ตอนที่ 50 รีสอร์ทไนท์บนหาดไกลโพ้น [4]

[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง

อืม ยังงี้นี่เอง

ฉันมองดูชุดว่ายน้ำของตัวเอง มันก็ดูสมเหตุสมผลอยู่แปลกๆ นะ

ทำไมล่ะเนี่ย…? นี่มันเสื้อแจ็คเก็ตพาร์ก้านี่นา ฉันสวมบิกีนีลายทางท่อนบนท่อนล่าง กับเสื้อพาร์ก้าแรชการ์ดคลุมทับไว้อยู่ ถ้าเกิดรูดซิปปิดด้านหน้า ฉันก็ดูไม่ได้ต่างจากปกติตรงไหนเลย อาจจะแค่เปลี่ยนจากกางเกงยีนส์ขายาวมาเป็นกางเกงขาสั้นจนเห็นขาของฉันได้เท่านั้นเอง

ถึงกับคิดเลยนะว่า สมกับเป็นฉันจริงๆ เลย แต่ก็เกลียดตัวเองนิดๆ เหมือนกันนะที่ขนาดเมาแอ๋ขนาดนั้นยังไม่ใจกล้าพอเลย

ฉันเช็คดูตัวเองที่กระจกในตู้อาบน้ำอีกรอบ หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ซักพัก ฉันก็เลือกจะเปิดเสื้อพาร์ก้าเอาไว้ดีกว่า

พอฉันออกมาจากตู้อาบน้ำ โทริโกะก็ออกมาจากตู้ข้างๆ พอดีเลย

ชุดบิกีนีสีดำ กับเสื้อคาร์ดิแกนลายดอกไม้ เสน่ห์ดึงดูดจากความเซ็กซี่ที่ทั้งดูเป็นผู้ใหญ่ทั้งสวย มาตัดกับความรู้สึกน่ารักจากแว่นกันแดดกับหมวกฟางของเธอ หน้าตาของเธอปกติก็ว่าดีอยู่แล้วด้วยนะ ยิ่งดูสวยเข้าไปใหญ่เลย ฉันแค่ผอมแล้วก็มีกล้ามเนื้อเท่านั้นเอง แต่กล้ามเนื้อของโทริโกะยังคงความนุ่มนิ่มกลมมนเอาไว้อยู่ ดูยังไงก็เป็นนางแบบแฟชั่นได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ย

ระหว่างที่ฉันยังจ้องเธออยู่ โทริโกะก็ยิ้มพร้อมกับทักขึ้นมา

“ดูดีเลยนี่ โซราโอะ น่ารักมากเลยล่ะ”

“ฮะ? อะ คิดงั้นเหรอ?”

ฉันยังผิดหวังกับตัวเองอยู่เลยนะ จนถึงเมื่อกี้นี้นี่แหละ พอโทริโกะพูดชม มันก็รู้สึกหวิวๆ ยังไงชอบกล ฉันกระแอมเคลียร์ลำคอไม่ให้พูดไปแล้วเสียงสั่นเพราะตื่นเต้น

“ธ- เธอก็เหมาะมากเลยนะ… สวยมากเลย…”

ฉันตั้งใจว่าจะพูดชมธรรมดาๆ แต่ดันพูดเสียงขาดไปซะงั้น จนเสียงพูดกลายไปเป็นเหมือนเสียงกระซิบแทนเลย โทริโกะก็ยิ้มๆ เหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่จู่ๆ เธอก็เอาหลังมือขึ้นมาปิดปากแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่นแทน มองหน้าเธอจากด้านข้างแบบนี้ ก็เห็นเลยว่าหน้าแดงอยู่ด้วย

“ขอบใจนะ…”

เขินงั้นเหรอ? ขนาดสวมแว่นกันแดดอยู่ โทริโกะก็ยังเลี่ยงไม่สบตากับฉันเลย

“ร- ร้านริมทะเล! จริงสิ! กลับไปที่ร้านริวทะเลนั่นอีกรอบได้หรือเปล่า? มีของที่ฉันอยากจะเอามาน่ะ”

ท่าทางที่โทริโกะลนไปหมดหลังจากที่ฉันชมไปนี่ดูตลกนิดๆ เหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่ก็รู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าตัวเองสวย ชุดที่ใส่ก็เข้ากับตัวเองดีแท้ๆ

สิ่งที่โทริโกะพูดถึงว่าอยากจะไปเอา ที่แท้ก็คือร่มชายหาดที่ถูกไว้ตรงมุมของร้าน กับพวกเก้าอี้ชายหาดพลาสติกสีขาวด้วย

“เจอพวกมันตอนที่เราตรวจเช็คตึกนี้พอดีน่ะ ดูดีเลยนะว่ามั้ย?”

แล้วโทริโกะก็กลับเข้ามาเป็นตัวของตัวเอง พูดออกมาด้วยท่าทางดูภูมิใจกับเรื่องนี้น่าดู พอสังเกตดีๆ แล้วเนี่ย ตัดเรื่องฝุ่นเรื่องทรายออกไป พวกมันก็ดูเหมือนว่าจะยังใช้งานได้อยู่นะ

“โอเค ก็จริงนะ มีเจ้าพวกนี้ใช้บนหาดนี่ก็ไม่เลวเลยจริงๆ นั่นแหละ”

“ใช่มั้ยหล้า?”

“แต่ เราจะขนมันไปยังไงล่ะ?”

“มาพยายามด้วยกัน ล่ะมั้ง?”

พวกเราทั้งคู่หอบกระเป๋าหนักๆ ของตัวเอง กับกระเป๋าเก็บความเย็นแล้วก็ถุงดองกิที่มีเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนของพวกเราอยู่ข้างใน แล้วนี่ยังต้องมาลากร่มคันโตกับเก้าอี้ชายหาด 2 ตัวตามหลังพวกเราลงมาที่ชายหาดด้วยอีก

“แฮ่ก แฮ่ก… ตรงนี้ใช้ได้มั้ย?”

โทริโกะหยิบอยู่ตรงที่ห่างจากริมน้ำมาประมาณ 10 เมตร

“ดีพอแล้วล่ะ เฮ้อ”

“โอเค งั้นก็มากางร่มกันเลยแล้วกันเนอะ”

พวกเราวางสัมภาระที่หนักอึ้งลงตรงนั้น แล้วก็รับกางอุปกรณ์กัน ทิ่มด้ามร่มลงกับพื้นทรายให้แน่นที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วก็วางกระเป๋าเป้ของพวกเราเอาไว้ที่ฐานเพื่อช่วยค้ำจุน ก่อนจะกางเก้าอี้ชายหาด 2 ตัวออกไว้ใต้เงาร่ม แล้วก็ปูผ้าใบ วางกระเป๋าเก็บความเย็นของพวกเราเอาไว้ตรงกลาง มาคารอฟก็วางเอาไว้บนผ้าใบด้วย

พวกเราเอาทิชชู่เปียกที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อเช็ดฝุ่นออกจากเก้าอี้ชายหาดทั้ง 2 ตัวจนเรียบร้อย

“แบบนี้ก็ได้แล้วมั้ง ฉันว่านะ”

“สมบูรณ์แบบ!”

โทริโกะร้องบอก แล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ชายหาดตัวนึง

“เธอด้วยสิ โซราโอะ เร็วเข้าๆ”

“จ้าๆ”

ฉันเหยียดตัวนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ เธอ รู้สึกได้เลยว่าความเมื่อยตึงมันโดนชะหายไป

ภาพที่ฉันมีแค่ขาของตัวเองกับขาของโทริโกะ เลยจากนั้นไปก็เป็นทะเลทางใต้ที่ยืดยาวออกไป สีน้ำเงินแกมเขียวนั่นมันสวยจนบรรยายไม่ถูกเลย

คลื่นซัดเข้ามา แล้วก็ถอยกลับไป กลิ่นของทะเลที่โชยมากับลม เป็นรีสอร์ทหน้าร้อนที่สุดยอดไปเลยนะเนี่ย

…ถ้าเกิดเรามองข้ามว่าตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พิศดารอย่างสมบูรณ์ขนาดไหนล่ะก็นะ

“มองออกหรือเปล่าว่านั่นมันอะไรน่ะ?”

โทริโกะถามขึ้นมาอย่างซึมๆ

“ไม่รู้สิ…? อาจจะเป็นคุกอัลคาทราซก็ได้มั้ง?”

“โห เป็นคุกที่ใหญ่สุดๆ เลยนะ”

พวกเรามองดูสิ่งก่อสร้างสีเทาอันมหึมาที่ลอยอยู่ไกลๆ มันคงอยู่ห่างไปหลายร้อยเมตรได้ ดูธรรมดาเหมือนห้างที่สร้างจากคอนกรีตทั้งหลัง แล้วก็มีอยู่หลายชั้นด้วย ฉันมองเห็นพวกทางลาดยาวๆ 2-3 อันที่ดูเหมือนบันไดวนด้วย แต่ไม่เห็นว่าจะมีใครมาเดินตรวจตราเลยนะ เหตุผลที่มั่นใจได้แทบจะทันทีเลยว่าพวกเราเข้ามาอยู่ที่โลกเบื้องหลังแล้วเนี่ย ก็เพราะทันทีที่เราออกมาจากซากรถนั่น พวกเราก็เห็นอาคารแปลกๆ นั่นเลยนี่แหละ

“นี่ โทริโกะ เอาไรเฟิลออกมาเลยดีมั้ย?”

“อืม… ได้นะ เผื่อไว้ก่อนก็ดี”

“อื้อ เผื่อไว้ก่อน”

ฉันลุกขึ้น ดึงมัดไรเฟิลจู่โจมของฉันที่แยกชิ้นส่วนเอาไว้แล้วออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ชายหาดฝั่งฉัน มองดูโทริโกะขยับมือไวๆ ประกอบปืนกลับมา

“ขอโทษนะที่ต้องให้ช่วยทุกทีเลย”

“เธอน่าจะเรียนรู้เรื่องนี้ไว้หน่อยนะ โซราโอะ เดี๋ยวฉันสอนให้จนถอดชิ้นส่วนกับทำความสะอาดได้ในความมืดเลยล่ะ”

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”

เธอใส่แมกกาซีน 5.56 เข้าที่ แล้วก็ดันคันปลดสลักเข้าไป ฉันเรียนรู้มาได้ประมาณตรงนี้แหละ เพราะงั้นฉันก็ทำได้เหมือนกัน เท่านี้ M4 CQBR ก็พร้อมยิงตลอดเวลาแล้ว โทริโกะสับเซฟตี้ขึ้น แล้วก็พิงมันไว้ข้างๆ ด้ามร่ม ก่อนจะไปจัดการเตรียม AK-101 ของตัวเองต่อ เสร็จแล้วเธอก็กลับมาเอนหลังกับเก้าอี้ชายหาดอีกรอบนึง

“เอาล่ะ เท่านี้ก็เรียบร้อย”

“อยากดื่มอะไรหน่อยมั้ย?”

“โอ้! เอาสิ! มาชนแก้วกันเถอะ”

ฉันเปิดกระเป๋าเก็บความเย็นออก หยิบเบียร์โอริออนออกมา 2 กระป๋อง ตอนที่เปิดก็มีเสียงฟู่ดังออกมาเลย ก่อนที่เราจะชนกระป๋องกัน

“เย้!”

“คัมปาย!”

ชนแก้วให้อะไรล่ะ?

ช่างเถอะ เรื่องนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรอยู่แล้วนี่เนอะ

ถ้าเมินเรื่องที่ว่าเรากำลังอยู่ที่โลกเบื้องหลังกันอยู่ไป เบียร์นี่ก็รสชาติดีเลยนะ ลมที่พัดกลิ่นทะเลมานี่ก็สดชื่น ยังกับว่าฉันกับโทริโกะเป็นเจ้าของหาดสวยๆ นี่เองเลย นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรือไง?

“อ้าาา เบียร์ที่โดดเรียนมาดื่มที่ชายหาดในโอกินาว่าที่รสชาติเยี่ยมสุดๆ ไปเลย นี่ฉันอาจจะเสียคนไปแล้วก็ได้นะ”

“อาจจะเป็นยังงั้นก็ได้มั้ง”

“ฉันว่าจากนี้จะแค่นั่งเครื่องบินกลับอย่างทุกทีนะ แต่ว่าตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้วเนี่ย จะเอายังไงกับปืนพวกนี้ดีล่ะเนี่ย?”

“เมื่อคืนตอนที่ดื่มกัน เราคุยกันว่าจะแยกชิ้นส่วน แล้วส่งพวกมันกลับบ้านทางพัสดุไม่ก็บริษัทส่งของนะ”

“ว่าไงนะ? เรื่องนั้นไม่มีทางได้อยู่แล้วนี่ ยังไงพวกมันก็ต้องขึ้นเครื่องบินจากโอกินาว่า ยังไงก็โดนเอ็กซ์เรย์ของก่อนแน่ ต่อให้แยกไปเป็นส่วนๆ แล้วก็เถอะ ก็ต้องทำให้มันเนียนๆ เลยล่ะ อย่าง กระสุนเนี่ย มองรูปร่างมันผ่านๆ แค่แวบเดียวก็จบเลยนะ…”

ขนาดเป็นคนพูดเองยังตกใจเลยเนี่ย นี่บทสนทนาของพวกเรามันผิดกฎหมายไปมากขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ

“อะฮะฮะ คิดงั้นเหรอ? คุยเรื่องพวกนี้ตอนที่เมากันทั้งคู่นี่ไม่ได้อะไรกันขึ้นมาเลยเนอะ”

“ยังดีนะที่พวกเราไม่ได้ทำมันจริงๆ… ถึงจะน่าเสียดายก็เถอะ แต่สงสัยต้องทิ้งพวกมันไว้ที่นี่แล้วล่ะมั้ง”

“ก็อาจจะ หรือไม่ เราก็กลับกันทางโลกเบื้องหลังนี่เอาก็ได้”

“หา… จากที่นี่น่ะนะ?”

ฉันหันหัวกลับไปมองข้างหลัง ฉันว่าฉันไม่ยากจะย่างเท้าเข้าไปในป่ามืดๆ หลังร้านริมทะเลนั่นเลยนะ แถมใครจะไปรู้ล่ะว่าทางเดินตามชายฝั่งนี่มันจะพาเราไปไหนกันแน่

“ไม่ไหวหรอก… ถ้าเกิดว่ามันเชื่อมต่อกับพื้นที่ที่เรารู้ซักหน่อยก็คงดีหรอก”

“อยากมองสำรวจจากที่สูงๆ ขึ้นมาเลยแฮะ”

“อืม ตัวเลือกเดียวของพวกเราคงจะเป็นประภาคารนั่นนะ? แต่มันก็ดูไม่ได้สูงอะไรขนาดนั้นเนี่ยสิ…”

โทริโกะยกเบียร์โอริออนกระป๋องแรกขึ้นจิบช้าๆ จนหมด ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ชายหาด

“ไปดูตรงริมทะเลกันมั้ย?”

“เอาสิ”

พวกเราเดินออกจากเงาร่ม มุ่งตรงไปที่ทะเลข้างหน้า แล้วก็หยิบมาคารอฟติดมือมาด้วย―เผื่อไว้ก่อน

น้ำใสมากจนเห็นทรายตรงหาดตื้นๆ ได้เลย พวกเราเก็บเปลือกหอยที่เจอบนหาดขึ้นมา แล้วลองโยนมันลงไปในทะเลดู มันไม่ได้มีทีท่าว่าจะเดือดปุดๆ หรือมีควันพุ่งขึ้นมาเลย เห็นแบบนั้นฉันก็ลองยื่นเอาส้นรองเท้าแตะค่อยๆ จุ่มลงไปในน้ำดู

“น่าจะไม่เป็นไรนะ”

“สวยเลย”

โทริโกะถอดรองเท้าแตะของตัวเองออก แล้วก็เดินเท้าเปล่าย่ำลงไปในน้ำซะแล้ว

ฉันเพ่งสมาธิไปที่ตาขวาของตัวเอง เตรียมไว้ถ้าเกิดว่ามีตัวอะไรจะเข้ามาทำร้ายพวกเรา แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่น่าสงสัยเกิดขึ้นเลยตอนนี้ ฉันเลยเดินตามโทริโกะลงทะเลไปด้วย น้ำเย็นๆ ซัดมาโดนที่ข้อเท้าของฉันนี่ รู้สึกดีจัง

ฉันเดินมาทันตัวโทริโกะที่ลงมาตรงจุดที่ลึกถึงต้นขาเธอแล้ว เธอมองออกไปตรงทิศที่คลื่นพัดมา ยาวออกไปที่เส้นขอบฟ้า

“เธอว่าทะเลนี่มันจะยาวไปถึงไหนเหรอ?”

“อาจจะ ยาวไปถึงนิไรคาไนเลยก็ได้นะ?”

“มันคืออะไรน่ะ?”

“ประมาณว่า โลกหลังความตายของชาวโอกินาว่านั่นแหละ”

ฉันให้คำตอบแบบมักง่ายไป แบบที่ต้องโดนอาจารย์มานุษยวิทยาโมโหใส่แน่ๆ แต่โทริโกะก็พยักหน้าเข้าใจแล้ว

TN: นิไรคาไน (ニライカナイ) เป็นดินแดนแห่งเทพ หรือก็คือสวรรค์ ต้นตอของทุกสรรพชีวิต ชาวโอกินาว่าจะบูชาโดยหันไปทางทิศตะวันออก (หรือหันออกไปทางมหาสมุทรแปซิฟิก) ว่ากันว่าเทพนั้นได้ประทานสิ่งของและพรรณพืชให้กับพวกเขามาในช่วงเวลาต่างๆ สมัยก่อนชื่อจะเขียนด้วยตัวคันจิ [儀来河内] แต่ปัจจุบันก็ลดรูปเหลือแค่คาตากานะแล้ว

“ยังกับว่าเป็นขอบสุดของโลกนี้เลยเนอะ”

คำพูดนั่นมันสะกิดใจฉันเลย

ฉันอยู่ตามลำพังกับโทริโกะ ที่ชายหาดตรงสุดขอบโลกเหรอ

ถ้าเงียบสงบแล้วได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ เป็นแบบนี้ไปตลอดก็ไม่เลวนะ…

มีความคิดแบบนี้แวบเข้ามาในหัวฉันด้วย

“ฉันไม่เคยคิดว่าจะสนุกกับทะเลได้มากขนาดนี้เลยนะ”

โทริโกะหันขวับมามองที่ฉันอย่างประหลาดใจ

“ทำไมล่ะ?”

“ก็แค่… มันรู้สึกเหมือนว่าทะเลไม่ใช่ที่สำหรับฉันเลยน่ะ มันดูน่ากลัว มีพวกชอบสังสรรค์อยู่กันเยอะด้วย”

“ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยนะ”

“แหงล่ะ คงไม่น่ากลัวสำหรับเธอหรอก”

ฉันกลัว ถึงขนาดที่ว่าแค่สวมชุดว่ายน้ำธรรมดาๆ ยังหนักใจมากเลยด้วยซ้ำ

“มันมีเพลงนี้อยู่ด้วยนะ [アングラ・ピープル・ サマー・ホリディ (Angura Piipuru samaa horidi แปลประมาณว่า วันหยุดหน้าร้อนของเหล่าคนใต้ดิน)] เนื้อเพลงมันเกี่ยวกับพวกโอตาคุ ฮิคิโคโมริ แล้วก็พวกปลีกตัวจากสังคมคนอื่นๆ ออกมาเล่นกันที่ชายหาดในหน้าร้อนล่ะนะ ฉันชอบเพลงนั้นมากเลย”

“แองเกลอร์พีเพิล? พวกเขาขึ้นมาจากทะเลกันเหรอ?”

“เอ๋? ไม่นะ ฉันไม่คิดว่างั้นหรอก… ก็มาจากพื้นดินตามปกตินี่แหละ”

“โห แสดงว่ามีปอดไว้หายใจงั้นสินะ?”

“มีสิ ถึงจะเป็นพวกคนใต้ดินก็เถอะ… ยังไงก็ ขอบใจนะที่พาฉันมาที่นี่น่ะ”

เหมือนเธอจะเข้าใจอะไรผิดอยู่ซักอย่างนะ แต่ช่างมันเถอะ

TN: สำหรับคนที่สนใจเพลง [アングラ・ピープル・ サマー・ホリディ (Angura Piipuru samaa horidi หรือก็ Angura People Summer Holiday)] ก็กดลองเข้าไปดูได้เลยนะครับ

คำว่า アングラ (Angura) เป็นคำย่อมาจาก アンダーグラウンド (Andaaguraundo) หรือ Underground (ใต้ดิน) ครับ แต่ว่าโทริโกะฟังผิดจากคำว่า アングラ (Angura) ไปเป็น アングラー (Anguraa) หรือ Angler (ปลาแองเกลอร์)

“เธอสนุกด้วยก็ดีแล้วล่ะ ฉันก็กังวลอยู่เหมือนกัน ลากเธอไปทั่วตามใจฉันแบบนี้ เธออาจจะไม่ชอบก็ได้”

โทริโกะพูดขึ้นมาอย่างดีใจ

“ดีใจนะที่ได้มาด้วยกันแบบนี้ ฉันไปเที่ยวชายหาดกับที่บ้านบ่อยก็จริง แต่ที่ได้มาเที่ยวกับเพื่อนแบบนี้น่ะเพิ่งจะเคยทำเป็นครั้งแรกเลย”

“งั้นเหรอ?”

ไม่เคยมากับคุณซัทสึกิด้วยเหรอ? ฉันกะจะถาม แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น

“เพราะแบบนั้นแหละ ฉันถึงอยากจะมาเที่ยวแบบนี้มากๆ เลย ฉันมีเพื่อนแล้วทั้งที ก็อยากทำทุกเรื่องที่เพื่อนเขาทำกันน่ะ ถึง ฉันว่าฉันอาจจะดึงดันมากไปหน่อยก็เถอะ”

“โห รู้ตัวอยู่แล้วเหรอเนี่ย?”

“ก็ เหมือนจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ…”

เรื่องที่เธอยึดติดเรื่องการฉลองกันหลังจบงานนี่ อาจจะมีผลมาจากภาพของคำว่า [มิตรภาพ] ของโทริโกะด้วยก็ได้ ฉันรู้สึกว่ามันออกจะดูแปลกๆ ไปบ้าง แต่ฉันเป็นใครล่ะจะไปพูดแบบนั้นได้? ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า [เพื่อน] กันเนี่ย ต้องทำอะไรกันบ้างมันถึงจะถูก

“…ก็นะ เรามาอยู่ที่นี่กันแล้วนี่ มาสนุกกับเรื่องที่เล่นได้เท่าที่จะทำได้กันเถอะ”

“โอ้!”

โทริโกะตะโกนตอบรับคำพูดของฉันอย่างตื่นเต้น