บทที่ 39 เหล้าพิธีการ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สายตาอาฆาตคู่นั้นของนางยังคงมองไปที่โจรกระจอกอย่างไม่หยุดหย่อนราวกับคนแค้นฝังหุ่น

โจรกระจอกสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของนาง จึงรีบวิ่งหนี!

ไม่เคยมีโจรกระจอกที่ไหนที่จะพ้นเงื้อมมือของนางไปได้หรอก!

กู้เจียวออกตัววิ่งตามเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง

ดูเหมือนโจรกระจอกจะเริ่มหมดแรง กู้เจียวเริ่มเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ ระหว่างที่โจรกระจอกกำลังตัดสินใจอยู่ตรงทางแยกว่าจะวิ่งไปทางไหน ดันเลือกวิ่งเข้ามาตรงซอยตันพอดี!

โจรกระจอกเริ่มผวา พลางคว้ามีดด้ามสั้นออกมาจากกระเป๋าด้วยความเดือดดาล

“อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นเจ้าตายแน่!”โจรกระจอกคำรามใส่

กู้เจียวไม่แม้แต่จะเลิกตามอง นางกระโดดและใช้เท้าข้างหนึ่งถีบกับแพงและดันตัวออกจากนั้นก็เตะเข้าให้ที่มีดสั้นของโจรกระจอกด้วยเท้าอีกข้างหนึ่ง จนมีดสั้นนั้นหลุดออกจากมือเขา

ในวินาทีถัดมากู้เจียวก็กระโดดเตะเข้าที่หน้าอกโจรกระจอกอย่างไม่รอช้า และแล้วโจรกระจอกก็เซล้มลงไปกับพื้น

กู้เจียวค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปด้วยท่าทีเย็นชา จากนั้นใช้เท้าเขี่ยร่างโจรกระจอก แล้วหยิบกระเป๋าเงินที่หลุดออกจากข้อมือของเขาขึ้นมา

เซียวลิ่วหลังกำลังรอยู่ที่เกวียน กู้เจียวไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้ จึงไม่คิดจะไปแจ้งความ ครั้นกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ โจรกระจอกก็คว้ามีดสั้นขึ้นมาเตรียมจะทำร้ายนาง

โจรกระจอกยังไม่ทันจะได้ลงมือ กู้เจียวที่ไหวตัวทันก็รีบใช้เท้าเหยียบเข้าไปที่ข้อมือของโจรกระจอกจนกระดูกข้อมือหัก

“โอ๊ย” โจรกระจอกร้องเสียงหลง เขาไม่เข้าใจว่านางทำได้อย่างไร ในเมื่อนางหันหลังให้เขาอยู่ หรือว่านางจะมีตาหลังกันนะ

“จับมันเร็ว!”

ทันใดนั้นมีกลุ่มบุรุษในเครื่องแบบกรูกันเข้ามาจากทางหน้าตรอก พวกเขาชำเลืองกู้เจียวอยู่สักพัก จากนั้นก็ปล่อยผ่าน และเข้าไปรวบตัวโจรกระจอก

“เจอแล้วหรือยัง”

ในตอนนั้นเอง ก็มีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นด้วยท่าทีหอบแฮก

ดูเหมือนก่อนหน้าเขาวิ่งเร็วเกินไปจนร่างกายรับไม่ไหว พอมาถึงตรงนี้จึงทำท่าประคองที่กำแพงพลางหายใจหอบอย่างคนหมดแรง

กู้เจียวเคยเจอเขาผู้นี้มาก่อน

เขาเอ่ยทักนางก่อน “แม่นางกู้รึ”

กู้เจียวชะงักฝีเท้า พลางเอ่ย “บัณฑิตเสี่ยวฉินรึ”

เมืองนี้มันเล็กนักรึไง ไฉนถึงได้มาเจอเขา แม้กระทั่งในเวลาแบบนี้ ที่นางเพิ่งจะจับโจรได้

พวกบุรุษในเครื่องแบบหลังจากที่จับโจรกระจอกได้แล้วก็เดินมาทางนี้ พร้อมกับม้วนภาพวาดในมือพลางแสดงให้บัณฑิตเสี่ยวฉินได้ดู “นายท่าน เจอแล้วขอรับ!”

“เร็วขนาดนี้เชียว ไหนบอกว่าพวกโจรลักเล็กขโมยน้อยแบบนี้ตามจับยากไง” บัณฑิตหนุ่มเอ่ยถามพลางคว้าม้วนภาพวาด

บุรุษนายยามหันมาทางกู้เจียว พลางเอ่ย “สตรีผู้นี้เป็นคนที่จับโจรไว้ได้ขอรับ”

หลังจากเหตุการณ์ครั้งที่ผ่านมา บัณฑิตเสี่ยวฉินก็เริ่มมองกู้เจียวเปลี่ยนไป เขายอมให้นางขูดรีดเงินเขาเสียยังจะดีกว่าให้นางมาตามราวีเขาแบบเมื่อก่อน

“ข้าต้องขอบใจเจ้าอีกครั้ง” บัณฑิตเสี่ยวฉินเอ่ยด้วยความรู้สึกเกรงใจ

กู้เจียวหรี่ตามองเขา พลางถาม “เหตุใดเจ้าถึงโดนขโมยของบ่อยเช่นนี้”

บัณฑิตเสี่ยวฉินทำท่าเคอะเขิน แล้วเอ่ยตอบ “คงเป็นเพราะมีข่าวรั่วไหลออกไป พวกศัตรูเลยจ้องจะเล่นงานข้ากระมัง”

แน่นอนว่าบัณฑิตเสี่ยวฉินไม่ได้อธิบายถึงรายละเอียดเรื่องข่าวที่ว่าแต่อย่างใด ส่วนกู้เจียวเองก็ไม่ได้เอ่ยถามเช่นกัน

กู้เจียวแค่อยากได้ถุงเงินของนางคืน ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางจะไม่ยุ่ง กู้เจียวไม่เสวนาต่อกับบัณฑิตเสี่ยวฉิน แล้วเดินออกไปอย่างนิ่งๆ

บัณฑิตเสี่ยวฉินมองตามหลังนาง พลางขมวดคิ้วแล้วคิดในใจ นี่นาง…ไม่ได้คิดอะไรกับเขาแล้วจริงๆ ใช่ไหม

“นายท่าน” บุรุษนายยามอีกคนเดินเข้ามา “ข้าน้อยเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ขึ้นมาได้ ไม่รู้ว่าเป็นของแม่นางคนนั้นหรือไม่”

บัณฑิตเสี่ยวฉินรีบคว้าผ้าเช็ดหน้าแล้ววิ่งไปตามทางที่กู้เจียวเพิ่งเดินออกไป

พอเขาตามนางจนเจอ ก็พบว่ากู้เจียวกลับไปที่รถเกวียนพร้อมกับขนมเปี๊ยะต้นหอมที่ซื้อเสร็จแล้วเรียบร้อย

“แม่นางกู้! แม่นางกู้!”บัณฑิตเสี่ยวฉินที่เติบโตขึ้นมากับหนังสือ เมื่อครู่ที่วิ่งไล่จับโจรก็แทบจะกินแรงทั้งหมดที่เขามี ที่เขาวิ่งตามนางมาได้เป็นเพราะความแน่วแน่ของจิตเขาล้วนๆ

เขาค่อยๆ เกาะรถเกวียนแล้วขึ้นไปอย่ากระหืดกระหอบ ไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียงสักแอะเดียว

นัยน์ตาเซียวลิ่วหลังเผยให้เห็นถึงความเย็นชา

กู้เจียวแบมือพลางทำหน้าประมาณว่า “ข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ข้าไม่รู้จักเขา”

“มีเรื่องอันใดรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามเสียงเบา

บัณฑิตเสี่ยวฉินทำหน้าประหม่าเมื่อเห็นว่าเซียวลิ่วหลังอยู่บนเกวียนด้วย “เอ่อ…ท่านชายเซียวก็อยู่ด้วยรึ…”

เซียวลิ่วหลังคิดในใจ หรือว่าที่เจ้าตามตามนางเพราะคิดว่าข้าไม่อยู่งั้นรึ!

บัณฑิตเสี่ยวฉินยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ พลางเอ่ย “แม่นางกู้ เจ้าทำผ้าเช็ดหน้าตกน่ะ”

กู้เจียวชำเลืองสักพัก พลางเอ่ย “ไม่ใช่ของข้า”

“อ่า…” บัณฑิตเสี่ยวฉินเริ่มลนลาน อุตส่าวิ่งมาตั้งนาน สุดท้ายผ้านี่ไม่ใช่ของนาง ช่างน่าขายหน้าเสียจริง

ร่างของบัณฑิตเสี่ยวฉินเกิดเอนไปข้างหน้า ทำให้ม้วนภาพในอ้อมแขนของเขาตกลงมา โชคยังดีที่ตกลงในบริเวณเกวียนและกางออกที่เท้าของเซียวลิ่วหลังเข้าพอดี

เป็นภาพสายฝนที่มีหมอกหนา มีภูเขาและน้ำ และมีเรือกันสาดกลางสายฝน กู้เจียวอ่านตัวอักษรบนภาพไม่ออก กระนั้นพอมองแล้วก็เกิดรู้สึกถึงความปราณีตของน้ำหมึกที่ลงและภาพทิวทัศน์ที่ดูสบายตา

ภาพวาดนี้ไม่ได้มาโดยง่าย และบิดาของเขาบอกให้เขาเก็บมันไว้อย่างถูกต้องหลังจากที่เขาได้มันมา เพื่อไม่ให้ใครได้เห็นมัน

แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้เห็นภาพวาดนั้นแล้ว บัณฑิตเสี่ยวฉินจึงเกิดประหม่า แต่พอเขาเห็นท่าทีของกู้เจียวที่ดูจะสนใจภาพวาดนั้นเหลือเกิน บัณฑิตเสี่ยวฉินจึงก้มเก็บภาพวาดอย่างใจเย็น

เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “นี่คืองานวาดหายากของเสี่ยวโหวเหย่แห่งแคว้นเจา! นามว่า “สายหมอกและสายฝนในหุบเขาแห่งฤดูใบไม้ผลิ” เสี่ยวโหวเหย่สร้างมันขึ้นมาตอนที่เขาอายุสิบสองขวบ เมื่อเขาเดินทางไปที่ทางใต้ของแม่น้ำแยงซี ข้าน่ะซื้อต่อจากคนรู้จัก ภาพนี้น่ะมูลค่ามหาศาลมากเลยรู้ไหม!”

กู้เจียวคว้าม้วนภาพขึ้นมา ทำหน้ายักคิ้วหลิ่วตา “สิบสองขวบก็วาดได้ออกมาขนาดนี้เชียวรึ”

ท่าทีตะลึงงันของกู้เจียวเผยให้เห็นมุมที่ดูน่ารักและแปลกใหม่อย่างที่บัณฑิตเสี่ยวฉินไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แต่ปานสีแดงบนใบหน้าของนางก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดอีกต่อไป

บัณฑิตเสี่ยวฉินเอ่ยอย่างภาคภูมิใจต่อ “นี่เป็นเพียงภาพวาดแบบสุ่มของเขา ว่ากันว่าถ้าเขาไม่พอใจกับภาพวาด เขาก็โยนมันทิ้ง และภาพที่ถูกทิ้งก็จะมีคนใช้ของเขาแอบเก็บไว้ ถ้าเจ้าชอบภาพนี้ละก็…ข้าจะให้เจ้า

ดูอีก !”

กู้เจียว “…”

เซียวลิ่วหลังใช้สายตาพิจารณาภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ของปลอม”

บัณฑิตเสี่ยวฉินทำหน้าเหวอ พลางหันไปค้อน แล้วกระทืบเท้า “เหลวไหล! ภาพนี้เป็นของจริง จะเป็นของปลอมไปได้อย่างไร”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ “ก็มันเป็นของปลอมนี่”

บัณฑิตเสี่ยวฉินขึ้นเสียงสูงใส่ “เจ้าดูออกด้วยรึว่านี่เป็นของปลอม”

เซียวลิ่วหลังมองตาขวางใส่จากนั้นเอ่ย “แล้วเจ้าดูไม่ออกรึว่าเป็นของปลอม”

นี่มันเกินไปแล้ว นี่เขากำลังบอกว่าภาพวาดนี้เป็นของปลอมจนไม่รู้จะปลอมอย่างไรแล้วงั้นรึ

บัณฑิตเสี่ยวฉินหมดความอดทน “เจ้าจะไปรู้อะไร ก็แค่นักเรียนจนๆ จะมารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับภาพวาดเหล่านี้ ข้าน่ะเคยให้มืออาชีพมายืนยันแล้ว! นี่เป็นภาพวาดของเสี่ยวโหวเหย่จริงๆ !”

“เสี่ยวโหวเหย่ไม่เคยวาดรูปนี้” เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยท่าทีนิ่งเฉย

“เจ้ารู้ได้ไงว่าเขาไม่เคยวาดภาพนี้ เจ้ารู้จักเขาหรือไง”

พอเอ่ยจบ บัณฑิตเสี่ยวฉินก็พ่นเสียงหัวเราะ

ก็แค่เด็กบ้านนอกขาเป๋คนนึง จะไปกระทบไหล่กับนักวาดชื่อดังอย่างเสี่ยวโหวเหย่ได้อย่างไร

เมืองหลวงแคว้นเจามีโหวเหย่ตั้งมากมาย แถมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสี่ยวโหวเหย่ แต่คนที่ถูกขนานนามว่าเป็นเสี่ยวโหวเหย่แห่งแคว้นเจามีแค่คนเดียวเท่านั้น

เสี่ยวโหวเหย่แห่งแคว้นเจาเป็นบุตรชายแท้ของขุนนางเซวียนผิง ส่วนมารดาเขาคือองค์หญิงซิ่นหยาง ผู้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

เมื่อครั้งอายุสามขวบ เสี่ยวโหวเหย่ได้เข้าวังหลวง แข่งขันกับพวกนักปราชญ์มากหน้าจนมีชื่อเสียง! พออายุสี่ขวบก็ได้เข้าไปในกั๋วจื่อเจียน พอตอนห้าขวบเขาอ่านหนังสือในหอสมุดแห่งชาติจนหมดทุกเล่ม ทำให้เขามีความรู้ถึงหกภาษาด้วยกัน!

อาจารย์ใหญ่หลีเคยถูกจัดให้อยู่ในหนึ่งในสี่ยอดปราชญ์แห่งเมืองหลวง ซึ่งลำดับนั้นจะต้องเป็นคนที่มีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์จึงจะถูกจัดลำดับ ที่ยังไม่มีใครล้มคะแนนของอาจารย์หลีในการสอบเคอจวี่ได้ก็เป็นเพราะเสี่ยวโหวเหย่ผู้นี้ยังไม่เคยได้เข้าสอบเคอจวี่!

พอเขาอายุสิบสอง ฮ่องเต้รวมถึงเจ้าเมืองจากห้าแคว้นได้ดื่มฉลองให้เขา เพราะถือว่าเขาเป็นบุคคลที่สร้างคุณงามความดีให้เป็นเกียรติเป็นศรีแก่แคว้น!

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เสี่ยวโหวเหย่จะมีภูมิหลังและพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่เสี่ยวโหวเหย่กลับเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่กั๋วจื่อเจียน ว่ากันว่าเขาถูกเผาทั้งเป็น

วันเกิดเหตุคือวันตรุษจีน ด้วยวัยแค่สิบสี่ขวบเท่านั้น