กู้เจียวสะพายตะกร้ามุ่งหน้าไปยังอีกฝั่งของภูเขา

วัดนั้นแม้จะอยู่บริเวณไหล่เขา แต่เส้นทางนั้นไม่ง่ายเลย ระหว่างทางมีช่วงที่ไม่มีบันได เป็นกองหิมะทั้งหมด แต่โชคก็ยังเข้าข้างกู้เจียวที่พานางมาถึงตรงนี้ได้ ด้วยความที่นางเคยปีนเขาและออกกำลังกายอย่างหนักจึงทำให้นางไม่ถอดใจไปก่อน

ฝีเท้าของนางรวดเร็วกว่าคนทั่วไป แต่กระนั้นก็ยังใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าจะเดินทางมาถึงที่วัดนี้ พอมาถึงก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว

วัดนี้ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตนัก ลักษณะโบราณคร่ำครึ ตรงป้ายด้านบนสลักอักษรตัวโตๆ ว่าวัดจิ้งอัน ไม่รู้เป็นเพราะหิมะตกเป็นเหตุหรือไม่ที่ทำให้ผู้คนหายไป ระหว่างที่นางเดินทางมาก็ไม่ได้พบเจอกับนักเดินทางเลยแม้แต่คนเดียว

นอกจากผู้คนแล้ว พระที่ประจำวัดก็เช่นกัน ตั้งแต่นางเข้ามาในวัด ก็ยังไม่พบเจอพระแม้แต่รูปเดียว

“อย่าบอกนะว่า ที่นี่กลายเป็นวัดร้างไปเสียแล้วน่ะ”

ทว่าพื้นวัดก็ดูเหมือนถูกเก็บกวาดอย่างดีราวกับมีคนคอยทำความสะอาดให้ทุกวัน

ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น กู้เจียวเดินมาถึงตำหนักกวนอิม นางหยุดยืนตรงหลังเสาแล้วกวาดสายตาเข้าไปด้านในตำหนัก ในที่สุดก็เห็นว่ามีคนอยู่จริงๆ

เป็นฮูหยินที่สวมชุดผ้าไหมทอ แม้จะดูมีสกุลรุนชาติ แต่ไม่ได้ดึงดูดสายตาเท่าใดนัก อีกทั้งนางยังสวมเสื้อคลุมสีขาวราวกับถูกปกคลุมด้วยหิมะ

จากจุดที่กู้เจียวยืนอยู่ แม้จะเห็นเพียงแค่หลังของฮูหยินคนนั้น แต่กลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและอ่อนช้อยของนาง

ฮูหยินคนนั้นกำลังก้มกราบขอพรพระ มือสองข้างประสานเข้าหากัน พลางเอ่ย

“ขอพระโพธิสัตว์กวนอิมช่วยปกป้องบุตรชายของข้า…”

แม้แต่น้ำเสียงของนางเองก็อ่อนโยนน่าฟัง

การที่จู่ๆ กู้เจียวให้ความสนใจกับคนแปลกหน้า หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงด้วย ช่างเป็นเรื่องหายากยิ่งนัก ก็นางไม่ชอบผู้หญิงนี่นา

ขณะที่กู้เจียวกำลังเหม่อยู่นั้น จู่ๆ ใครคนหนึ่งก็โพล่งขึ้น “เจ้าเป็นใครมาจากไหน บังอาจมาแอบมองฮูหยินของพวกเรา!”

กู้เจียวที่เพิ่งได้สติพลันรีบหันไปทางต้นเสียง ก็พบว่าเป็นสาวใช้นางหนึ่งสวมชุดสีถั่วเขียวอยู่ตรงทางเดินฝั่งตรงข้าม สาวใช้ไม่ได้เอ็ดกู้เจียวแต่อย่างใด แต่ตะโกนใส่พระตัวน้อยๆ ที่ไม่รู้ว่ามายืนแอบมองอยู่ตรงเสาอีกต้นตั้งแต่ตอนไหน

พระตัวน้อยพอเห็นหญิงสาวเดินมาก็ร้องอุทานด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งหนีไป

ที่แท้ที่แห่งนี้ก็มีพระอยู่ แถมเป็นเณรน้อยเสียด้วย!

เณรน้อยรูปหนึ่งวิ่งมาทางที่กู้เจียวยืนอยู่ แล้วชนเข้ากับท่อนขาของกู้เจียวจนล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น

กู้เจียวเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดเอ็นดูเณรน้อยขึ้นมาจนอยากเข้าไปช่วยเหลือ!

แต่ไม่ทันไรก่อนที่นางจะยื่นมือออกไป เณรน้อยก็เด้งตัวขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน

ฮูหยินที่กำลังกราบไหว้อยู่ก็พลันเดินออกมา พลางเอ่ยกับสาวใช้ “หลิวเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาทสิ”

“ฮูหยิน” สาวใช้เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบเดินเข้าไปหาฮูหยิน “เจ้าพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เดี๋ยวพวกมันก็กำเริบเสิบสานเข้าไปป่วนในห้องวิปัสสนาของท่านหรอกเจ้าค่ะ!”

“ก็แค่พวกเด็กเองน่า” ฮูหยินเอ่ย

สาวใช้เบะปากไม่เห็นชอบ แต่ก็ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับฮูหยิน

ขณะที่กู้เจียวเห็นว่าพวกเขาทั้งสองกำลังจะออกไป ฮูหยินคนนั้นก็หันมาทางนี้พอดี

ร่างของกู้เจียวถูกเสาวัดบดบัง แม้แต่สาวใช้ก็ไม่ทันสังเกตเห็นนาง แม้แต่กู้เจียวเองก็นึกสงสัยว่าฮูหยินมองเห็นตนได้อย่างไร

“ใครกันเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามด้วยท่าทีหวาดระแวง

กู้เจียวจึงเดินออกมา

กู้เจียวสวมชุดคลุมสีม่วงอ่อนลายดอกไม้พร้อมกับกางเกงผ้าฝ้ายสีน้ำตาล ส่วนเท้าทั้งสองข้างสวมรองเท้าผ้าสีดำที่มีคราบเปียกจากหิมะ สะพายตะกร้าผุพังไว้ด้านหลัง และด้วยความที่กู้เจียวม้วนผมและปักปิ่นแบบฉบับฮูหยินไม่เป็นนัก ดังนั้นทรงผมที่นางทำออกมาคือการมัดจุกไว้กลางศีรษะ

ลักษณะท่าทางและการแต่งตัวของนางดูยังไงก็คือเด็กสาวจากชนบท ไหนจะรอยปานแดงใหญ่บนใบหน้าของนางอีก

สาวใช้เมื่อเห็นกู้เจียวก็ชำเลืองด้วยสายตาเหยียดหยาม

แต่ไม่ใช่กับฮูหยิน นางไม่มีท่าทีจะรังเกียจกู้เจียวแต่อย่างใด

และแล้วหิมะก็หยุดตก หลังคาวัดถูกทับถมด้วยหิมะกองหนา ต้นไม้ใบเขียวบริเวณภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน กระนั้นแล้ว วิวทิวทัศน์ที่ว่านี้ยังมิอาจเทียบได้กับความงามของฮูหยินผู้นี้

กู้เจียวเกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอสตรีรูปงามเฉกเช่นนางเป็นครั้งแรกและที่งามยิ่งไปกว่านั้นคือกิริยามารยาทที่อ่อนโยนและสง่างามของนาง

“แม่หนูก็มาขอพรกับเจ้าแม่กวนอิมเหมือนกันรึ” ฮูหยินเอ่ยถามแล้วยิ้มให้

ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มนั้น ช่างอ่อนหวานเสียเหลือเกิน…

กู้เจียวยืนตะลึงกับความงามอยู่สักพัก ก็รีบดึงสติแล้วเอ่ยตอบ “มิใช่เช่นนั้น ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาท่านเจ้าอาวาส”

ฮูหยินตอบอย่างสุภาพ พลางยิ้มให้ “ท่านเจ้าอาวาสลงเขาไปแล้ว…”

ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ จู่ๆ ในตอนนั้นเอง สาวใช้อีกคนกำลังหอบกล่องอาหารพุ่งตัวมาตรงนี้ ตรงพื้นมีก้อนหิมะที่ยังไม่ละลายดี สาวใช้ไม่ทันระวังจึงเผลอเหยียบไปตรงหิมะแล้วเกิดเสียหลักจนเสียการทรงตัวและเซไปด้านหน้า สาวใช้กรีดร้อง

กล่องอาหารที่หอบมาเองก็หลุดมือและลอยไปด้านหน้าจนเข้าใกล้ฮูหยินคนนั้น กู้เจียวเมื่อเห็นจึงรีบก้าวไปขวางและใช้แขนป้องไว้

กล่องอาหารถูกเปิดออก ทั้งน้ำแกงและผักใบต่างๆ กระเด็นออกจากกล่องและสาดกระเด็นลงไปบนร่างของกู้เจียวเข้าเต็มๆ !

ฮูหยินเมื่อเห็นดังนั้นก็พลันร้องเสียงหลง “แม่หนู! ไม่เป็นไรใช่ไหม!”

“สบายมาก” กู้เจียวเอ่ย

เนื่องด้วยอากาศที่เย็นจัด กู้เจียวจึงไม่ถูกอาหารลวกใส่ตัว อย่างดีก็แค่รู้สึกเหนียวตัวเท่านั้น

ฮูหยินเห็นสภาพสะบักสะบอมของกู้เจียวก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ จึงหันไปถลึงตาใส่สาวใช้ที่หกล้ม พลางตะคอก “เดินให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม”

สาวใช้คนนั้นดูเหมือนจะล้มลงไปอย่างแรงจนหัวเขาเกิดเป็นรอยบวมแดง นางค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้น เอ่ยตอบอย่างรู้สึกผิด “พื้นลื่นมากเจ้าค่ะ…”

ฮูหยินเข้าใจดีว่านางไม่ได้มีเจตนาจะลื่นล้ม แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้กู้เจียวพลอยซวยไปด้วย จึงเกิดไม่สบายใจขึ้นมา พลางเอ่ยกับกู้เจียว “เป็นเพราะข้าสั่งสอนเด็กของข้าไม่ดีเอง เสื้อผ้าของแม่หนูเลยเลอะเปรอะเปื้อนไปหมด มาเถิด ข้าจะพาแม่หนูไปเปลี่ยนชุดที่ห้องวิปัสสนาของข้า”

กู้เจียวครุ่นคิดสักพัก ไม่เอ่ยปฏิเสธอย่างใด

ฮูหยินผู้นี้ดูยังไงก็เหมือนกับผู้มาเยือนทั่วไป แต่กลับมีห้องวิปัสสนาเป็นของตัวเอง ซึ่งห้องนั้นตั้งอยู่อยู่สุดทางเดิน ดูเผินๆ เหมือนกับห้องทั่วๆ ไปก็จริง แต่ด้านในกลับให้ความรู้สึกหรูราและเรียบง่ายราวกับตัวตนของฮูหยิน

สาวใช้อีกสองคนเดินเข้าห้องตามมา

ฮูหยินได้สั่งให้สาวใช้ที่สวมชุดสีเขียวนามว่าหลิวเอ๋อร์ไปหยิบกล่องมาให้

พอหลิวเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการไม่พอใจ “แต่นี่มันเสื้อผ้าของฮูหยินนะเจ้าคะ!”

เป็นแค่เด็กสาวบ้านนอก ริอาจสวมชุดของฮูหยินอย่างนั้นรึ

สีหน้าอ่อนโยนของฮูหยินเริ่มเปลี่ยนเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นวานเจ้าไปเอากับข้าวมาที อย่าลืมของแม่หนูคนนี้ด้วยล่ะ”

สาวใช้รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต จึงพลันก้มหัวลง “เจ้าค่ะ”

ฮูหยินจึงเข้าไปเปิดกล่ององแล้วคว้าเสื้อผ้าชุดนึงขึ้นมาให้กู้เจียว “นี่เป็นชุดของลูกสาวข้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะใส่ได้ไหม แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้เจ้าเนื้อตัวเปียกปอนแบบนี้ รีบไปเปลี่ยนเถอะ”

กู้เจียวจึงเดินไปตรงฉากกั้นแล้วจัดแจงเปลี่ยนเสื้อ

ตอนแรกนึกว่าจะใหญ่ไปสำหรับกู้เจียว แต่กลายเป็นว่าใส่ได้พอดีเป๊ะ

“ช่างเหมาะกับเจ้ายิ่งนัก” ฮูหยินหัวเราะ ทั้งๆ ที่เป็นชุดของลูกสาวตนเอง แต่ไฉนแม่หนูคนนี้ดูจะใส่ขึ้นกว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่”

กู้เจียวเอ่ยตอบ “สิบสี่เจ้าค่ะ”

ฮูหยินทำตาลุกวาว “เหมือนกับลูกสาวข้าเลย ลูกสาวข้าก็เกิดที่วัดนี่”

กู้เจียวคิดในใจ ช่างบังเอิญเสียจริง เพราะนางเองก็เกิดที่นี่เช่นกัน