ฮูหยินชี้ไปทางเตียงเตา พลางยิ้มให้ “นั่งคุยเถิด”

กู้เจียวหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตา ทั้งสองอยู่ห่างกันแค่โต๊ะเล็กกั้น ขนมหน้าตาน่าทานวางเรียงอยู่บนนั้น

ฮูหยินเลื่อนขนมไปทางกู้เจียว “คงหิวแล้วสินะ กินก่อนสิ ประเดี๋ยวข้าววัดก็มาแล้ว”

“เจ้าค่ะ” กู้เจียวเดินทางมาตั้งไกลคงไม่แปลกที่จะรู้สึกหิวจนไส้กิ่ว จึงคว้าขนมที่มีรูปลักษณ์ราวกับดอกไม้สีเหลืองขึ้นมาแล้วนั่งกินเงียบๆ

“อร่อยไหม” ฮูหยินเอ่ยถาม

“อืม” กู้เจียวพยักหน้า พอเห็นท่าทีสนใจของฮูหยินที่กำลังจ้องมาทางตน กู้เจียวจึงผงะไปชั่วครู่ พลางเอ่ย “อร่อยกว่าร้านหลี่จี้อีกเจ้าค่ะ”

“หลี่จี้คืออะไรรึ” ฮูหยินเอ่ยถาม

“ร้านขนมที่ดีที่สุดในเมืองเจ้าค่ะ” กู้เจียวเอ่ย

ฮูหยินพอได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพราะที่จริงแล้วนางทำขนมเองกับมือ นางฝึกทำระหว่างที่อยู่ที่นี่เพื่อแก้เบื่อ แต่น่าเสียดายที่บุตรชายของนางเป็นคนขี้โรคและร่างกายอ่อนแอจนทานของพวกนี้ไม่ได้ ส่วนบุตรสาวร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่กลับไม่ชอบทานขนมเสียอย่างนั้น จนนางเกิดคิดสงสัยขึ้นมาว่าหรือตนจะทำขนมไม่อร่อยกันแน่

กู้เจียวมิอาจปลอมสีหน้าท่าทางเวลากิน นางรู้สึกจริงๆ ว่าขนมของฮูหยินรสชาติอร่อยมาก

ฮูหยินรู้สึกภาคภูมิใจมากจนหันไปปรายตาสำรวจกู้เจียวอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าของกู้เจียวมีรอยปานแดง ซึ่งฮูหยินเองสังเกตเห็นอยู่ก่อนแล้ว

ไม่น่าเลยแม่หนู นางนึกเสียดายในใจ

จากนั้นฮูหยินเหลือบไปเห็นที่มือของกู้เจียว มือคู่นั้นดูก็รู้ว่าผ่านอะไรมามากมาย ไหนจะตุ่มใสที่ขึ้นตรงฝ่ามือ แถมตรงหลังมือมีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด

ฮูหยินพลันนึกถึงบุตรสาวของตน และคิดว่านางโชคดีแค่ไหนที่บุตรสาวเกิดในตำหนัก ไม่ต้องประสบพบเจอความทุกข์ยากที่คนอื่นพึงเจอ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว หัวอกคนเป็นมารดาอย่างนางมีหวังได้ใจสลายแน่นอน

กู้เจียวนั่งในห้องนั้นอยู่พักใหญ่ หยิบขนมเกาลัดขึ้นมากินจนหมดเกลี้ยง ขณะเดียวกันเจ้าอาวาสก็ได้เดินทางกลับถึงวัดพอดี

กู้เจียวไม่ลืมภารกิจของตน จึงรีบกล่าวลาฮูหยินแล้วมุ่งหน้าไปหาท่านเจ้าอาวาส

แม้เจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้เป็นผู้สูงวัย หนวดเคราขาว แต่กลับมีสมองและสติปัญญาที่เฉียบแหลม คงเป็นผลมาจากการฝึกอยู่นานหลายปี

กู้เจียวเอ่ยออกไปอย่างไม่อ้อมค้อมถึงจุดประสงค์ที่นางมาในวันนี้ “…ไม่ทราบว่าท่านเจ้าอาวาสจะยินยอมขายหรือไม่เจ้าค่ะ”

เอ่ยจบ เจ้าอาวาสยังไม่ทันได้ตอบ กู้เจียวสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าเอาแต่จ้องใบหน้าของตน…อย่างไม่กระพริบตา

ครั้นจะเอ่ยถามว่าใบหน้าตนมีอะไรติดอยู่ แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าก็มีอะไรติดอยู่บนหน้าจริงๆ นี่นา

“ท่านเจ้าอาวาส” กู้เจียวเอ่ยเรียก

“อะแฮ่ม!” เจ้าอาวาสพอได้สติก็รีบกระแอมล้างคอ นั่งหลังตรง พลางเอ่ย “เมื่อครู่โยมบอกว่า…จะซื้อภูเขาแห่งนี้อย่างนั้นรึ”

กู้เจียวตอบ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

“โยมอายุเท่าไหร่”

เอ๋

ไฉนถึงเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น

“อายุน้อยแล้วจะซื้อภูเขาไม่ได้รึท่าน” กู้เจียวเอ่ยถามเสียงอ่อน

“เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้น! อมิตาพุทธ โยมอย่าเพิ่งเข้าใจผิด!” เจ้าอาวาสทำมือปางห้าม พลางเอ่ย “ศิษย์จิ้งซินที่ดูแลเรื่องทรัพย์สินของวัดออกไปข้างนอกพอดี ต้องรอสักสองสามวันถึงจะกลับมา ไว้โยมค่อยมาใหม่ดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นก่อนตรุษจีนข้าจะหาเวลามาเยือนที่นี่อีกรอบนะเจ้าคะ” กู้เจียวเอ่ย พลางลุกขึ้นยืนแล้วอำลา

สายตาเจ้าอาวาสคอยแต่จับจ้องไปที่รอยปานแดงบนหน้านาง

กู้เจียวพอเห็นดังนั้นก็อดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยมิได้ “ท่านเจ้าอาวาส แม้ว่าตัวข้าเองไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองข้าอย่างไร แต่ท่านผู้เป็นถึงระดับคุณพระคุณท่านมาใช้สายตาจ้องมองจุดด้อยบนใบหน้าของข้าเช่นนี้ มันเหมาะสมแล้วหรือเจ้าคะ”

เจ้าอาวาสรีบขอโทษ “อาตมาขออภัยที่เสียมารยาท โยมอย่าถือสาเลยนะ!”

หลังจากที่กู้เจียวเดินออกไป เจ้าอาวาสก็นั่งเหม่อไปอยู่นานสองนาน

สักพักก็มีลูกศิษย์เดินเข้ามา เอ่ยถาม “ท่านเจ้าอาวาสเป็นอะไรไปรึ”

“อาตมานึกอะไรขึ้นมาได้น่ะ”

“เรื่องอันใดรึ” ลูกศิษย์เอ่ยถาม

เจ้าอาวาสถอนหายใจ พลางเอ่ย “เรื่องเมื่อนานมาแล้ว”

เขานึกย้อนไปเมื่อเย็นวันนั้น เขาดื่มหนักมาก ขณะที่เขากำลังจะแต้มโส่วกงซาให้เด็กทารกนั้น จู่ๆ มือของเขาเกิดสั่น พลาดไปแต้มที่ใบหน้าของเด็กทารก…

วันต่อมา พอเขาตื่นขึ้น ระลึกได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป จึงรีบไปขอขมากับฮูหยินโหว แต่เด็กที่ฮูหยินโหวอุ้มอยู่กลับมีใบหน้าขาวใสไร้รอยโส่วกงซา

เขานึกสงสัยตัวเองว่าหรือเป็นเพราะดื่มหนักเกินเลยทำให้เขาไม่แน่ใจความทรงจำของตนเอง ในเมื่อไม่มีรอยบนหน้าเด็ก ก็แปลว่าเขาไม่ได้ทำอะไรลงไปสินะ

เรื่องก็ผ่านมานานหลายปีแล้วจนเขาลืมไปแล้ว แต่พอได้มาพบกับกูเจียวเมื่อครู่นี้ ความทรงจำเก่าๆ ก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวเขา จนเกิดสงสัยว่าหรือเขาจะเผลอแต้มโส่วกงซาพลาดไปจริงๆ

ไม่สิ เด็กที่เขาแต้มให้คือทายาทร้อยล้านของตระกูลโหวนี่นา แต่เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

หลังจากที่กู้เจียวเดินออกมาแล้ว ก็เดินกลับไปหาฮูหยินคนนั้น แต่กลับพบว่าฮูหยินได้ลงเขาไปแล้ว

“ขนมในกล่องพวกนี้ ฮูหยินได้กำชับอาตมาไว้ว่าต้องมอบให้โยมให้ได้ รับไว้ด้วยเถิด” พระสงฆ์ที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ยื่นห่อผ้าให้กู้เจียว

กู้เจียวยื่นมือรับแล้วชำเลืองอยู่พักหนึ่ง จึงได้รู้ว่าฮูหยินยกขนมที่เหลือทั้งหมดให้ตน

กู้เจียวถอนหายใจ พลางนึกได้ว่าชุดที่ใส่อยู่ยังไม่ได้คืนนางเลย…

ชุดที่ฮูหยินมอบให้นั้นจะดูสวยก็ตาม แต่ไม่เหมาะกับการเดินลงเขา เกรงว่าเดินไปสองเก้ามีหวังเสื้อหลุดลุ่ยแน่นอน แต่ก็โทษใครไม่ได้ เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับเดินป่าเดินเขาอยู่แล้ว

ระหว่างทางกลับ กู้เจียวพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วที่สุด พลางนึกกังวลว่าหญิงชรากับเพื่อนบ้านจะเข้ากันไม่ได้ ด้วยความที่หญิงชราเป็นคนกระฟัดกระเฟียดเก่ง แถมยังเรื่องมาก จัดอยู่ในพวกเข้าสังคมไม่ได้

พอกู้เจียวกลับมาถึงเรือนเท่านั้น ก็มีเรื่องชวนงงเกิดขึ้น

นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนเยอะขนาดนี้ แถมล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น

ปกติกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังมักจะไม่เข้าหาคนในหมู่บ้านก่อน ปกติหากพวกเขามีธุระจะให้เขียนจดหมายหรืออ่านจดหมายให้ฟัง พวกชาวบ้านก็จะมาที่เรือนพวกเขา อย่างมากที่สุดก็รับแค่สามคนต่อวันเท่านั้น ไม่มีทางจะมากไปกว่านี้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่กู้เจียวเกิดอาการมึนงงว่าเหตุใดเรือนของนางจึงอัดแน่นไปด้วยผู้คน

หญิงชรานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านบนสุด ส่วนภรรยาของหลัวเอ้อซูกำลังยกกาน้ำชา ทำท่าโค้งตัวให้คนที่ยืนอยู่ด้านข้าง

ส่วนกุ้ยฟังลูกสะใภ้ของแม่เฒ่าจางยืนอยู่อีกฝั่ง ในมือถือถาด บนถาดนั้นมีขนมและเมล็ดทานตะวัน

กู้เจียวไม่เข้าใจภาพตรงหน้า ท่านพี่กุ้ยฟังเพิ่งจะอยู่ไฟไปมิใช้รึ

ส่วนคนที่เหลือที่เข้ามาไม่ได้ต่างก็พยายามเบียดเสียดกันเข้ามาราวกับชาวบ้านที่มามุงดูป่าหี่ยังไงยังงั้น!

“เอาละ กลับไปได้แล้ว” หญิงชราวางเมล็ดทานตะวันลง จากนั้นโบกมือไล่

ทุกคนทยอยเดินออกไป แต่ก่อนจะออก พวกเขาโค้งคำนับให้หญิงชรา

หากภาพเหล่านี้ปรากฏในราชวังยังว่าไปอย่าง แต่นี่คือกลุ่มสตรีชาวบ้านห่อผ้าโพกศีรษะจู่ๆ มาทำท่าโก้งโค้งทำความเคารพให้หญิงชราเนี่ยสิ มันช่างขัดหูขัดตายิ่งนัก!

กู้เจียวทนเห็นสภาพตรงหน้าไม่ไหว พลันคว้าตัวเซวียหนิงเซียงที่ยืนอยู่ข้างกันมาซักถาม “นี่หญิงชราก่อเรื่องอะไรอีกแล้วรึ”

เซวียหนิงเซียงตอบอย่างเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ “ท่านยายท่านเล่าละครให้คนในหมู่บ้านฟังนะสิ! แถมเล่าได้สนุกมากเลยล่ะ!”

กูเจียวเบะปาก “แล้วที่พวกเขาโค้งคำนับให้นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน”

เซวียหนิงเซียงครุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้เข้าใจว่ากู้เจียวหมายถึงอะไร “อ๋อ เจ้าสงสัยเรื่องนี้หรอกรึ นางบอกว่าพวกนักแสดงเขาทำแบบนี้กัน!”

ไม่มีใครที่ไหนเขาทำกันแบบนี้หรอก!

ขณะเดียวกันหญิงชรากำลังง่วนกับการให้ชายร่างใหญ่โค้งคำนับให้นาง

กู้เจียวไม่เข้าใจว่าหญิงชราคนนี้มาจากไหนกัน เหตุใดถึงได้ต้มตุ๋นชาวบ้านไปทั่วเช่นนี้