เฝิงหลินส่งสายตาให้กู้เจียว หวังว่านางจะพูดโน้มน้าวเซียวลิ่วหลังให้ได้ แต่กู้เจียวกลับเมินใส่เขา เฝิงหลินจึงโมโหมาก

ก่อนการผ่าตัดเริ่มต้นขึ้น หมอเฒ่าได้ยื่นหนังสือประหลาดให้ เซียวลิ่วหลังชำเลืองดูอยู่พักหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

“นี่คืออะไรรึ”

หมอกระแอมแล้วเอ่ยตอบ “หนังสือยินยอมการเข้ารับผ่าตัดน่ะ ต้องให้ผู้เป็นญาติเซ็นรับรอง”

…งงไปหมด

ตั้งแต่เขาทำอาชีพหมอมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ไม่เห็นจะต้องมาทำอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง!

แต่ก็นะ ในเมื่อแม่นางกู้ขอร้องมา เขาก็ต้องทำตามนี้

เฝิงหลินไม่สามารถเซ็นหนังสือนี้ได้ เซียวลิ่วหลังที่เป็นคนไข้ก็ไม่สามารถเช่นกัน และจู่ๆ กู้เจียวก็พลันนึกขึ้นได้ว่านางเขียนตัวเองไม่เป็นนี่นา!

อา แย่จัง มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกไหม

ตอนนั้นที่นางให้เถ้าแก่รองร่างหนังสือยินยอมนี้ขึ้นมาก็ลืมนึกถึงปัญหานี้ไปเสียสนิทเลย

ถ้าใช้ลายมือของตัวเองตอนชาติก่อนมาเขียนละก็ คงประหลาดพิลึกน่าดู

ให้ตายเถอะ หมดคำจะพูด

กู้เจียวคว้าปากกาขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำราวกับคนเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก

เดิมทีอุตส่าห์วางแผนไว้ว่าจะให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือขึ้นเสียหน่อย ไฉนเละเทะแบบนี้ล่ะ

เซียวลิ่วหลังหันไปมองกู้เจียวที่กำลังยกปากกาขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว พลันนึกในใจว่านางคงเขียนตัวหนังสือเป็น

แต่สุดท้ายก็ต้องให้เซียวลิ่วหลังเซ็นแทนอยู่ดีโดยใช้ชื่อของนาง

เซียวลิ่วหลังถูกพาตัวไปยังห้องรับรองสำหรับรอผ่าตัด ช่วงที่ผ่านมาที่เขาดมยาคลายเส้นประสาททำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ง่ายขึ้น และครั้งนี้หมอเฒ่าให้เขาดื่มยาสลบแบบชง

ซึ่งยาสลบแบบชงนั้นเป็นยาชาโบราณ ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นโดยหมอฮั่วถัวชื่อดัง และต่อมายาชนิดนี้ก็ได้หมดความนิยมไปตามกาลเวลา ยาสลบส่วนใหญ่ที่แพทย์ใช้ในปัจจุบันเป็นผงหรือส่วนผสมที่ทำจากดอกดาทูร่า

ยาชนิดนี้นอกจากจะทำให้ไม่รู้สึกตัวแล้วยังมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ และยับยั้งการขับของของเสียออกทางรูขุมขนด้วย จึงทำให้ยานี้มีอีกชื่อเรียกหนึ่งนั่นก็คือยาห้ามเหงื่อ

ซึ่งยาห้ามเหงื่อตัวนี้มีพิษสงไม่น้อย แน่นอนว่ากู้เจียวไม่ยอมให้เซียวลิ่วหลังใช้ยาตัวนี้แน่นอน ดังนั้นยาที่อยู่ในถ้วยนั้นแท้จริงแล้วเป็นยาคลายเส้นประสาทที่เอามาจากร้านยาหุยชุนถังนั่นเอง

พอเขาดื่มยานั้นไปสักพักก็ค่อยๆ ผล็อยหลับลง

กู้เจียวพยายามหาข้ออ้างเพื่อที่จะหลบเฝิงหลิน เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่าครั้งก่อน นางจึงบอกเขาว่าออกไปเดินเล่นซื้อของบนถนน

เฝิงหลินยังโมโหที่นางไม่ยอมพูดโน้มน้าวให้ท่านพี่เซียวเปลี่ยนใจ พอมาตอนนี้ท่านพี่เซียวกำลังจะเข้าผ่าตัด นางก็ดันคิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสบายใจเฉิบ!

กะแล้วเชียวว่านางน่ะเป็นคนไร้หัวใจ!

กู้เจียวทำทีเดินออกไป จากนั้นอ้อมไปด้านหลังแล้วแอบเข้ามาทางประตูหลัง

หมอเฒ่าเป็นหมอเก่าแก่ประจำหุยชุนถัง อยู่ทำงานที่นี่มากว่าสามสิบปี แม้หัตถการของหมอเฒ่าอาจเทียบไม่ได้กับหมอจางที่อยู่ในเมืองหลวง แต่จรรยาบรรณแพทย์ของหมอเฒ่านับว่าหายากยิ่ง ไม่เช่นนั้นเถ้าแก่รองคงไม่ไว้วางใจให้เขามาอยู่ด้วยได้

หมอเฒ่ารู้สึกสนใจการผ่าตัดครั้งนี้จนอยากจะตามกู้เจียวเข้าไปด้วย

แต่กู้เจียวดูเหมือนจะไม่เข้าใจความอยากรู้อยากเห็นของหมอเฒ่า ซ้ำยังปิดประตูใส่เฉย

หมอเฒ่า: “…”

จริงๆ กู้เจียวก็รู้ดีว่าหมอเฒ่าเองก็ไม่ง่าย เลยกะว่าจะมอบตำรับยาให้เป็นการตอบแทน ส่วนตอนนี้กู้เจียวยังไม่อยากเปิดเผยความลับเกี่ยวกับกล่องยาของตนให้ใครรู้สักเท่าไหร่นัก

กู้เจียวเปิดกล่องยาออก จากนั้นฉีดยาชาเข้าไปตรงบางส่วนของร่างกาย

……

หนึ่งชั่วยามผ่านไป กู้เจียวสะพายตะกร้าเดินออกมา

ทั้งหมอเฒ่าและเถ้าแก่รองรีบเดินเข้ามาถามพร้อมๆ กัน “เป็นอย่างไรบ้าง”

กู้เจียวพยักหน้า พลางเอ่ย “การผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี”

หัตถการของกู้เจียวเป็นไปตามกระบวนการทุกอย่าง เพียงแต่การพักฟื้นนั้นขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน นอกจากนี้ข้อเท้าของเขาได้รับบาดเจ็บมานานเกินไป แม้ว่าการผ่าตัดจะประสบความสำเร็จเขาจะต้องพักฟื้นเป็นเวลานานพอสมควร

แต่อย่างน้อย การผ่าตัดก็เป็นไปได้ด้วยดี เซียวลิ่วหลังจะได้ไม่ต้องทนเจ็บขาอีกต่อไป

พอนึกถึงคืนก่อนๆ ที่ผ่านมา เขาต้องทนเจ็บมาตลอด กระนั้นแล้วก็ยังมีแรงออกไปตักน้ำไปเผาฟืน…ทำเท่าที่เขาพอจะทำได้ แต่กู้เจียวกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

หากรู้ว่าเขาเจ็บขนาดนี้ นางคงไม่ปล่อยให้เขาทำงานหนักแบบนั้นหรอก

พอเซียวลิ่วหลังลืมตาขึ้น ก็พบว่าหมอเฒ่าคอยอยู่ข้างๆ

หมอเฒ่าได้อธิบายอาการทั้งหมดของเขา รวมถึงเล่าว่าการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี ก่อนจะบอกให้เขากลับไปพักผ่อน อีกสิบวันค่อยมาดูอาการอีกที “…เจ้าอย่าลืมว่า ช่วงสิบวันนี้ห้ามออกแรงเยอะ พยายามนอนพักฟื้นให้ได้มากที่สุด ไม่ท่านของเผ็ด งดเหล้า…”

“หืม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยร้องด้วยความสงสัย พลางมองหน้าหมอเฒ่า

ส่วนหมอเฒ่าก็เข้าใจว่าเขาคงได้ยินไม่ชัด เลยหัวเราะและเอ่ย “ให้งดเหล้า หมายความว่าไม่ให้ดื่มเหล้าน่ะ เข้าใจไหม เจ้ายังอายุน้อย ต่อให้ไม่เจ็บไม่ป่วยอะไรก็อย่าไปกินของพวกนี้ให้มาก”

เซียวลิ่วหลังเบนตาลง “อืม”

หลังจากที่หมอเฒ่ากำชับเสร็จก็ให้ลูกน้องไปตามเฝิงหลินและกู้เจียวเข้ามาในห้อง

เฝิงหลินเข้ามาในห้อง คำถามแรกที่เอ่ยก็คือ “ท่านพี่เซียว ยังไม่ตายใช่ไหม”

กู้เจียวที่เดินตามมาพอได้ยินดังนั้นถึงกับมองบนใส่!

เฝิงหลินเดินมาใกล้ๆ เตียงเพื่อดูรอยแผลผ่าตัดใกล้ๆ แต่รอยที่ว่านั่นถูกผ้าห่อพันไว้อย่างดี

“เจ็บไหม” เฝิงหลินถาม

ยาชาหมดฤทธิ์แล้ว อาการเจ็บจึงค่อยๆ ปะทุขึ้น แต่ด้วยความที่เขาทนเจ็บมาได้ตั้งนาน เลยกลายเป็นความเคยชินไปแทน จึงส่ายหัวพลางเอ่ย “ไม่เจ็บหรอก”

เฝิงหลินที่ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ก็รีบหันไปค้อนกู้เจียว พลางตะโกน “เมื่อครู่ที่เจ้าไม่อยู่ เลยไม่ได้ยินที่หมอจางพูด ข้าจะพูดกับเจ้าอีกครั้ง! จำใส่หัวของเจ้าไว้ดีๆ ล่ะ!”

เฝิงหลินทวนคำพูดที่หมอจางกำชับไว้อย่างไม่ตกหล่นสักคำให้กู้เจียวได้ฟัง

กู้เจียวตั้งใจฟังเขา

หมอเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำท่าปาดเหงื่อ พลางคิดในใจ เจ้าหนุ่มเอ๋ย คงไม่รู้เลยสินะว่าใครเป็นคนต้นคิดวิธีการเฝ้าระวังน่ะ…

พอออกมาจากโรงหมอก็ตกเย็นแล้ว หลัวเอ้อซูช่วยเฝิงหลินพยุงร่างของเซียวลิ่วหลังขึ้นรถเกวียน โดยไปส่งเฝิงหลินที่สำนักบัณฑิตก่อน จากนั้นค่อยไปส่งกู้เจียวและเซียวลิ่วหลังที่หมู่บ้าน

ระหว่างออกตัวไปได้ครึ่งทาง ทั้งสองเกิดท้องร้องพร้อมกัน

ทั้งคู่กินแค่ข้าวเช้าไป เพราะว่ายุ่งเรื่องผ่าตัดทั้งวันจนลืมกินข้าวเที่ยงไปเสียสนิท

ฟ้าเริ่มสลัวราวกับว่าหิมะกำลังจะตกลงมา

กู้เจียวนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยกับเซียวลิ่วหลัง “หิมะใกล้ตกแล้ว พวกเราคงไม่ได้ทานข้าวข้างนอกแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าไปซื้อขนมเปี๊ยะต้นหอมเอามากินรองท้องก่อน”

ข้างทางมีร้านขายขนมเปี๊ยะต้นหอมอยู่พอดี เซียวลิ่วหลังจึงพยักหน้า “ได้สิ”

ร้านที่ขายขนมเปี๊ยะต้นหอมอยู่ตรงหัวมุมที่พวกเขาเพิ่งนั่งรถผ่านไป กู้เจียวกระโดดย่องลงจากเกวียน

มุ่งหน้าไปยังร้านขนม แต่ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก้าวเท้าไว้เกินหรือไม่ จู่ๆ ก็ชนเข้ากับคนแปลกหน้า

ครั้งนี้เป็นคนอื่นตั้งใจเดินชนนางจริงๆ ไม่ใช่นางเจตนาเดินชนคนอื่นก่อนแต่อย่างใด

ชาติก่อนของกู้เจียวไม่ได้เป็นเพียงแค่แพทย์หญิงเท่านั้น คิดหรือว่านางจะจับไต๋คนพวกนี้ไม่ได้ คิดหรือว่าจะมาเอาเปรียบคนอย่างนางได้! คนที่เดินชนนางเมื่อครู่พอชนเสร็จปุ๊บก็รีบเดินแฝงตัวเข้าไปในฝูงชน

กู้เจียวหัวเราะเหยียด จากนั้นมองลงไปบนพื้นแล้วเตะก้อนหินที่อยู่ตรงนั้นให้ลอยออกไป และแล้วหินก้อนนั้นก็ร่วงลงไปโดนตรงกลางศีรษะของคนที่มาเดินชนนางเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย” เจ้านั่นร้องโอดโอยแล้วล้มลงไปกับพื้น พอหันกลับมาเบื้องหลังกลุ่มคนก็ปะทะเข้าให้กับสายตาอาฆาตของกู้เจียว