ตอนที่ 40 กระบี่สนิมสามฉื่อ ภูลำธารหมื่นลี้ (rewrite)
อารามรู้กรรมเกิดพายุคลั่ง ปราณกระบี่หมุนม้วนเสียงดังสนั่น
เขาอนันต์เล็กข้างหลังเจิ้งฉีมีชื่อเสียงเรื่องค่ายกล ค่ายกลดาบค่ายกลกระบี่ ถนัดเรื่องการสังหารหมู่ ศิษย์เขาอนันต์เล็กออกเดินทาง ส่วนใหญ่จะรวมเป็นกลุ่ม สามคนห้าคนวางค่ายกลกระบี่เล็ก ขอบเขตกลางสามารถข้ามขั้นขอบเขตเล็กไปสู้กับศัตรูได้ ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งแกร่ง ค่ายกลกระบี่ประจำสำนักเขาอนันต์เล็กจะรวมค่ายกลกระบี่เล็กเก้าสิบเก้าค่ายปกป้องสำนัก บนเขามีศิษย์เกือบพัน ร่วมแรงร่วมใจกัน ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเหนือกว่าขอบเขตดาราชะตาบุกโจมตี ก็ยากจะทำลายลงได้ง่ายๆ
ในอารามรู้กรรม รั้วถูกปราณกระบี่ยกลอยขึ้นทั้งหมด หินดินกระจาย กำแพงหนาแน่นของอารามถูกแรงยกมหาศาลสั่นสะเทือน ขาวหิมะแดงเงาถูกฟันขาด เขาลอยขึ้นจากพื้นสามฉื่อ เหยียบปลายกระบี่ โค้งไปทั้งตัว สายตาจ้องเด็กหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลเขม็ง แขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด ประสานปางมือไม่หยุด
“แกนฟ้า”
“หยกฟ้า”
“ไข่มุกฟ้า”
เมื่อสิ้นเสียงเจิ้งฉี พายุปราณกระบี่ข้างหลังเขาขยายใหญ่ขึ้น ในระยะสิบจั้ง ปราณกระบี่ที่แผ่กระจายอย่างรวดเร็วปกคลุมฟ้าดิน เงามืด ทุกเสียงกระแทกลงมาเหมือนป้ายคำสั่งจักรพรรดิ เมื่อบุรุษขี่กระบี่หุบสองนิ้วลง ฟ้าดินถูกฟันเป็นรอยแยกหนึ่ง แสงสว่างจ้า เปลวเพลิงมืดมิดลุกโชนขึ้น เริ่มวนเวียนรอบตัวผู้อาวุโสคุมกฎแห่งเขาอนันต์เล็ก
ป้ายคำสั่งจักรพรรดิเจ็ดแผ่น เกิดแสงสว่างเจ็ดสายกลางฟ้าดินมืดมิดเหมือนดาราเจ็ดดวง เพียงแต่ฟ้าดินมืดครึ้ม ในระยะสิบจั้งมีแสงสว่างข้างนอกเข้ามาเล็กน้อย ดาราเจ็ดดวงไม่ใช่ดาวชะตาที่แท้จริง ไม่ว่าหยิบดวงใดออกมา วัดกันที่ขนาดก็ต่างกันอย่างยิ่ง ต่อให้เจ็ดดวงรวมกันก็ยากจะประชันแสงได้
องค์ชายสามมองภาพนี้เงียบๆ
ซูขู่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่เลิกคิ้วขึ้น ทำทีเป็นนิ่งดูดาย กอดอกยิ้ม จากนั้นเดินหนึ่งก้าว มาอยู่นอกพายุหมุนปราณกระบี่
“องค์ชาย ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กมีใจคับแคบยิ่งนัก เจ้าคิดเจ้าแค้นมาก…” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ “เด็กหนุ่มชื่อหนิงอี้นี่ เกรงว่าก่อนหน้านี้คงจะเคยล่วงเกินพวกเขา”
หลี่ไป๋หลินพยักหน้า
เขาไม่ได้ออกปากห้ามและไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ทำเสียงอืมขึ้นจมูก ชำเลืองตามองคนเขาอนันต์เล็กทุกคนที่มีปราณกระบี่พุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะมองหนิงอี้อีกครั้ง
ก้นบึ้งในใจเขาพลันรู้สึกสงสัยเสี้ยวหนึ่ง เกิดความไม่สงบนิดๆ
จิตใจไม่สงบนิ่ง
และสาเหตุที่ทำให้หลี่ไป๋หลินรู้สึกจิตใจไม่สงบนิ่งนั้น…เขาพยายามตามหา สุดท้ายอยู่ที่ตัวหนิงอี้ ทั้งตัวเด็กหนุ่มคนนี้มีกลิ่นอายที่ทำให้ตนรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง
หลี่ไป๋หลินขบคิดอย่างถี่ถ้วน
เขามองกระบี่ร่มของหนิงอี้อีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาอยากเข้าใจ
สีหน้าหลี่ไป๋หลินเปลี่ยนเป็นเฉยชา ประกายในดวงตาหายไปช้าๆ เหลือเพียงดำมืด…เขานึกถึงคำพูดที่บัณฑิตยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งในเมืองหลวงเตือนตน
ขอแค่มีความเป็นไปได้ว่าจะเลวร้ายลง…เช่นนั้นมันต้องเลวร้ายลงแน่
องค์ชายสามลดสองแขนเสื้อลง มองเด็กหนุ่มท่ามกลางโลกปราณกระบี่นิ่งๆ
ในที่สุดหลี่ไป๋หลินก็รู้ว่าคำพูดของบัณฑิตท่านนั้นหมายถึงอะไร เขาควรจะฆ่าหนิงอี้ตั้งนานแล้ว
เด็กหนุ่มกำกระบี่ร่มแน่นขึ้นทีละนิด
คมกระบี่ออกจากฝัก
…..
ฟ้าดินมืดครึ้ม หนิงอี้กำกระบี่ยืนตรง คมกระบี่ของกระบี่ร่มถูกเขาหมุนออกมาเบาๆ
ปราณกระบี่ของเจิ้งฉีอัดแน่นฟ้าดิน
การรับมือกับผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สอง ไฉนต้องระดมกำลังเช่นนี้
ศิษย์เขาอนันต์เล็กขอบเขตที่สี่คนนั้น ประมาท ทั้งยังเสียเปรียบกระบี่
หากเปลี่ยนเป็นศิษย์ขอบเขตเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องปะทะเลย แค่พัวพันไปรอบๆ ไม่ปะทะคมกระบี่ รอจนแสงดาราและแรงหมด…เช่นนั้นการจะสั่งสอนตัวเองก็เป็นเรื่องง่ายมาก
หนิงอี้รู้ว่าคงจะโดนบุรุษขี่กระบี่แห่งเขาอนันต์เล็กจำได้แล้ว เขากำกระบี่ร่มแน่น ใบหน้าสงบนิ่งยิ่ง เหมือนเตรียมรับการโจมตีอย่างไร้กังวล ใต้ฝ่าเท้ากระโดดบนพื้นแล้ว เหยียบเป็นหลุมเว้าลงไปสองหลุม
พื้นที่สิบจั้งโดยรอบอารามรู้กรรมถูกปราณกระบี่กดอัด บีบจนแน่นมาก…หนิงอี้ถึงได้รู้ว่าผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้ ตนคิดจะหนี เกรงว่าคงเป็นเรื่องเหลวไหล กินกระบี่นั้นไป หากปะทะ กระบี่ร่มจะต้านได้หรือไม่ยังไม่รู้ ต่อให้ต้านได้ ตนจะหนีรอดจากบุรุษขี่กระบี่คนนี้ได้หรือ
ตัวกระบี่ใต้เท้าเจิ้งฉีเป็นเงาวาว แสงสว่างตกกระทบข้างตัวกระบี่ ถูกกระแทกแตกกระเซ็นไปรอบๆ เหมือนประกายไฟ
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น
เห็นได้ชัดว่าไม่มีทาง…
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
ดูท่าทางแล้ว เกรงว่าคงไม่ใช่แค่สั่งสอนง่ายๆ นี่จะเอาตนถึงตายเลยรึ
เขามองไปนอกโลกปราณกระบี่ ขลุ่ยกระดูกเกิดคลื่นกระเพื่อมในอกเสื้อ ความเป็นเทพที่แผ่ออกมาทำให้หนิงอี้เห็นแสงสว่างนอกโลกปราณกระบี่ ดวงตะวันลับลงมา ราตรียาวนานมาเยือน องค์ชายสามในชุดคลุมขาวที่ยืนอยู่ตรงเส้นพื้นราบวางสองแขนเสื้อลง มองตนอย่างเฉยชา
ในโลกปราณกระบี่ที่มืดมิดนี้ หนิงอี้พลันนึกถึงประกายไฟนั้นนอกเทือกเขาประจิม นึกถึงคำพูดของสวีจั้งที่ดังข้างหูตนตลอดหลายวันมานี้
‘ตามหลังข้า การมีชีวิตรอดไม่ใช่เรื่องง่าย’
ผู้อาวุโสที่ขี่กระบี่ คือคนจากเขาอนันต์เล็กที่มาล่าสังหารสวีจั้ง
กระบี่ร่มในมือตนรับสายตาร้อนแรงจากองค์ชายสาม
ชีวิตช่วงนี้ของหนิงอี้สงบสุขมาก มั่นคงปลอดภัยดี…อ่านตำราท่องคัมภีร์ทุกวัน ตระหนักความเป็นเทพในอารามรู้กรรม
กระทั่งเขายังลืมคำพูดที่สวีจั้งบอกกับตนตลอดการเดินทางจากเทือกเขาประจิม การเข่นฆ่าและความเป็นตายอย่างแท้จริงเกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนนั้นที่ฝนตกหนัก
ก่อนที่นายพรานจะเติบใหญ่เป็นนายพราน…เดินบนที่ราบรกร้างก็เป็นเพียงแค่เหยื่อ
หนิงอี้ใช้สองมือกำกระบี่ร่มแน่น คมกระบี่หมุนวนบนพื้นเบาๆ ฝุ่นควันตลบอบอวล พลังกระเพื่อมไม่หยุด
พลังบำเพ็ญขอบเขตที่สอง ดูอ่อนแอและไร้สาระ น่าขำและน่าสงสารเมื่ออยู่ใต้ค่ายกลกระบี่ดาวเหนือที่นำโดยผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบ
ก่อนที่หนิงอี้จะรวมพลังขยายหน้าอกขึ้น เตรียมออกกระบี่นั้น เจิ้งฉีกดนิ้วอย่างน่าเกรงขาม ปราณกระบี่ทั้งหมดพลันขยายใหญ่ พันรอบตรงนิ้วมือ ก่อนจะพุ่งออกไปโดยพลัน
เป้าหมายกลับไม่ใช่หนิงอี้
แต่เป็นเงาดำนั้นข้างหลังหนิงอี้
ปราณกระบี่ทั้งหมดที่รวมมาจากค่ายกลกระบี่ดาวเหนือรวมที่นิ้วหนึ่ง พุ่งออกไปเหมือนธนู ยิงใส่กลางเงามืดข้างหลังหนิงอี้
ปราณกระบี่นี้เดิมทีเปล่งแสงสว่างจ้า แต่เมื่อยิงเข้าไปกลับเหมือนดินเลนตกในมหาสมุทร
มีเสียง ‘กึก’ ดังขึ้นเบาๆ ในเงามืด
เสียงใสและกังวาน เหมือนวัตถุขึ้นสนิมถูกหักเบาๆ
กลางเงามืดว่างเปล่าข้างหลังหนิงอี้มีแสงสว่างสายหนึ่ง
ปลายกระบี่เหล็กขึ้นสนิมเล่มหนึ่งฟันปราณกระบี่ทั้งหมดที่พุ่งเข้ามา เริ่มจากจุดเดียวแล้วค่อยๆ ฉีกโลกปราณกระบี่นี้ออก ตรงปลายด้ามกระบี่เป็นบุรุษที่ยืนอยู่นอกฟ้าดิน
หนิงอี้หันไปด้วยความตกใจกลัว รู้สึกได้ว่าผนังหินของอารามรู้กรรมที่อยู่ข้างหลังโคลงเคลงเบาๆ มีคนยืนอยู่ในเงามืด ไม่ส่งเสียงใดๆ เลย
เขามองไม่เห็นใบหน้าคนนั้น แต่ไม่รู้สึกต่อต้าน ต่อให้เห็นเป็นความมืด ก็ยังรู้สึกถึงความอบอุ่นเสี้ยวเล็กๆ คนนั้นยื่นมือมาข้างหนึ่ง ท่ามือและท่าทางคล้ายสวีจั้งมาก
แต่กลับไม่เหมือนกัน
เขาตบบ่าหนิงอี้เบาๆ ความหมายเหมือนกับว่า…
‘ข้าอยู่ตลอด’
นี่เป็นความรู้สึกที่ทำให้คนรู้สึกใจสงบลง
หนิงอี้กำกระบี่ร่ม เหม่อมองร่างเงาสูงใหญ่ที่เดินออกมาจากเงามืด สิบนิ้วมือของเด็กหนุ่มที่กำด้ามกระบี่แน่นคลายออกโดยไม่รู้ตัว
คนที่เดินออกมาจากเงามืดอารามรู้กรรม เดินออกมาจากกลางโลกปราณกระบี่ เป็นบุรุษที่ผูกผ้าดำตรงดวงตาสองข้าง
บุรุษมีเส้นผมขาวอมเทา จอนผมสองข้างปลิวไสวตามปราณกระบี่ ใบหน้าดูไม่แก่ชรา ขนคิ้วสองข้างที่เลิกขึ้นเหมือนคมกระบี่บินเฉียง จะตัดฟ้าดิน
เขาใช้มือข้างหนึ่งถือกระบี่เหล็กขึ้นสนิม ใช้ปลายกระบี่ฟันค่ายกลกระบี่ดาวเหนือของเขาอนันต์เล็ก ถามเสียงเบา “เขาอนันต์เล็ก…พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นเขตใคร”
ทันทีที่บุรุษตาบอดก้าวออกมาจากในเงามืด องค์ชายสามมีใบหน้าเฉยชายิ่ง ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เลย มิติข้างหลังเขาบิดเบี้ยว
ซูขู่ที่ยืนด้วยความเคารพอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเย็นชา “คนตาบอดแห่งเขาสู่ซาน…เขาออกหน้าแทนเจ้าหนุ่มนี่รึ”
เจิ้งฉีที่ขี่ปลายกระบี่ยกแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง มืออีกข้างประสานสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วกดปลายนิ้วลงบนแขนเสื้อ ฝ่ามือที่ยกแขนเสื้อขึ้นเล็งไปยังร่างเงานั้นที่อยู่ตรงหน้าหนิงอี้ หลังจากที่ใช้ปลายนิ้วกดเสื้อไว้แล้วก็ดันไปข้างหน้าทีละนิด พลังของทั้งค่ายกลกระบี่ดาวเหนือถูกเขาดันจนเกิดเสียงดังสนั่น เสียงระเบิดดังกึกก้องฟ้าดิน
ดาราเจ็ดดวงเปล่งแสงสว่าง แทบจะระเบิดออกทันที
ตอนนี้เองคนตาบอดขยับแล้ว
หนิงอี้เห็นการขยับตัวของคนตาบอดแทบจะไม่ชัด ได้ยินเพียงเสียงลมเหมือนฟ้าร้อง ยังไม่เห็นตัวเขา แต่เห็นกระบี่เขาก่อน
กระบี่เหล็กฟันลงบนดาราข้างหลังเจิ้งฉี ฟ้าดินเปลี่ยนสีไป ม่านยามราตรีฉีกขาด มีแสงสว่างร้อนแรงสายหนึ่ง
ดาราเจ็ดดวงถูกคนตาบอดฟันระเบิดกระจายพร้อมกันทั้งหมด ผู้อาวุโสเขาอนันต์เล็กที่ขี่กระบี่หน้าเปลี่ยนสี กระอักเลือดคำใหญ่ แม้แต่ศิษย์เขาอนันต์เล็กสิบสี่คนข้างหลังยังกระเด็นออกไป ร่างเหมือนว่าวเชือกขาด กระแทกกับกำแพงลานอารามชิดด้านนอกของอารามรู้กรรม เกิดเสียงกำแพงถล่มดังขึ้นระนาว
คนตาบอดมายืนตรงหน้าหนิงอี้อีกครั้ง
เขามองซูขู่ แล้วพูดเสียงเบา “ได้ยินว่าเจ้าคิดว่าเขาสู่ซานมีแค่สามคนรึ”
ซูขู่หน้าเปลี่ยนสี เขาพูดเสียงเย็นชาเล็กน้อย “คนตาบอด…เจ้าสะกดรอยตามข้ารึ”
คนตาบอดยิ้มเล็กน้อย ไม่พยักหน้าและไม่ส่ายหน้า
คนตาบอดชำเลืองตามองกลุ่มคนเขาอนันต์เล็กบนพื้นอารามรู้กรรมด้วยสีหน้าซับซ้อน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดอย่างจริงจัง “ท่านนี้ที่อยู่ข้างข้าคือองค์ชายสามแห่งราชวงศ์ต้าสุย”
คนตาบอดพูดนิ่งๆ “ข้ารู้”
ซูขู่พูดต่อ “เจ้ารู้ว่านี่หมายถึงอะไร”
คนตาบอดยิ้ม “ข้าย่อมรู้”
ซูขู่เงียบไปชั่วครู่ “เจ้ามั่นใจนะว่าจะยังปกป้องเขา”
คนตาบอดเพียงแค่พยักหน้าพลางยิ้ม
ครั้งนี้ซูขู่ไม่พูดอีก
หลี่ไป๋หลินมองร่างเงาสูงใหญ่ที่ขวางหน้าหนิงอี้ สายตาเขามองผ่านคนตาบอดไปมองหนิงอี้ข้างหลัง นัยน์ตาไม่มีความชื่นชมใดๆ อีก มีแค่ความสงบนิ่งที่เฉยชาถึงที่สุด
หนิงอี้ไม่เป็นสุขเล็กน้อย เขาเม้มริมฝีปากมองคนตาบอดนามฉีซิ่วที่ยืนอยู่หน้าตน
องค์ชายสามถามเสียงเบา “เพราะเหตุใด”
ฉีซิ่วตบบ่าหนิงอี้ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะเขาคือหนิงอี้”
หนิงอี้เงยหน้าขึ้น รู้สึกว่าหัวใจของตนเริ่มเต้นตึกตัก
“เพราะกระบี่นั้นในมือเขา เรียกว่าพินิจเหมันต์”
ความเงียบสงบทั้งฟ้าดินถูกคำพูดของฉีซิ่วทำลาย
ในเงามืด เสียงดั่งแสงสว่าง
“เพราะเป็นผู้ครองพินิจเหมันต์ เป็นผู้สืบทอดและความหวังที่คุณชายเจ้าหรุยเลือก…”
ฉีซิ่ว ‘มอง’ องค์ชายสาม น้ำเสียงมีความเสียดายเล็กๆ และเยาะเย้ย
“เพราะว่าหนิงอี้คืออาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน”
………………………..