คนโบราณชอบฟังละคร เพราะนอกเหนือจากนั้นแล้วไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้ไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะสตรี
ยิ่งอยู่ในชนบทแล้ว การฟังละครเป็นเรื่องยากยิ่ง โรงละครที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือในเมือง แน่นอนว่าต้องเสียสตางค์จำนวนมากถึงจะเข้าไปชมได้ ซึ่งชาวบ้านอย่างพวกเขาจ่ายไม่ไหวอยู่แล้ว
แม้ว่าหญิงชราจะขับร้องไม่เป็น แต่นางเป็นคนเล่าเรื่องเก่ง แถมยังเล่าได้ถึงพริกถึงขิงเสียด้วย
“ท่านไปฟังเรื่องพวกนี้มาจากที่ใดรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
“ข้าจำไม่ได้แล้ว” หญิงชราส่ายหัว
กู้เจียวรู้ว่านางไม่ได้พูดโกหก จึงเอ่ยถามต่อ “แล้วท่านจำอะไรได้บ้าง”
หญิงชราพยายามครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเอ่ยตอบ “ก็ไม่นะ”
กู้เจียว “…”
กู้เจียวเอ่ยถามอีกครั้ง “ถ้างั้นต่อไปท่านอย่าเที่ยวไปหลอกใครเขาจะได้ไหม”
หญิงชราทำท่าครุ่นคิดอย่างตั้งอกตั้งใจอีกรอบ แล้วตอบ “ไม่ได้”
กู้เจียว “…”
…
ใกล้ถึงช่วงสิ้นปีแล้ว กู้เจียวมีงานเข้ามาเรื่อยๆ จนไม่มีเวลาดูแลหญิงชรา ส่วนหญิงชราเองบางครั้งก็ใช้มุกเดิมๆ คอยหลอกชาวบ้าน แต่อย่างน้อยนางก็จัดการของนางเอง ไม่ได้มารบกวนกู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังแต่อย่างใด
จากนั้นกู้เจียวก็ได้กลับไปที่วัดเดิมอีกครั้ง แต่ก็พบว่าพระรูปนั้นที่ดูแลทรัพย์สินของวัดยังไม่กลับมา
กู้เจียวจึงตัดสินใจว่าหลังตรุษจีนจะกลับมาเยือนอีกครั้ง
ที่สำนักบัณฑิตได้มีการจัดสอบอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ขโมยครั้งนั้นหรือไม่ที่ทำให้ครั้งนี้
กู้ต้าซุ่นทำข้อสอบออกมาได้ไม่ดีนักและตกไปอยู่ที่อันดับสิบของห้อง
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นยังคงอันดับที่โหล่ไว้ได้เสมอต้นเสมอปลาย
เซียวลิ่วหลังไต่คะแนนขึ้นมาได้หนึ่งอันดับ ทว่าไม่ใช่เพราะเขาทำคะแนนได้ดีขึ้น แต่เป็นเพราะนักเรียนที่ได้อันดับรองที่โหล่และอันดับสี่จากท้ายดันเกิดลาป่วย พวกเขาเลยต้องไปกองอยู่อันดับที่โหล่พร้อมกับกู้เสี่ยวซุ่น
พวกอาจารย์ในสำนักต่างรับรู้ถึงความสามารถของเซียวลิ่วหลังจากบทความที่เขาเขียน แต่พอหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เขียนเรียงความอีก ส่วนตอนสอบก็เอาแต่ส่งกระดาษว่างให้
จนมีคนเริ่มสงสัยว่าหรือเขาจะหมดไฟแล้ว บางคนก็อดคิดไม่ได้ว่าหรือเขาจะโกงข้อสอบตั้งแต่แรก
แต่อย่างไรก็ตาม อาจารย์ใหญ่หลียังคงปักธงว่าเซียวลิ่วหลังคือเด็กที่มีความสามารถ
ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร อาจารย์ใหญ่ก็ยังไม่หมดหวังในตัวเขา
การสอบเคอจวี่จัดทุกๆ สามปี ประจวบเหมาะว่าปีหน้ามีการจัดสอบชิวเหวย หากพลาดครั้งนี้ไป คงต้องรอไปอีกสามปี
การสอบชิวเหวยจะต้องเป็นซิ่วไฉเท่านั้นจึงจะเข้าสอบได้
แถมช่วงใกล้ตรุษจีนก็มีการสอบระดับตำบลเกิดขึ้น อาจารย์ใหญ่หลีลังเลอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจส่งชื่อเซียวลิ่วหลังลงสอบ
กู้เจียวยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ ส่วนตอนนี้สำนักบัณฑิตได้หยุดตรุษจีนเป็นที่เรียบร้อย พรุ่งนี้เป็นวันผ่าตัดของเซียวลิ่วหลัง นางจึงต้องการการพักผ่อนที่ดี เพื่อจะได้ให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ก่อนจะเข้านอน กู้เจียวตรวจสอบกล่องโอสถของตน และแน่นอนว่าอุปกรณ์ผ่าตัดสำคัญอย่างยาสลบและเข็มฉีดยาต่างๆ ถูกตระเตรียมไว้หมดแล้ว
ของพวกนี้ไม่ได้มีขายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ได้มาจากสถาบันวิจัย กู้เจียวสงสัยอย่างจริงจังว่าตราบใดที่สถาบันวิจัยไม่ปิดตัวลง กล่องยาของเธอก็จะถูกเติมเต็มตลอดเวลา
อืม ถือเป็นเรื่องดี!
กู้เจียวค่อยๆ หลับตาพร้อมนอนลงไป พอตื่นขึ้นมาก็รีบจัดแจงทำอาหารเช้าจากนั้นต้มยาให้หญิงชรา
ตอนที่กู้เจียวถือถ้วยยาต้มเข้าไปในห้องหญิงชรา หญิงชราชำเลืองมองเม็ดยาในจานด้วยความสงสัย จากนั้นเลื่อนไปมองที่ยาต้ม ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าจะกินหรือไม่กินยาต้มนั้นก็ได้”
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ยาพวกนี้สำคัญทั้งคู่แหละ” กู้เจียวเอ่ยหน้านิ่ง
หญิงชราทำหน้าไม่ไว้ใจแต่ก็จำยอมกินเขาไป รสชาติของยานั้นขมเสียจนหญิงชรากลอกตามองบน จนเกิดสงสัยหรือว่ากู้เจียวจะล้างแค้นที่นางไปหลอกชาวบ้านไว้
กู้เจียวฝากให้เซวียหนิงเซียงดูแลหญิงชราตามเดิม จากนั้นก็ขึ้นรถเกวียนของลุงหลัวเอ้อร์พร้อมกับเซียวลิ่วหลังเพื่อมุ่งหน้าไปโรงหมอ
แน่นอนว่าเฝิงหลินไม่มีทางพลาดวันสำคัญเช่นนี้ได้
เขามารอที่โรงหมอตั้งแต่เช้าตรู่ แม้ว่าอากาศจะเย็นลงแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ยอมเข้าไปรอด้านใน กลับยอมทนหนาวยืนรอที่ด้านนอก
พอเฝิงหลินเห็นคู่สามีภรรยาบนรถเกวียน พลันทำหน้าเคร่งขรึม
ลึกๆ แล้วเขาอยากจะตะโกนด่าออกไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ข่มใจไว้ได้ ท่านพี่เซียวอยู่เฉยๆ ของเขาแต่นางบ้านี่นับวันชักจะยิ่งทำตัวหน้าไม่อาย คอยเกาะแกะท่านพี่เซียวอยู่ได้!
ส่วนกู้เจียวพอเจอเฝิงหลินก็ทำหน้านิ่งพลางเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลับไปฉลองตรุษจีนรึ”
เฝิงหลินตอบย้อน “บ้านข้าอยู่ไกลขนาดนั้น ให้กลับไปยังไง”
กู้เจียวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าการคมนาคมสมัยโบราณยังไม่เจริญเท่าใดนัก ชาติก่อนของนางแค่นั่งรถไฟฟ้าความเร็ววันเดียวก็ถึง แต่พอเป็นยุคนี้คงต้องเดินเท้าเปล่าแรมเดือนกันเลยทีเดียว ยังไม่ทันจะถึงบ้านก็คงพ้นตรุษจีนไปแล้วล่ะ
“อ้อ” กู้เจียวร้องอ๋อตอบ
“…” เฝิงหลินกำหมัดแน่น
วันผ่าตัดถูกกำหนดไว้ ผู้ดูแลหวังและหมอเฒ่าคนนั้นมารออยู่ที่ห้องตรวจตั้งแต่ฟ้าสาง
เฝิงหลินและกู้เจียวเดินตามเข้าไป
หมอเฒ่าเอ่ยถามเซียวลิ่วหลังถึงยาที่จุดในห้อง
“ก่อนนอนข้าจะจุดยาไว้” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ
ทุกคืนหลังเลิกเรียนเขากลับมาที่เรือน กู้เจียวได้จัดแจงมื้อเย็นรวมถึงต้มยาไว้ให้เขาเรียบร้อย
หมอเฒ่าพยักหน้า
เฝิงหลินเอ่ยถาม “ท่านหมอจาง ขาของท่านพี่เซียวใกล้ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
หมอเฒ่าเอ่ย “จะดีหรือไม่ ต้องรอดูหลังผ่าตัดเสร็จ”
“ท่านว่ายังไงนะ ผ่าตัดงั้นรึ” เฝิงหลินทำหน้าตกใจ
แววตาของเซียวลิ่วหลังบัดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
กู้เจียวคิดไว้แล้วว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ จึงไม่ได้บอกกับใคร การผ่าตัดในยุคนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ เชื่อกันว่าจะใช้แค่ในสนามรบเท่านั้น
เฝิงหลินตะโกนร้องเสียงหลง “ท่านหมอจาง! ไหงท่านไม่บอกข้าก่อนว่าต้องผ่าตัด!”
แน่นอนว่าหมอเฒ่ามิบังอาจปริปากเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว พลางเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เป็นเพราะตอนนั้นหลายๆ อย่างยังไม่อำนวย แต่บัดนี้เขาดมยามาพอสมควรแล้ว เส้นประสาทถูกคลายออก สามารถทำการผ่าตัดได้แล้ว”
ในเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต้องเอามีดกรีดลงเนื้อหนัง เฝิงหลินจึงเกิดกังวลขึ้น “นอกจากผ่าตัดแล้ว ไม่มีวิธีอื่นอีกหรือท่าน”
“อืม” หมอเฒ่าพยักหน้า
“จะสำเร็จไหมท่าน” เฝิงหลินถามอีกครั้ง
“ข้ารับประกันไม่ได้” หมอเฒ่าเอ่ยอย่างปราณี “หากการผ่าตัดสำเร็จ เขาจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติอีกครั้ง แต่ถ้าหากไม่สำเร็จ อาจจะแย่กว่าเดิมก็เป็นได้”
นี่เป็นประโยคที่กู้เจียวเคยว่าไว้ ต่อให้นางเป็นหมอที่เก่งที่สุดของสถาบันวิจัย ก็ไม่อาจบอกออกไปได้ว่าการผ่าตัดนั้นไม่มีความเสี่ยง
“ท่านพี่เซียว…” เฝิงหลินเริ่มใจคอไม่ดี เขาเป็นคนไม่กล้าเสี่ยง
เซียวลิ่วหลังกลับอ้าปากเอ่ยออกมาอย่างไม่สนใจใยดี “ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มลงมือผ่าตัดเถิด รบกวนท่านหมอจางด้วย”
เขาช่างตอบรับออกมาอย่างง่ายดาย แม้แต่กู้เจียวเองก็อดไม่ได้ที่จะหันมาชำเลืองเขา
ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานแล้วก็ตาม แต่กู้เจียวยังคงอ่านใจเขาไม่เคยออก แต่เมื่อครู่นี้ กู้เจียวสัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นชาและเมินเฉยของเขา
ราวกับเขาไม่สนใจว่า…การผ่าตัดครั้งนี้ จะสำเร็จหรือไม่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความใจกล้าของเขา หรือเพราะความไม่รักตัวกลัวตายของเขากันแน่