ตอนที่ 43 ถึงเวลาประกาศผล

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 43 ถึงเวลาประกาศผล

หลังจากนั้นไป๋เยี่ยและคนอื่นๆ ก็นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม

ส่วนคนขับรถบิวอิกค์เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีก็รีบสตาร์ทรถขับหนีไปเสียก่อน รอให้หมอโหดพวกนี้ไปก่อน จึงค่อยขับกลับมา

เขาเห็นว่าเพื่อนทั้งหกคนนั้นลงไปนอนทุรนทุรายกับพื้นก็รู้สึกเวทนา

ต่างคนต่างกุมเอวกุมท้ายทอยพร้อมกับร้องลั่นทั้งน้ำตา ภายในใจก็รู้สึกเสียใจจนบอกไม่ถูก

ชายผู้มีรอยสักเต็มร่างสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบนร่างกาย มันเป็นความเจ็บปวดชนิดที่บรรยายออกมาไม่ได้ ใครกันแน่ที่เป็นนักเลง ไอ้เวรพวกนี้ จะลงมือก็ลงมือสิวะ!

ยังมีแรงสู้อีกเหรอเนี่ย

แล้วทำไมมือขวาฉันถึงชาแบบนี้ล่ะ เกิดอะไรขึ้น

ฉิบหายแล้ว หันหัวไม่ได้ หันทีก็รู้สึกเจ็บโคตรๆ เลย!

เหอะ…ไอ้หมอกลุ่มนี้รังแกชาวบ้านนี่หว่า จะหาเรื่องก็มาสิ ใครไม่เคยมีเรื่องตบตีบ้างวะ ไอ้การตีกันแบบนี้น่ะ ใครๆ ก็เคยเห็น!

เขามองลูกน้องที่นอนนิ่งบนพื้นพร้อมกับสาบานในใจ ต่อไปฉันจะไม่ไปหาเรื่องไอ้หมอพวกนี้แล้ว!

ไม่เห็นจะเป็นเหมือนที่เขาว่ากันเลย รุ่นทวดพวกแกมีการศึกษากันไม่ใช่เหรอวะ เด็กเรียนนี่มันคิดจะทำอะไรก็ทำได้เหรอ

จู่ๆ น้ำตาของเขาก็ไหลลงมาด้วยความน้อยใจ

เมื่อพวกไป๋เยี่ยกลับมาถึงโรงแรม ต่างคนก็ต่างผ่อนคลายตนเองหลังจากดื่มเหล้า จากนั้นก็ไปอาบน้ำและเข้านอน

ทว่าไป๋เยี่ยยังคงคาใจกับเรื่องวันนี้อยู่ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน แต่มันถูกวางแผนมาอย่างดีต่างหาก

ฝ่ายตรงข้ามตั้งใจพุ่งเป้ามาที่ฉัน แต่ใครกันล่ะที่อยากหาเรื่องฉันน่ะ

ฉันก็ไม่ได้มีศัตรูเยอะขนาดนั้นนี่ หรือว่าจะเป็นหลิวเจิ้นซี แต่ว่าเขาก็ยังอยู่ที่จิ้นซีไม่ใช่เหรอ ห่างจากทีนี่ตั้งกี่ร้อยลี้ ไป๋เยี่ยคิดได้ดังนั้นก็ตัดข้อนี้ทิ้งไป

แล้วจะเป็นใครกันล่ะ

พุ่งเป้ามาทำร้ายฉันอย่างเจาะจง ฉันบาดเจ็บแล้วใครได้ประโยชน์เหรอ ไป๋เยี่ยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาก็คิดไม่ออกจริงๆ

ระหว่างที่ทุกคนกำลังหลับสนิทนั้น ผลสอบรอบระดับประเทศก็เข้าสู่ระบบ

วันต่อมาเป็นวันประกาศผลสอบ และจะมีการจัดอันดับคะแนนจากทั้งประเทศ

ในรอบระดับประเทศมีผู้เข้าสอบสามร้อยสี่สิบคน โดยแต่ละเขตจะมีผู้เข้าสอบเขตละสิบคน ซึ่งจะจัดอันดับโดยยึดจากคะแนนรวม เป็นการจัดอันดับระดับมณฑล

ทั้งประเทศให้ความสำคัญกับการสอบครั้งนี้มาก ทั้งองค์กรจัดการแพทย์แผนจีนและองค์กรสาธารณสุขจะนำการจัดอันดับจากการสอบครั้งนี้ไปใช้ในการประเมินประจำปี

และด้วยเหตุนี้เอง ทางมณฑลก็จับตามองด้วยเช่นกัน และจะมอบสิทธิพิเศษมากมายให้กับผู้เข้าสอบทั้งสิบคน ผู้เข้าสอบที่ได้อันดับดีจะได้รับรางวัลจากทางมณฑล ซึ่งมีผลดีต่อการคัดเลือกและเลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน

ต่อมาคือการจัดอันดับรายบุคคลซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้เข้าสอบที่ติดสิบอันดับแรกจะได้รับการลงนามในหนังสือฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์หมอระดับประเทศและได้รับเกียรติในการสืบทอดวิชาความรู้ต่อไป

ความสามารถของอาจารย์หมอระดับประเทศแต่ละคนนั้นเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ ไม่ใช่แค่ความสำเร็จทางด้านวิชาการอันน่าทึ่งเท่านั้น แต่คุณจะได้รับผลประโยชน์มากมายอีกด้วย

ตัวอย่างก็เช่น ถ้าไม่มีจางเสวียเวิ่น หูเฟิงอวิ๋นก็คงไม่ได้นั่งตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนเช่นนี้หรอก!

ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับเงินสดจำนวนหนึ่งล้านหยวน แต่นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดคือโควต้าการศึกษาขั้นสูงจากกลุ่มการทดลองโนเบล

ซึ่งกลุ่มการทดลองโนเบลก็คือกลุ่มการทดลองที่ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษโดยสถาบันแพทย์แผนจีนประจำประเทศจีน ซึ่งหัวหน้ากลุ่มนามว่า ‘ถูโยว’ ก็เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์

ดังนั้นนี่จึงเป็นสุดยอดรางวัลของการแข่งครั้งนี้!

เพียงแต่ว่ารางวัลจะยังไม่ได้ประกาศออกไปเป็นสาธารณะ แต่จะดำเนินการอย่างลับๆ หลังจากที่ได้คัดเลือกผู้ที่ได้อันดับหนึ่งแล้ว เพราะว่าเนื้อหาโครงการวิจัยแต่ละโครงการของโนเบลนั้นเป็นความลับ

วันนี้ทุกคนไม่ได้ออกไปไหนเพราะต่างกำลังใจจดใจจ่อกับการประกาศผลสอบกันอยู่

ดังนั้นผลการสอบครั้งนี้ก็ย่อมนำพามาซึ่งประโยชน์มากมายเช่นกัน

ทว่าไป๋เยี่ยกลับไม่ชอบบรรยากาศชวนกดดันแบบนี้เอาเสียเลย หลังจากที่ตื่นนอนและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ตรงไปที่ร้านกาแฟของโรงแรม นั่งลงบนโซฟาที่อยู่ติดกับหน้าต่าง แสงแดดในฤดูหนาวช่างอบอุ่นเหลือเกิน ไป๋เยี่ยหลับตาลง สูดดมกลิ่นหอมจางๆ ของกาแฟดำที่ลอยมาจากโต๊ะข้างๆ

เขาไม่ได้นอนหลับ แต่กำลังอ่านหนังสือยาจีนจากปี 2218 อยู่ในใจ

เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้จะเป็นการแนะนำถึงความก้าวหน้าในการวิจัยตำรับยาจีนจนถึงปี 2218 แม้จะไม่ได้วิจัยยาจีนทุกตัว แต่ก็มียาจีนจำนวนสี่สิบห้าตัวที่ได้วิจัยออกมาอย่างละเอียด

มีทั้งส่วนผสม วิธีการแปรรูป การวิจัยองค์ประกอบทางเคมีสมัยใหม่ การทดลองและวิเคราะห์ ฯลฯ

แม้ว่าจะกล่าวถึงตัวยาเพียงสี่สิบห้าตัว แต่หนังสือกลับหนาถึงสามพันหน้า ซึ่งแต่ละหน้าก็อัดแน่นไปด้วยตัวอักษร

เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไปจนเป็นเวลาเที่ยง

ผลสอบออกแล้ว!

เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นดังขึ้นภายในห้องพักของผู้เข้าสอบจากมณฑลจิ้นซี ตามมาด้วยเสียงใครบางคนตะโกนว่า “ผลสอบออกแล้ว!”

ทุกคนค่อยๆ เปิดดูผลสอบของตนเองด้วยมืออันสั่นเทา

สวี่จงเหล่ยเอ่ยเสียงสั่นหลังจากที่เปิดดู “ผม…ผมได้แค่สามสิบคะแนนเอง พ…พวกคุณได้เท่าไหร่กันบ้าง”

จางจี๋เซียนตอบ “ผมได้สามสิบเอ็ด”

“ยี่สิบเก้า”

“ยี่สิบแปด”

ทุกคนพูดจบก็พากันนั่งเงียบ คะแนนรวมตอนนี้อยู่ที่สองร้อยเจ็ดสิบห้าคะแนน

แบบนี้จะติดสิบอันดับแรกได้หรือไม่

จู่ๆ โทรศัพท์ของสวี่จงเหล่ยก็ดังขึ้น หูเฟิงอวิ๋นนั่นเอง

“ฮัลโหล เสียวสวี่ เมื่อกี้ดิฉันเพิ่งได้รับข่าวว่าปีนี้อันดับที่สิบจากทั้งประเทศคือมณฑลชวนตู ซึ่งได้คะแนนรวมสามร้อยหกสิบคะแนน พวกคุณได้คะแนนรวมเท่าไหร่เหรอ”

ทุกคนได้ฟังก็ใจเต้นระรัว จบเห่!

สวี่จงเหล่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ผอ.หู พ…พวกผมทำให้คุณผิดหวังแล้ว พวกผมคงไม่ติดท็อปสิบแน่ๆ…”

เสียงจากในสายเปลี่ยนไป “ผมหลี่หวายจงนะ ครั้งนี้พวกคุณได้คะแนนรวมเท่าไหร่”

ทุกคนเปิดลำโพง เมื่อได้ยินว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารการแพทย์แผนจีนประจำมณฑลจิ้นซีก็พากันถอนหายใจอีกครั้ง แค่อันดับสิบก็ได้คะแนนรวมสามร้อยหกสิบคะแนนแล้ว ตอนนี้พวกเขาได้แค่สองร้อยเจ็ดสิบห้าคะแนน ต่อให้ไป๋เยี่ยทำได้หกสิบคะแนน ก็ยังได้แค่สามร้อยสามสิบห้าคะแนนเท่านั้น กุญแจสำคัญก็คือไป๋เยี่ยจะทำคะแนนได้ถึงหกสิบคะแนนหรือไม่

สวี่จงเหล่ยถามอย่างหมดหวัง “หัวหน้าครับ…พวกผมทำให้ทุกคนผิดหวังแล้ว พวกผมเก้าคนได้คะแนนรวมกันแค่สองร้อยเจ็ดสิบห้าเอง”

พูดจบ อีกฝ่ายก็เงียบไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง หูเฟิงอวิ๋นก็ถอนหายใจออกมาบ้างก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความจนมุม “ค่ะ…แล้วตอนนี้ยังไม่ได้นับคะแนนของใครเหรอคะ”

สวี่จงเหล่ยหันกลับไป ทว่าไป๋เยี่ยก็ไม่อยู่ในห้อง “เหลือแค่ไป๋เยี่ยครับ”

หูเฟิงอวิ๋นลังเลที่จะกล่าวอะไรออกไป ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกหมดหวังแล้ว แต่ก็ยังคงมีความหวังอันริบหรี่อยู่ “คุณลองไปถามไป๋เยี่ยว่าเขาได้กี่คะแนนสิ ถ้าไม่ติดท็อปสิบจริงๆ ก็ไม่เป็นไร อย่าเศร้าเลย…”

ทันทีที่สิ้นเสียงของหูเฟิงอวิ๋น ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ไป๋เยี่ยมองพวกเขาทั้งเก้าคนนั่งล้อมโทรศัพท์ด้วยความงุนงง “พวกคุณรู้หรือยังว่าผลสอบออกแล้วน่ะ ได้เท่าไหร่กันเหรอครับ”

ต่างคนต่างหันมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ไป๋เยี่ยเห็นดังนั้นก็อดเบ้ปากไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างยิ้มๆ “คงไม่ได้ได้น้อยกว่าสองร้อยห้าสิบใช่ไหม”