ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 41 สายเลือดราชวงศ์

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 41 สายเลือดราชวงศ์

“เพราะหนิงอี้คืออาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน”

ตอนที่ฉีซิ่วเอ่ยคำพูดนี้ หางคิ้วกระดกแทบจะลอยขึ้น สีหน้าเขาดูราบเรียบ แต่กลับรู้สึกถึงความโอหังและอวดดี

ต่อให้อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ภายภาคหน้าขุมอำนาจใหญ่ในโลกหล้าต้องถอยหนีข้างหลังตน ตอนนี้จะเป็นเพียงเด็กหนุ่มขอบเขตที่สอง

แต่เขาก็ยังเชื่อ

ทั้งยังเชื่อคำพยากรณ์นั้นที่คุณชายเจ้าหรุยฝากไว้ในถ้ำอย่างยิ่ง

หนิงอี้เหม่อลอยนิดๆ หัวใจเขาไม่เคยเต้นแรงขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบผู้บำเพ็ญบนเขาสู่ซาน

ตอนที่เด็กหนุ่มรับภาระมาจากสวีจั้งก็ไม่เคยคิดว่าจะหนักเท่าไร เขาคิดแค่ว่าแบกของอย่างหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าแบกอะไร

ในตอนนั้นหนิงอี้มีลางสังหรณ์เล็กๆ ว่าเส้นทางในอนาคต ตนจะต้องแบกรับแทนสวีจั้งส่วนหนึ่ง

แต่จนกระทั่งคนตาบอดฉีซิ่วเอ่ยเขาถึงได้รู้ว่า…คำว่าอาจารย์อาน้อยที่สวีจั้งพูดมาสบายๆ นั้น ซ่อนน้ำหนักและหน้าที่หนักเพียงใดในใจเขาสู่ซาน

เขาก้มหน้าลง พิจารณามองกระบี่ร่มในมือตน คมกระบี่ถูกเขาหมุนออกมา ตอนนี้ประกบกลับเข้าไปใหม่ กลายเป็นร่มธรรมดา

สวีจั้งบอกว่ากระบี่นี้จ่ายตำลึงเงินไปเยอะมาก ล้ำค่ามาก

ตอนนี้ในที่สุดหนิงอี้ก็ได้พิสูจน์ความคิดในใจตน เขาแสบปลายจมูกนิดๆ…อดส่ายหน้ามิได้ ยืนหลังตรงกลางพายุ มองกลุ่มคนตรงหน้า

……

สีหน้าหลี่ไป๋หลินดูไม่ดีอย่างมาก

เดิมทีเขาหน้าซีดขาวอยู่แล้ว ดูป่วยโรคและซีดเซียว

ปกติองค์ชายสามจะไม่เผยสีหน้าใดๆ เพียงเพราะเขาจำทนต่อสภาพที่เลวร้าย ศัตรูตัวฉกาจที่สุดคือองค์ชายรองที่อยู่แดนบูรพา ต่อให้มีหูมีตาเต็มไปหมดก็ยังก่อกวนแดนประจิมได้น้อยมาก เป็นเพียงเรื่องจุกจิกเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

หลี่ไป๋หลินหน้ามืดทะมึนเหมือนน้ำ เขาเดินทางในเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่มาแทบจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ต่อให้เสียสำนักเต๋าแห่งแดนประจิมไป คนใหญ่คนโตหลายคนในหอสามวิสุทธิ์ก็ยังต้อนรับด้วยความยินดี

ทั้งแดนประจิมรู้กันหมดว่าเขาต้องการอะไร!

จักรพรรดิต้าสุยเป็นบิดาเขา มอบตำแหน่งจักรพรรดิให้เขา ต้องให้เขาแย่งชิงทีละก้าว แต่แดนประจิมมอบถิ่นฐานให้เขา เวลามาถึงแล้ว เขามาเยือนด้วยตนเอง เขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกในแดนประจิมใครจะกล้าไม่ก้มหัว ในแดนประจิมเขาอยากได้อะไรต้องได้!

“เชิญองค์ชายสามกลับไปเถอะ ความเสียหายทั้งหมด…จากนี้เขาสู่ซานจะชดใช้ให้ท่าน”

หลี่ไป๋หลินเอามือจับในแขนเสื้อ ข้อต่อกระดูกส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ แสงดาราหมุนม้วนในกาย บุรุษหนุ่มที่ดูอ่อนแอคนนี้ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเบาๆ แนบข้างตู้รถม้า ทั้งตู้รถหนักอึ้งสั่นไหว

เขาเหมือนกำลังกดเพลิงโทสะที่รุนแรงในใจตน

บุรุษผอมแห้งในตู้รถม้าไม่ได้ลงจากรถ เขามององค์ชายสามที่แทบจะขาดสติเงียบๆ ก่อนพูดเสียงเบา “องค์ชาย จะเอาอย่างไรดี”

คนตาบอดขวางหน้าหนิงอี้ สีหน้าจริงจัง

หนิงอี้ไม่เข้าใจนิดๆ ผู้อาวุโสตาบอดที่มีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าทุกคนที่นี่เห็นๆ เหตุใดถึงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ดูสบายมาก ตอนนี้กลับเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ

ข้อต่อกระดูกนิ้วมือองค์ชายสามเดี๋ยวขาวเดี๋ยวเขียว เขาจ้องเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความโกรธ อารมณ์บางอย่างในใจถูกกระตุ้นขึ้นมาเรื่อยๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ สั่งสมตกตะกอน

หากบอกว่าเจ้าหนูนามหนิงอี้คนนี้เป็นอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน ได้รับการดูแลจากเจ้าหรุย เช่นนั้นท่าทีสูงส่งก่อนหน้านี้ของตนคืออะไร

ความใจกว้างและคุณธรรมของตนคืออะไร

ตนขายหน้าไปที่ไหนต่อไหนหมดแล้ว

หลี่ไป๋หลินรู้สึกว่าทุกคำพูดของตนก่อนหน้านี้ ตอนนี้ภายใต้สายตาสงบนิ่งของหนิงอี้ เหมือนเป็นการตบหน้าเสียงดัง ตบบนหน้าเขาอย่างโจ่งแจ้ง

เด็กหนุ่มคนนั้นรู้มาตลอดว่ากระบี่ร่มนั้นคือพินิจเหมันต์

เด็กหนุ่มคนนั้นสืบทอดมรดกของเขาสู่ซานมานานแล้ว เขาบอกว่าอาจารย์ของตนสิ้นชีพไปแล้ว…คนนั้นก็คือเจ้าหรุย!

ใบหน้าขาวซีดของหลี่ไป๋หลินเกิดสีแดงขึ้นมา ลามขึ้นมาจากคอ ลุกลามไป เส้นเลือดเขียวปูดขึ้น

อีกด้านของรถม้า เสียงของสวีชิงเค่อสงบเงียบ

“ระงับโทสะ”

หลี่ไป๋หลินพยายามกำหมัดแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก

“หนิงอี้…เจ้า ไม่เลวเลยจริงๆ”

หนิงอี้มองใบหน้าองค์ชายสามที่เขียวคล้ำเพราะความโกรธ เขายังคงนิ่ง

เขาไม่เข้าใจว่าตนไปแตะโดนเส้นสายใดของอีกฝ่ายเข้า เหตุใดบุรุษตรงหน้าถึงมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้

เขาเพียงแค่มองอีกฝ่ายนิ่งๆ

หลี่ไป๋หลินเค้นเสียงออกมาทีละคำ กัดฟันกรอด ก่อนจะยิ้มออกมา “เจ้ากวนประสาทข้าสำเร็จแล้ว”

ในสามสี่ลมหายใจสั้นๆ เพียงแค่คำว่าระงับโทสะดังในความคิดหลี่ไป๋หลินไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง

เส้นเลือดขององค์ชายสามหดตัวชั่วคราว รอยแดงค่อยๆ จางหายไป

องค์ชายสามที่ใช้มือข้างหนึ่งค้ำผนังนอกตู้รถ หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้ว กลิ่นอายที่อ่อนโยนและบางเบาบนร่างกายยังอยู่เช่นเดิม เขาปัดๆ ฝุ่นบนแขนเสื้อทั้งสองข้างไปมา

ทุกอย่างเหมือนกลับคืนสู่ปกติ

สวีชิงเค่อที่นั่งในรถม้าหลับตาลงอีกครั้ง

ซูขู่ทอดถอนใจ

องค์ชายสามแห่งต้าสุยที่ยืนอยู่ที่เดิมก้มหน้าลง

ทันใดนั้นเขาเงยหน้าขึ้น จ้องมองหนิงอี้ บีบจี้หยกในมือแตก

หลี่ไป๋หลินพูดมาทีละคำอย่างจริงจัง “เจ้าอยู่ต้าสุยไม่ง่ายแล้ว”

ดาราบนฟ้าสั่นไหว

พื้นดินสั่นไหว งูมังกรคำรามเสียงดัง

คนจากเขาอนันต์เล็กทุกคนที่นอนอยู่ในซากกำแพงถล่มมองอิฐและกระเบื้องด้านล่างด้วยสีหน้าตื่นกลัว ทุกชิ้นถูกพลังมหาศาลบีบแตก ลอยขึ้นฟ้า ต้นไม้ในระยะหนึ่งลี้โดยรอบลอยขึ้น

ทั้งอารามรู้กรรม

ต้นไม้ใบหญ้า อิฐและกระเบื้อง…ทั้งอารามรู้กรรมถูกพลังมหาศาลคว้าไว้ เหมือนมือเทพขนาดยักษ์ทะลวงดินขึ้นมา

คนตาบอดขมวดคิ้ว สองมือกำกระบี่เหล็กแน่น ก่อนจะปักลงพื้น

ราชวงศ์ต้าสุยมีวิชาต้องห้ามมากมายทั้งยังซับซ้อน แค่อ๋องต้าสุยที่อยู่ในเมืองหลวงรวมถึงที่กระจายอยู่รอบๆ ทุกคนล้วนมีพรสวรรค์พลังบำเพ็ญเหนือกว่าใคร จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์ชายสามที่มีสายเลือดตรงของไท่จง

ในราชวงศ์ ทุกองค์ชายล้วนมีองครักษ์แข็งแกร่งในเมืองหลวงคุ้มกัน

จี้หยกนั้นที่หลี่ไป๋หลินบีบแตก เกรงว่าคงจะเชื่อมกับเจตจำนงของคนใหญ่คนโตบางคนในเมืองหลวง

คนตาบอดไม่ขยับ เขาเอียงศีรษะ ใจนึกหลี่ไป๋หลินจะใช้องครักษ์ที่มีพลังบำเพ็ญสูงยิ่ง…เพียงเพื่อสังหารหนิงอี้หรือ

กระบี่ปักลงบนพื้น ฝืนคุ้มกันในระยะสามฉื่อ คนตาบอดมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมา ศักยภาพของผู้มีพลังบำเพ็ญสูงคนนี้เกรงว่าคงเหนือกว่าขอบเขตดาราชะตา ขอบเขตที่สองของตนทำได้แค่คุ้มกันในระยะสามฉื่อ

การป้องกันนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก

จนเมื่อตัวจริงของผู้บำเพ็ญคนนี้มาถึง ตนก็จะขวางไม่ได้ สังหารหนิงอี้เพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น

ฟ้าดินโคลงเคลง หนิงอี้สติพร่าเลือน เขาใช้สองมือกำด้ามกระบี่ร่มไว้แน่น ย่อตัวลงครึ่งหนึ่ง จ้ององค์ชายสามที่ดูป่วยโรคและใจเย็นคนนั้นเขม็ง

หลี่ไป๋หลินมองอย่างทะนง สีหน้าสงบนิ่งและมั่นใจในตัวเอง ในดวงตาสีดำที่สบตาหนิงอี้มีความบ้าคลั่งอยู่เสี้ยวหนึ่ง

ชุดคลุมขาวใหญ่นั้นปลิวไสวกลางพายุ พลังบำเพ็ญขององค์ชายสามกระจายออก เสียงเขาดังก้องไปในสายลม

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้พลังบำเพ็ญอยู่ขอบเขตที่แปด ข้าหลี่ไป๋หลิน บรรลุจุดสูงสุดขอบเขตที่เก้า ทะลวงขอบเขตที่สิบได้ทุกเมื่อ สำนักเต๋าก้มหัว เขาศักดิ์สิทธิ์ศิโรราบ!”

องค์ชายสามผู้อ่อนแอเพ่งมองคนตาบอดที่ปักกระบี่ด้วยสีหน้าจริงจัง พูดอย่างเย็นชา “ฉีซิ่ว หลังเขาสู่ซานเจ้ามีเบื้องหลังใหญ่เพียงใด ใหญ่กว่าต้าสุยบิดาข้าหรือไม่”

คนตาบอดจับกระบี่เหล็กขึ้นสนิมเงียบๆ ขอบเขตกระบี่ของตนที่คงไว้อย่างยากลำบากถูกพลังมหาศาลนั้นทำลายลง

“เขาสู่ซานเจ้าไม่ยอมก้มหัว ข้าจะทุบเขาสู่ซานเจ้าให้ก้มหัว!”

หลี่ไป๋หลินใช้มือข้างหนึ่งกดนอกตู้รถ ร่างอ่อนแอยืนกลางพายุคลั่ง เหมือนเทพเจ้าลงมายังโลกมนุษย์ ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นสีทองสว่างจ้า สายเลือดราชวงศ์แผ่ออกมา ไม่ว่าจะซูขู่หรือฉีซิ่วล้วนรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

นี่คือมรดกสายเลือดที่ปกครองเผ่ามนุษย์มาช้านาน

แรงคว้าจากกลางพื้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลี่ไป๋หลินแผ่สายเลือดออกไป ใบไม้แห้งทั้งอารามรู้กรรมที่ลอยขึ้นอาบสีทองอ่อนๆ ชั้นหนึ่ง

องค์ชายสามมองหนิงอี้นิ่งๆ

เขาพูดขึ้น “คุกเข่าลง”

ผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ ศิษย์ธรรมดาสามสิบเจ็ดคน ทันทีที่เอ่ยขึ้นต่างทนแรงกดดันทางสายเลือดมหาศาลรวมถึงพลังบำเพ็ญขององค์ชายสามไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้น กระดูกสั่นไหว

สองลมหายใจต่อมา ผู้อาวุโสเขาอนันต์เล็กที่มีพลังบำเพ็ญเหนือกว่าหลี่ไป๋หลินหนึ่งขอบเขตใหญ่ บรรลุขอบเขตที่สิบ หน้าแดงก่ำ ร่างกายต่อต้านสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ต้านแรงกดดันมหาศาลที่ตกมาจากจิตวิญญาณไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้น

เหมือนพบองค์จักรพรรดิ

ต่อให้เป็นซูขู่กับคนตาบอดฉีซิ่วที่เหนือกว่าขอบเขตที่สิบไปจุดดาราชะตาแล้ว ก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันของสายเลือดจักรพรรดิ

นี่คือพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้

โลกมืดครึ้ม แสงดาราริบหลี่

ต่ำกว่าสิบขอบเขต ฟ้าดินคุกเข่าคารวะ มีเพียงข้อยกเว้นเดียว

เด็กหนุ่มที่มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สอง กำหมัด ยืนขึ้นช้าๆ

แสงไฟสลัวสว่างขึ้นตรงขลุ่ยกระดูกในอกเสื้อ ดูเหมือนความเป็นเทพ และยังเป็นเพลิงดารายิ่งใหญ่วนเวียนรอบกายเด็กหนุ่ม ส่องสะท้อนหนิงอี้เหมือนเทพเจ้ามาเยือนโลกมนุษย์ เส้นผมเปล่งแสงเรืองรอง

หนิงอี้ไม่พูด แค่มององค์ชายสามเงียบๆ

ความเงียบชนะหมื่นพันคำพูด

ลวดลายสีแดงอมทองมากมายลุกลามมาจากคอ เหมือนกับเกล็ดมังกรลามไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงแก้ม กลิ่นอายพลังของหลี่ไป๋หลินยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเขากลายเป็นสีทองสว่างจ้า กระชากจิตวิญญาณคน

ดวงตาหนิงอี้เป็นสีดำปกติ ปกติถึงที่สุด

ข้างหลังหลี่ไป๋หลินมีเงาสีทองขนาดยักษ์ลอยขึ้น สุดท้ายรวมเป็นเงายักษ์มหึมายิ่ง องครักษ์จากเมืองหลวงนภาที่สำแดงวิชาน่าเหลือเชื่อมาถึงชายแดนเขาสู่ซาน ร่างหุ้มด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน กระโดดลอยขึ้นสูง สองมือประสานหลังศีรษะ ก่อนแสงสีทองหนาแน่นจะถูกเขาควงออกมา

เป็นขวานยักษ์เบิกฟ้าผ่าปฐพี

คนตาบอดมีผ้าดำปิดตา มองไม่เห็นแสงสีทองสว่างจ้า เขาพลันยิ้มมุมปาก

ร่างเงาชุดคลุมดำเอ้อระเหยย่างก้าวอย่างเกียจคร้านมาด้านหลังหนิงอี้ ทว่าเพียงก้าวเดียวก็มาอยู่ข้างหนิงอี้ ก่อนยกมือขึ้นคว้ากระบี่ร่มนั้นของหนิงอี้ตามใจตนเอง

จากนั้นก็ยกกระบี่ฟาดจากบนลงล่าง

คมกระบี่พินิจเหมันต์หมุนออกมา ฟาดฟันผ่านไป

……………………..