตอบแทนคุณดังในหูหนิงอี้ ทำให้เด็กหนุ่มเงียบลง

เวลานี้หนิงอี้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ตอบแทนคุณหรือ

ตอบแทนคุณ…ตอบแทนอะไร

หนิงอี้มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขามองรถม้านั้น ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ องค์ชายสามนั่นยังไม่ลงจากรถ เพียงแค่ตอนที่ชะเง้อหน้ามองใบหน้างดงามของสวีชิงเยี่ยนจนตะลึงไปชั่วขณะ

ตั้งแต่แรกเห็นหลี่ไป๋หลิน หนิงอี้ก็ไม่ชอบองค์ชายสามแห่งตระกูลเก่าแก่ราชวงศ์ต้าสุยคนนี้แล้ว

ในดวงตาหลี่ไป๋หลินมีอะไรมากมาย หนิงอี้มองออก

โลกนี้ ดำก็คือดำ ขาวก็คือขาว ต้องการก็คือต้องการ ไม่ต้องการก็คือไม่ต้องการ ปิดบังได้ก็แค่ปิดบังไปตลอดชีวิต ไม่อาจซ่อนไว้ข้างใน หนิงอี้ไม่ชอบคนเสแสร้งจอมปลอมมากที่สุด

ในดวงตาองค์ชายสามมีอะไรมากมาย ไม่มีอย่างเดียวคือความจริงใจ

เขาพูดน้อยมาก แต่แววตากลับชัดเจนมาก

ใช้อำนาจแห่งบุญคุณกดดันตน จากนั้นปล่อยตนไปให้ตนซาบซึ้งใจ ซาบซึ้งในบุญคุณ

หนิงอี้ถอนหายใจ ใจนึกกลอุบายนี้ของราชวงศ์ต้าสุยน่าจะลองมาหลายครั้งแล้วในระยะสามหมื่นหกพันลี้กระมัง

ตนรับผิดแทนคนนั้นที่ปล้นสินค้าไปในตอนสุดท้าย บุญคุณนี้ไม่ทดแทนก็ต้องทดแทนแล้ว

เขามององค์ชายสามพลางพูดสองคำอย่างจริงจัง

“ขอบคุณ”

เรื่องราวย่อมไม่จบลงแค่นี้แน่

นี่ไม่น่าจะเป็นท่าทีของชาวบ้านต่อองค์ชายต้าสุย หนิงอี้ไม่มีความยำเกรง ผู้บำเพ็ญแห่งเขาอนันต์เล็กเตรียมชักดาบ สั่งสอนเจ้าเด็กนี่ แต่องค์ชายสามในรถม้าเหมือนจะไม่ถือสาการเสียมารยาทตรงนี้

หลี่ไป๋หลินเคาะรถม้า เสียงเบาดังขึ้น ทำให้คนแห่งเขาอนันต์เล็กกดความบุ่มบ่ามที่จะชักดาบไว้

“พาแม่นางสวีขึ้นมา…”

หนิงอี้มองซูขู่ในชุดคลุมสีเทาตัวใหญ่เดินเข้ามาช้าๆ เขาก้มหน้าลง มองแววตาใสสะอาดของสวีชิงเยี่ยน ยิ้มพลางตบบ่านาง พูดเบาๆ “ไปเถอะ”

สวีชิงเยี่ยนขานรับเสียงเบา…

ตอนสุดท้าย เด็กสาวพูดเสียงเบาที่คนอื่นไม่ได้ยิน “รักษาตัวด้วย”

หนิงอี้ยิ้มอ่อนโยน

ซูขู่พาสวีชิงเยี่ยนขึ้นรถม้าอีกคัน หลังเด็กสาวขึ้นรถม้า หนิงอี้ขมวดคิ้วขึ้น เขาเห็นผู้บำเพ็ญแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ท่านนี้ยืนอยู่ข้างรถม้านานมาก ประสานมุทรา เหมือนวางค่ายกลอะไรบางอย่าง

น่าจะเป็นค่ายกลกั้นเสียงกระมัง

คนควบม้าคันนี้ถือแส้ขึ้น เตรียมออกเดินทาง

องค์ชายสามดูหมดความสนใจไปอย่างชัดเจน เขาพูดเสียงเบา “ไปเถอะ…สั่งสอนเขาสักหน่อย”

ผู้อาวุโสคุมกฎเจิ้งฉีแห่งเขาอนันต์เล็กที่รออยู่ด้านข้างพยักหน้า เข้าใจความหมายขององค์ชายสาม เขากวาดสายตามองศิษย์ข้างหลัง พลันมีศิษย์คุมกฎฝ่ายในที่เพิ่งทะลวงขอบเขตกลางคนหนึ่งสบตาเขาแล้วพยักหน้า

รถม้าสองคันเริ่มออกเดินทางตามกันไป องค์ชายสามเปิดผ้าม่านรถขึ้นช้าๆ จะดูเด็กหนุ่ม ‘หนิงอี้’ อีกทีว่าถูกสั่งสอนเป็นอย่างไร

หลี่ไป๋หลินลงมือไม่ได้ หนิงอี้บอกว่าตนเป็นศิษย์เขาสู่ซาน อาจารย์อาเขาสู่ซานในอนาคตอย่างเขาจะออกมือลงโทษเพราะเรื่องเล็กๆ ไม่ได้…แต่ถ้าพูดตรงไปตรงมาหน่อย โลกของสองคนต่างกันราวฟ้าดิน หลี่ไป๋หลินเป็นราชวงศ์ต้าสุยผู้สูงศักดิ์ หนิงอี้เป็นเพียงคนรากหญ้า หากไม่มีอะไรผิดพลาด หลังจากวันนี้ไปจะไม่ได้พบกันอีก

หลี่ไป๋หลินที่ใบหน้าซีดขาว ดูสุขภาพอ่อนแอ ความจริงเป็นผู้บำเพ็ญที่ซ่อนพลังบำเพ็ญมานาน สายเลือดของราชวงศ์ต้าสุยสืบทอดมาอย่างดียิ่ง ขอบเขตพลังเขาค่อนข้างสูง คนที่จะได้จับพินิจเหมันต์แต่ไม่มีพลังบำเพ็ญที่คู่ควรจะเป็นอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานได้อย่างไร

เพียงแต่หลี่ไป๋หลินแสดงความอ่อนแอมาตลอด สำนักลับของเขาสู่ซาน ในบันทึกเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดรวมถึงราชวงศ์ เขาไม่มีผลงานการรบเลย

เขามองออกนานแล้วว่าหนิงอี้เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขั้นต้นขอบเขตที่สอง วัดกันที่ทะเลจิตหรือทะเลสาบดาราก็เป็นเพียงคนไร้ความสามารถเท่านั้น กลุ่มคนของตน คนเขาอนันต์เล็ก คนที่ติดตามเจิ้งฉี อย่างน้อยก็เป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลางขอบเขตที่สี่ ใช้แค่กระบี่เดียว อย่างเบาก็ทำให้เขานอนสิบวันถึงครึ่งเดือน ตัดเส้นเอ็นกระดูกสามสี่เส้น อย่างหนักก็สิ้นพลังบำเพ็ญ ไม่มีหวังฝึกบำเพ็ญอีก

นี่คือ…โทษของการล่วงเกิน โทษของการไม่เคารพ

ทว่าเขากลับได้เห็นภาพที่ตนไม่อยากเห็น

….

ศิษย์เขาอนันต์เล็กที่แค่สบตากับเจิ้งฉีก็ชักกระบี่ออกมานั้น มีพลังบำเพ็ญขอบเขตที่สี่แล้ว เขายกแขนขึ้นตบบ่าตัวเอง กระบี่ยาวสีเทาทะลวงชุดคลุมออกมา ตัวพุ่งไปข้างหน้า กระบี่พุ่งตามไป

ศิษย์เขาอนันต์เล็กกำด้ามกระบี่ด้วยมือเดียว เริ่มวิ่งอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ เป้าหมายคือเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าประตูอารามรู้กรรม

หนิงอี้มีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ในจินตนาการเขา นี่ต่างหากคือการทักทายที่แท้จริง เขาพยักหน้าให้ศิษย์เขาอนันต์เล็กที่พุ่งเข้ามานั้น ก่อนใช้ปลายเท้าเตะปลายกระบี่ร่ม เอนตัวไปข้างหลัง กระบี่ยาวสีเทาพุ่งเข้ามา แนบกับแก้มเด็กหนุ่ม ตัดกึ่งกลางของสิงโตหิน

เศษหินแตกกระจาย ศิษย์เขาอนันต์เล็กเพ่งมองเด็กหนุ่มที่โต้ตอบเร็วยิ่งที่อยู่ใต้ร่าง ไม่อยากเชื่อว่าจะหลบกระบี่ของตนได้

แสงดาราปะทุขึ้น เขาเหยียบสองเท้าลงพื้นยืนตรง แล้วฟันกระบี่ออกไปทันที!

หนิงอี้หลับตาลง ฟังเสียงลมรุนแรงในอากาศ

เขาไม่รีบร้อนออกกระบี่ร่ม เพราะอานุภาพกระบี่ที่สวีจั้งมอบให้ตน ทุกกระบวนท่าคือการสังหาร องค์ชายสามอยากจะสั่งสอนตน เกรงว่าคงแค่อยากจะหักกระดูกตนสองท่อน หากตอนนี้ตนสังหารศิษย์เขาอนันต์เล็กคนนี้ คงจะล่วงเกินราชวงศ์ต้าสุยอย่างแท้จริง จะมีปัญหาไม่น้อยเลย

กระบี่ร่มไม่ได้หมุนด้านคมกระบี่ออกมา ตัวหนิงอี้เหมือนปลาไหล หมอบพื้นเหมือนมังกร แม้จำนวนแสงดาราขอบเขตที่สองจะน้อย แต่ก็คล่องแคล่วกว่าศิษย์เขาอนันต์เล็กขอบเขตที่สี่คนนี้ แนบไปกับใต้ฝ่าเท้า ทั้งตัวเหมือนแมลงปอเล่นน้ำ ก้าวไปข้างหน้า ผ่านใต้ร่างศิษย์คนนั้น ปราณกระบี่ลอยขึ้น ประตูอารามรู้กรรมถูกกระบี่ฟันขาดเป็นสองส่วน

หนิงอี้ที่แทบจะแนบไปกับพื้น มีเพียงใต้ฝ่าเท้าที่ติดกับพื้นพลันยืดตัวขึ้น เขาไม่ได้หันไปมองศิษย์ข้างหลัง แต่มองข้ามกลุ่มคนไปสบตากับรถม้าขององค์ชายสาม

เสียงดังเช่นนี้ สวีชิงเยี่ยนยังไม่ชะเง้อหน้าออกมา…ดูท่าบุรุษชุดคลุมสีเทานั่นคงจะวางค่ายกลกั้นเสียงไว้จริงๆ

หนิงอี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนมองไม่เห็น ถือว่ายิ้ม

การทำเช่นนี้…มีความตั้งใจจริงๆ

ศิษย์เขาอนันต์เล็กที่หมุนตัวกลับมา หน้าแดงดำ สองมือถือกระบี่ กระโดดลอยขึ้นสูง

เสียงปราณกระบี่ทะลวงอากาศดังมาจากข้างหลัง

หนิงอี้ไม่ได้หมุนคมกระบี่ ไม่หันไปมอง กระบี่ร่มมีเพลิงดาราวนเวียนเป็นวงโคจรกลางฟ้า ประกายเย็นเยือกมากมายพุ่งออกไป ศิษย์เขาอนันต์เล็กที่กระโดดขึ้นสูงถูกกระแทกจนลอยเข้าไปในอารามรู้กรรม

ประกายเย็นเยือกที่พุ่งออกมานั้นคือเศษกระบี่เทาที่ถูกกระบี่ร่มฟันแตกแล้วกระเด็นออกไป แรงมหาศาลพุ่งใส่กำแพงสีแดงกระเบื้องขาวของอารามรู้กรรม ระเบิดเป็นฝุ่นควันลอยออกมาเรื่อยๆ

หนิงอี้ยืนอยู่กลางฝุ่นดินที่หมุนตลบไปรอบๆ ศิษย์เขาอนันต์เล็กที่นั่งกับพื้นอยู่ในสภาพน่าสงสารมาก ทั้งยังตื่นตกใจ

แต่หนิงอี้ไม่ เขาหมุนคมกระบี่ร่มเบาๆ กางร่มเล็กออก เขายืนอยู่ใต้ชายคา ฝุ่นดินกระแทกใส่ใบร่ม รวมกันหล่นลงมา เศษหินตกลงพื้นดังแกรกๆ

รถม้าขององค์ชายสามหยุดลง

คนจากเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่หยุดฝีเท้า พวกเขามองภาพนั้นในอารามรู้กรรมเงียบๆ

ซูขู่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่มีท่าทีเย้ยเยาะเสี้ยวหนึ่ง

เขาเห็นผู้อาวุโสคุมกฎเขาอนันต์เล็กมีสีหน้าปั้นยาก คิ้วขมวดมุ่น มองภาพฝุ่นกระจายในอารามรู้กรรม เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

เจิ้งฉีรู้สึกเหมือน…เคยเห็นภาพนี้ที่ใดสักแห่ง

รถม้าของสวีชิงเยี่ยนขับออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

หนิงอี้มองรถม้าของเด็กสาวหายลับไปในเส้นพื้นราบกับสายตาตนพร้อมกับดวงตะวันช้าๆ เด็กหนุ่มครุ่นคิดเงียบๆ สวีชิงเยี่ยนไปเมืองหลวง…ก็น่าจะรักษาหายในเร็ววัน

แบบนี้ก็เป็นบทสรุปที่ไม่เลวเหมือนกัน

เขาพูดคำว่ารักษาตัวด้วยเบาๆ จากนั้นเก็บกระบี่ร่ม เดินออกจากอารามรู้กรรมที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายช้าๆ

หลี่ไป๋หลินลงจากรถแล้ว เขาเพ่งมองหนิงอี้

พูดให้ถูกคือเพ่งมองร่มนั้นของหนิงอี้

เขาไม่รู้เบื้องหลังของเด็กหนุ่มคนนี้ แต่การสู้กับศัตรูข้ามขอบเขตพลังได้…จะต้องเป็นอัจฉริยะแน่นอน ไม่ว่าวางไว้ในเขาศักดิ์สิทธิ์ใดล้วนเป็นอัจฉริยะ

ทว่าการต่อสู้เมื่อครู่ ดูเหนือความคาดหมายนิดๆ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ หนิงอี้ออกเพียงกระบี่เดียว กระบี่เดียวก็ทำลายวิชากระบี่ขอบเขตที่สี่ที่เขาอนันต์เล็กเสริมความแกร่งให้มากมายได้

ทุกคนต่างรู้ว่ากระบี่ของหนิงอี้ไม่ใช่ของธรรมดา

องค์ชายสามก็สังเกตเห็นในจุดนี้เช่นกัน

เขาลงจากรถม้า ยืนกลางสีท้องฟ้ายามโพล้เพล้ ในดวงตาซ่อนผืนดาราลึกล้ำไว้ มองไปยังหนิงอี้

หนิงอี้พลันรู้สึกว่าองค์ชายสามต้องเป็นคนที่ลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้แน่ ในดวงตาคู่นั้นซ่อนธารดาราสว่างไสวไว้ ต่อให้ไม่เผยพลังบำเพ็ญ พลังก็ยังอยู่เหนือกว่าคนอื่นที่นี่

“ที่พวกเขาพูดไปก่อนหน้านี้…เกินไปหน่อยจริงๆ สิ่งที่ทำพวกนั้นก็เกินไปเช่นกัน”

หลี่ไป๋หลินมองหนิงอี้ พูดด้วยใบหน้าจริงใจขึ้นเรื่อยๆ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยเลย”

หนิงอี้มององค์ชายสาม ใจนึกว่าหรือนี่จะเป็นการความใจกว้างโน้มน้าวคนที่ว่านั่นกัน หรือจะเป็นยอมอ่อนข้อเพื่อให้จบเรื่อง หนิงอี้ขานรับเสียงเบา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระโพธิสัตว์ท่านนี้ถึงเปลี่ยนท่าทีหน้าหลังเร็วขนาดนี้

องค์ชายสามมองหนิงอี้ก่อนถามเสียงนุ่มนวล “เจ้าเพิ่งเข้าเขาสู่ซาน เพิ่งก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญรึ”

หนิงอี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า

“สินค้านั่นของข้าส่งมาถึงอารามรู้กรรม เดิมทีจะมอบให้ศิษย์บนเขาสู่ซาน” หลี่ไป๋หลินยิ้ม “เจ้าเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ยาก ทรัพยากรพวกนี้ให้เจ้าไปก็ไม่เสียหาย”

หนิงอี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดองค์ชายสามถึงเปลี่ยนท่าทีไปมากขนาดนี้…

เขาอยากผูกมิตรกับเขาสู่ซาน

หลี่ไป๋หลินยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “เจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ใด ข้าจะไปเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง”

หนิงอี้ตอบอย่างจริงจัง “อาจารย์ข้าตายไปแล้ว”

“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ…” หลี่ไป๋หลินมองหนิงอี้ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ในเมื่อเจ้าเป็นอัจฉริยะแห่งเขาสู่ซาน เช่นนั้นกฎทั้งหมดก็จะเปิดเส้นทางให้เจ้า ปล้นสินค้าของข้า ทำร้ายศิษย์เขาอนันต์เล็ก พวกเราจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”

ผู้อาวุโสเจิ้งฉีมีสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย ศิษย์เขาอนันต์เล็กที่นั่งกับพื้นหน้าแดงก่ำ หยิบเศษกระบี่บนพื้นขึ้นมา เดินกะเผลกเฉียดผ่านหนิงอี้กลับไป

หนิงอี้แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “เพราะอะไรกัน”

หลี่ไป๋หลินตอบ “เพราะข้าชื่นชมเจ้ามาก”

หนิงอี้ทำเสียงอ้อแสดงความเข้าใจแจ่มแจ้ง

หลี่ไป๋หลินยิ้ม “เจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์อาน้อยได้”

หนิงอี้มององค์ชายผอมบางในชุดคลุมขาวคนนั้นพลางถามด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายสามเป็นอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานตั้งแต่เมื่อไรกัน”

“อีกไม่นานก็จะเป็นแล้ว” หลี่ไป๋หลินมองเด็กหนุ่ม “เจ้าตามข้าขึ้นเขาสู่ซานไปพิสูจน์ด้วยกันได้”

หนิงอี้ปลงในใจ ใจนึก…จนถึงตอนนี้ ตนยังไม่เคยขึ้นเขาสู่ซานเลยสักครั้ง

เขาเปิดริมฝีปากเล็กน้อย จะพูดอะไรบางอย่าง

ตอนนี้เอง ผู้อาวุโสเขาอนันต์เล็กที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วมองหนิงอี้มาตลอด ยิ่งมองเด็กหนุ่มยิ่งคุ้นตา เชือกเส้นนั้นในความคิดในที่สุดก็ผูกหนิงอี้ตรงหน้ากับเด็กหนุ่มแห่งเทือกเขาประจิมเข้าด้วยกัน

“องค์ชายเชิญเสด็จถอยก่อน!” เจิ้งฉีพลันหน้าเปลี่ยนสีไป หันไปพูดเสียงเย็นชา “ศิษย์เขาอนันต์เล็กฟังคำสั่ง! วางค่ายกลกระบี่!”

……………………..