ตอนที่ 49 รีสอร์ทไนท์บนหาดไกลโพ้น [3]

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

“นี่ โซราโอะ ตื่นเร็ว”

ฉันโดนจับไหล่เขย่าไปมาจนตื่น

“ข- ขอโทษที เผลอหลับไปน่ะ”

ฉันลนลาน รีบตื่นขึ้นขยี้ตา แล้วก็ถามโทริโกะไป

“ถึงแล้วเหรอ? ค่าโดยสารเท่าไหร่?”

“ไม่รู้สิ… คือ คนขับหายไปแล้วน่ะ”

“ว่าไงนะ?”

พอมองดูรอบๆ ตัว ในที่สุดฉันก็เห็นแล้วซักทีว่าตอนนี้พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์แปลกประหลาดขนาดไหนกันแน่

“นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”

ฉันนั่งหลับอยู่ในซากรถ เบาะที่นั่งใต้เท้าของฉันพังไปไม่เหลือชิ้นดี ประตูรถทั้ง 4 บานหายไปแล้ว ไม่มีแม้กระทั่งร่องรอยว่าเคยมีกระจกอยู่เลยซักนิดเดียว ตรงเบาะคนขับถูกยึดไปจากต้นไม้ที่งอกทะลุขึ้นมาจากพื้น แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างเป็นร่มเงาจากใบของมัน ตรงเบาะข้างคนขับก็มีกองทรายที่เหมือนจะกระเด็นมาจากตรงแผงหน้ารถ แล้วก็มีร่องรอยเหมือนมีตัวอะไรเล็กๆ ไต่ข้ามไปด้วย จะใช่เจ้าปูเสฉวนที่ฉันเห็นก่อนจะผลอยหลับไปหรือเปล่านะ?

“ตอนฉันตื่นมันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วน่ะ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

โทริโกะพูดขึ้นมาอย่างงงๆ

ฉันรู้สึกลังเลอยู่หน่อยๆ ก่อนจะเดินออกมาดูข้างนอก ตัวรถที่สีลอกออกไปหมดแล้วจนโดนสนิมกินไปทั้งคันเรียบร้อยถูกห่อหุ้มด้วยเถาวัลย์จากต้นไม้ที่งอกขึ้นมาจากพื้น ใต้ยางที่แบนสนิทก็มีกอวัชพืชในวงศ์ผักบุ้งขึ้นอยู่ ปูเหมือนเป็นพรมสีเขียวไปทั่วบริเวณ แถมมีดอกสีชมพูบานแซมอยู่ด้วย

ตรงทางลาดนิดๆ ที่ปกคลุมไปด้วยวัชพืชที่ว่ามีทรายสีขาวอยู่ข้างใต้ แล้วเลยจากมันไปก็มีทะเลที่เปล่งประกายราวกับเทอร์ควอยซ์ ท้องฟ้ายืดยาวออกไปสูงเหนือเส้นขอบฟ้า พวกก้อนเมฆก็สะท้อนภาพของมันกับผืนทะเล และที่ห่างออกไปจากชายหาดลิบๆ นั่น ก็มีโขดหินขนาดมหึมาวางทอดตัวอยู่ในแนวราบ ขนาดที่อาจจะเข้าใจผิดว่ามันเป็นกำแพงได้เลยตั้งอยู่ด้วย

ท่ามกลางความเงียบสงัดจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งหมดที่พวกเราได้ยินมีแต่เสียงลมและเสียงคลื่นเท่านั้น โทริโกะก็ถามขึ้นมาทำลายความเงียบกริบนี่ลง

“นี่คือโลกเบื้องหลังงั้นเหรอ?”

“น่าจะใช่นะ…”

“เห็นอะไรที่ดูเป็นอันตรายหรือเปล่า?”

ฉันใช้ตาขวาของตัวเองมองดูไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่เรืองแสงสีเงินออกมาเลย

“อย่างน้อย ตอนนี้พวกเราก็ยังปลอดภัยอยู่นะ”

“ดีล่ะ ถ้างั้นก็…”

โทริโกะเดินตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่เลย

“ด- เดี๋ยวก่อน จะทำอะไรของเธอเนี่ย?”

“ไปสำรวจกันเถอะ ต่อให้จะเป็นโลกเบื้องหน้าหรือโลกเบื้องหลัง พวกเราก็มาถึงชายหาดแล้วนี่”

“เธอเนี่ย จะมองโลกในแง่ดีมากเกินไปแล้วมั้ง…?

“ก็ ดูสิ! นั่นทะเลนะ!”

โทริโกะพูดขึ้นพร้อมทำหน้ามุ่ย

“พวกเรามาเที่ยวกันนี่นา ฉันไม่ปล่อยให้มันพังทั้งๆ ยังงี้หรอก… มันปลอดภัยใช่มั้ย? งั้นก็ไปกันเถอะ ถ้าจำเป็น ปืนเราก็มีนี่”

“ต- แต่ว่า…”

พอฉันทำทีท่าลังเล โทริโกะก็พูดอย่างหงุดหงิดขึ้นมา

“นี่ พวกเรามาถึงนี่เพื่อทะเลไม่ใช่เหรอ? อย่าปล่อยให้ตัวเองตกใจกลัวอะไรง่ายๆ สิ”

“น- นั่นสินะ”

ไม่สิ นี่เอาจริงเหรอ? เข้าใจอยู่นะว่าเธออยากเที่ยวมาก แต่แบบ ที่นี่เนี่ยนะ? แล้วโทริโกะก็เริ่มเดินออกไปโดยไม่สนใจความตะขิดตะขวงของฉันเลย

ดูแล้ว ฉันคงไม่มีทางเลือกเท่าไหร่เลยสินะ คิดได้แบบนั้น ฉันก็กระชับสายสะพายเป้ขึ้นบนบ่าของตัวเอง ก่อนจะวิ่งตามโทริโกะไป

พอเราลงมาถึงชายหาด ก็รู้สึกถึงทรายร้อนๆ ที่แตะกับเท้าของฉันทางด้านข้างของรองเท้าแตะได้เลย ไม่เห็นกลิตช์หรือตัวประหลาดอะไรเลยด้วย สำหรับตอนนี้ มันก็ดูเหมือนชายหาดธรรมดาๆ นะ แค่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ในบริเวณนี้เลยเท่านั้นเอง

หาดทรายทอดยาวตลอดแนวตั้งแต่ทางซ้ายไล่ไปทางขวา ทางด้านขวาไกลๆ นั่นก็มีกำแพงกันคลื่นแบบเตตราพอด แล้วก็ประภาคารเล็กๆ หลังนึง ทางด้านซ้ายก็มีแต่ทรายยาวไปจนไปชนกับกำแพงกันคลื่นอีกด้าน มีพวกตึกตั้งอยู่บนแนวทางลาดด้วย อาคารไม้ 2 ชั้นนั่นจะใช่ร้านริมทะเลหรือเปล่านะ?

TN: Tetrapod เป็นสิ่งปลูกสร้างคอนกรีตที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันชายฝั่งถูกคลื่นลมและสภาพอากาศกัดเซาะ รวมทั้งป้องกันการเคลื่อนที่ของตะกอนเลียบชายฝั่งด้วย เตตระพอดที่ว่าก็คือกำแพงกันคลื่นที่สร้างเป็นรูปร่างเหมือนทรง 4 ด้าน (Tetrahedral) เพื่อกระจายแรงปะทะของคลื่นที่ซัดเข้ามา โดยปล่อยให้น้ำไหลไปแทนที่จะทำให้น้ำขังอยู่นิ่ง

“คิดว่าจะมีที่ไหนใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้มั้ยนะ?”

โทริโกะหันมองไปรอบๆ แล้วก็ถามขึ้นมา

“หมายถึง?”

“หมายถึงอะไรของเธอเล่า? ก็เราต้องสวมชุดว่ายน้ำกันใช่มั้ยล่ะ? ที่โล่งไม่มีอะไรเลยแบบนี้เนี่ย ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะคนนึง”

“น- นั่นสินะ”

ดูเหมือนจะตั้งหลักตั้งใจไว้มั่นเลยนะเนี่ย โทริโกะน่ะ

“โอเค งั้นไปลองดูตึกหลังนั้นกันดูหน่อยมั้ย? อาจจะมีห้องไว้เปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ก็ได้นะ”

พวกเราขึ้นไปตามทางลาด ทิ้งรอยเท้าเอาไว้เป็นทางบนหาดทรายที่เราเดินผ่านมา พอขึ้นบันไดหินที่โดนทรายฝังไปเกือบครึ่งมาเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็มายืนอยู่บนทางเท้าที่ปูหินเอาไว้ มีรถกับแผงขายของปล่อยทิ้งเอาไว้อยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมดเลย แล้วตึกตรงหน้าเราก็เป็นร้านริมทะเลอย่างที่ฉันเดาเอาไว้จริงๆ ซะด้วย ส่วนด้านในเลยจากห้องอาหารหน้าร้านที่ติดกับถนนแล้วก็พื้นสกปรกไปหมด มีพื้นที่ที่ปูเสื้อทาทามิเอาไว้กับโต๊ะเตี้ยๆ อยู่หลายตัวเลย ป้ายตรงหลังคานี่สีซีดไปแล้ว แถมเราก็อ่านมันไม่ออกด้วยว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร

พวกเราเดินเข้าไปใต้ชายคาของร้านแล้วก็ส่องดูข้างใน ข้างในนี่มีแต่ซากปรักหักพังทั้งนั้นเลย ป้ายเมนูอาหารที่แปะอยู่บนกำแพงเขียนเอาไว้ด้วยตัวอักขระแปลกๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของโลกเบื้องหลังนี่ น่าเศร้าจัง มันน่าจะเขียนคำน่าสนุกที่ฟังดูครึกครื้นอย่าง [ยากิโซบะ] หรือ [น้ำแข็งใส] เอาไว้นะ แต่ก็อ่านไม่ออกเลยซักนิด ในนี้ไม่มีใครอยู่เลย ไม่ว่าจะพนักงานร้านหรือว่าใครก็ตาม แผ่นเหล็กที่ใช้ทำยากิโซบะนี่ก็โดนทรายที่ปลิวเข้าบนกระจายคลุมไปทั้งแผ่นแล้ว ส่วนเครื่องทำน้ำแข็งใสเองก็กระจายอยู่บนพื้นแยกเป็นชิ้นๆ เลยเหมือนกัน

โทริโกะรื้อของในกระเป๋า แล้วก็หยิบไฟฉายกับมาคารอฟของเธอออกมา เธอใส่แมก ดึงโครงเลื่อน แล้วก็ตรวจดูว่ามีกระสุนเข้ามาในกระบอกปืนหรือเปล่า

“จะทำอะไรน่ะ?”

“เคลียร์พื้นที่ไงล่ะ”

“ร- รอก่อนสิ ฉันไปด้วย”

ฉันรีบคุ้ยมาคารอฟออกมาจากเป้ แล้วก็ดึงมันออกมาจากซองเก็บปืน เช็ดฝ่ามือที่เปียกเหงื่อกับกางเกงยีนส์ของตัวเอง ก่อนจะจับด้ามปืนเอาไว้แน่น

“ขอโทษที่ให้รอ พร้อมแล้วล่ะ”

โทริโกะพยักหน้าตอบ

“เดี๋ยวฉันดูข้างหน้าเอง ฝากดูหลังทีนะ โซราโอะ”

“ได้”

เราทิ้งกระเป๋าเอาไว้ใต้หลังคา ก่อนจะเดินผ่านห้องหลักของร้านชายทะเลเข้าไป ยิ่งเข้าไปลึกมันก็ยิ่งมืด จนโทริโกะต้องเปิดไฟฉายช่วยเพิ่มแสง

เธอถือไฟฉายไขว้เอาไว้ ยกขึ้นมาอยู่ข้างๆ หน้าของเธอเอง แสงที่ฉายไปในความมืดนั้นกระทบโดนลังเบียร์ที่วางนอนไปกับพื้นกับกองเก้าอี้ หน้าต่างที่เรียงรายอยู่ตรงโถงทางเดินนี่โดนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เหลืองไปหมดเลยปิดเอาไว้จนมืดทึบหมดทุกบานเลย แล้วก็แน่นอนว่า มันกอ่านไม่ออกเลยซักตัวอักษรเหมือนเดิม

โทริโกะลดเสียงพูดลง

“เปิดหน้าต่างทุกบานกันเลยดีกว่า ช่วยหน่อยได้มั้ย? เดี๋ยวฉันคอยดูไว้ให้เอง”

“ได้เลย ระวังตามพื้นไว้ด้วยนะ พวกเรามีแค่รองเท้าแตะเอง เกิดไปเหยียบตะปูหรือเศษแก้วขึ้นมาล่ะแย่แน่”

“อื้อ”

ฉันฉีกกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เสื่อมสภาพลงมา พอกระจกกับโครงหน้าต่างถูกเปิดออกไปหาข้างนอกได้ ทั้งแสงแดดทั้งลมก็เป่าบรรยากาศที่เงียบกริบในอาคารนี้หายไปเลย ที่นี่มีห้องครัว ห้องน้ำ แล้วก็ห้องพักพนักงาน หลังจากตรวจสอบห้องอาหารหน้าร้านเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินดูตามโถงทางเดินสั้นๆ ที่นำไปหาห้องปูเสื้อทาทามิห้องใหญ่อีกหลายห้อง ตรงนี้สร้างมาเหมือนหอพักที่มีอ่างอาบน้ำอันใหญ่กับอ่างล้างหน้าเลย ในห้องครัวมีตู้กับข้าวที่เก็บจานหน้าตาเหมือนๆ กันอยู่อีกเพียบ ในห้องซักรีดที่มีเครื่องซักผ้ากับเครื่องปั่นผ้าเรียงรายก็มีกองผ้าลินินฝุ่นจับกองสุมอยู่ด้วย

พอพวกเราเดินกันมาจนถึงประตูหลัง เปิดหน้าต่างทุกบานที่พวกเราเจอออกทั้งหมด ชั้น 1 นี่ก็สว่างจนจำไม่ได้เลย กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ถูกฉีกกระจายไปบนพื้นพอกันส่งเสียงกรอบแกรบไปตามลมที่พัดโชยเข้ามาในตึกไปด้วย

โทริโกะลดไฟฉายลงมาพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เท่านี้ ชั้น 1 ก็เคลียร์แล้ว ฉันก็อยากจะขึ้นไปดูชั้น 2 ด้วยล่ะนะ แต่…”

พวกเราเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานกันทั้งคู่

“ไม่มีเสียงอะไรเลยเนอะ”

“ก็ที่นี่เป็นซากตึกร้างนี่นา…”

ที่จริงระหว่างทาง พวกเราก็เจอบันไดสำหรับขึ้นไปชั้น 2 อยู่นะ แต่มันมีถาดอาหารวางเอาไว้อยู่บนบันไดทุกขั้นเลยเนี่ยสิ จะเดินเลี่ยงมันขึ้นไปก็ลำบาก จากที่มองผ่านๆ แล้ว ในถาดอาหารมีจานชามใช้แล้ววางอยู่ แถมข้างในยังมีข้าวแห้งๆ ติดอยู่ด้วย

“ก็… ฉันว่าไม่เป็นไรแล้วล่ะ ที่นี่ดูน่าจะปลอดภัย ไปสนุกกันเถอะ”

“ได้เลยยย…?”

โทริโกะที่เหมือนจะเบื่อกับเรื่องนี้เต็มทนก็เดินตรงออกไปจากประตูหลังร้านไปเลย ฉันก็เดินตามเธอออกไปด้วย ข้างหลังตึกนี้เป็นป่ามืดครึ้ม ให้เดินเข้าไปในนั้นตอนนี้เนี่ยคงเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดเท่าไหร่ พวกเราเดินวนรอบข้างนอกตัวตึกกลับมาข้างหน้าร้าน แล้วฉันก็เจอตู้อาบน้ำมีม่านติดอยู่วางเรียงเอาไว้ด้วย ก็เลยหยุดอยู่ตรงนั้น

“นี่ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันที่นั่นดีมั้ย?”

“โห ความคิดดีเลย”

โทริโกะพูดออกมาอย่างสบายๆ ส่วนฉันกลับรู้สึกห่อเหี่ยวไปเลย

“เวลาที่เสียไปกับการเคลียร์ตึกนั่นเสียเปล่ามันเลยเนี่ย!”

“ไม่เสียเปล่าหรอก ปลอดภัยไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนะ”

พูดแบบนี้ทั้งๆ ที่เธอเพิ่งจะโยนความคิดเรื่องขึ้นไปตรวจชั้น 2 ทิ้งไปเมื่อกี้นี้เองเนี่ยนะ…

โทริโกะดึงถุงกระดาษอีกใบออกมาจากในถุงดองกิ แล้วก็โยนส่งมาให้ฉัน

“อะ นี่ของเธอนะ โซราโอะ”

“โอ๊ะ! โอ้…”

“เป็นอะไรหรือเปล่า? ดูไม่สบายใจเลย”

“คือ ใช่… ตั้งแต่ชั้นประถม ฉันก็ไม่ได้ใส่ชุดว่ายน้ำต่อหน้าคนอื่นเลยน่ะสิ เอาจริงๆ ก็คืออายนั่นแหละ กลัวว่าใส่แล้วจะดูตลกน่ะ”

พอฉันสารภาพออกไปตามตรง โทริโกะก็ยิ้มตอบ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็ ฉันเองก็ใส่เหมือนกันนี่”

“เธอรูปร่างดูดีอยู่แล้ว ใส่ไปก็ไม่มีปัญหาหรอกน่า”

พอฉันพูดออกไปแบบนั้น ภาพที่เห็นโทริโกะหลับอยู่เมื่อเช้ามันก็แวบเข้ามาในหัว จนเกิดรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาเลย

ระหว่างที่ฉันยกมือขึ้นมาเกาที่คอ พยายามดึงสติของตัวเองกลับมา โทริโกะก็มองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“เออ เธอมีรอยแผลเป็นแผลใหญ่ หรือรอยสัก หรืออะไรแบบนั้นที่ไม่สบายใจที่จะให้ฉันเห็นหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันขอโทษนะที่ไม่ทันได้คิดให้ดีก่อน…”

“ฮะ? อ้อ เปล่าๆ ไม่ได้มีอะไรแบบนั้นหรอก”

“งั้นเหรอ แต่ต่อให้มี สำหรับฉันแล้ว ก็ไม่คิดมากหรอกนะว่าผิวเธอจะเป็นยังไงน่ะ โซราโอะ”

“…อือ”

ทำไมยัยนี่ถึงพูดเรื่องแบบนี้ออกมาง่ายๆ ได้แบบนั้นล่ะเนี่ย?

“โอเคนะ? ถ้างั้นไปเปลี่ยนชุดกัน แล้วก็มาสนุกกันเถอะ”

พอโทริโกะพูดเร่งเข้าแบบนั้น ฉันก็พยักหน้าตกลงไป