ตอนที่ 30 ก็ข้าซื้อเสร็จแล้วนี่
พอได้ยินเสียงหวานของเจียงซื่อ เจียงจั้นก็หน้าชาวาบ รีบเดินกลับไปใช้ตัวบังนางเอาไว้และกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าจะออกมาทำไม”
“ก็ข้าซื้อเสร็จแล้วนี่” เจียงซื่อที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอบไปตามสัจจริง
“นี่ใครกันหรือ คู่หมายเจ้าหรือ” น้ำเสียงกวนประสาทดังขึ้นมา
เจียงซื่อมองผ่านไปยังคนที่พูดขึ้น สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ครั้งที่แล้วการตายของพี่รอง เกี่ยวข้องกับไอ้พวกสวะพวกนี้ทั้งนั้น
ครั้งก่อนความสัมพันธ์นางกับพี่ชายไม่ได้สนิทสนมกันเช่นนี้ และนางก็ไม่สนใจว่าเขาจะมีเพื่อนที่ไหน หรือจะมีศัตรูที่ไหนบ้าง มีครั้งหนึ่งพี่รองถูกบิดาทำโทษ นางจึงแอบได้ยินเรื่องพวกนี้มา
ท่านพ่อโกรธที่พี่รองไปมั่วสุมกับหยางเซิ่งไฉหลานของซ่างซู ทั้งพี่รองยังยืนกรานว่าจะไม่หักหาญน้ำใจเพื่อนเพราะเคยช่วยเหลือกันมาก่อน
นี่คือสิ่งที่เจียงซื่อไม่เข้าใจเท่าไรนัก
ชุยอี้บุตรชายขององค์หญิงใหญ่หรงหยางและหยางเซิ่งไฉ ความสัมพันธ์ไม่เลวนัก แต่พี่รองกับชุยอี้กลับมีอะไรที่บาดหมางใจกัน พอมาตอนนี้ทำไมถึงเปลี่ยนเป็นว่าจะไปไหนด้วยกันเสียเล่า
แม้พี่รองจะไม่หักหาญน้ำใจเพื่อน แต่กลับไม่รู้ว่าเพื่อนของตนเองคิดร้ายกับตนอยู่
“เจ้าอย่าพูดเหลวไหล” เจียงจั้นลากเจียงซื่อออกมาไว้ข้างกาย คล้ายกับต้องการหลบหูหลบตาชุยอี้ “เรื่องต่อสู้ไว้วันหลังก็แล้วกัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เวลาอื่นข้าไปได้ตลอด”
ชุยอี้โบกพัดในมือหัวเราะ “เหตุใดเล่า หรือกลัวสาวงามข้างหลังเจ้าจะตกใจเอาได้ ไม่คิดว่าคุณชายรองเจียงจะรักและถนอมบุปผาเหมือนกัน”
“ในปากเจ้ามีแต่เรื่องชั้นต่ำหรือ” เจียงจั้นโกรธจนแทบเต้น ปกป้องเจียงซื่อที่อยู่ข้างกาย แต่กระนั้นก็ยังไม่ลงมือทำอะไร
เขารู้ว่าคนพวกนี้มันเหลือเดนเพียงไหน เรื่องลวนลามผู้หญิงพวกมันทำได้ทุกอย่าง
ถึงแม้น้องสี่เป็นคุณหนูของจวนปั๋ว แม้นไม่กล้าลงมือต่อหน้าธารกำนัล แต่กระนั้นคำพูดคำจาของพวกมันก็จะทำให้น้องสี่ของเขาเสียหายเอาได้
เจียงจั้นไม่เคยปวดเศียรเวียนเกล้าอะไรขนาดนี้มาก่อน
หากว่าเขาได้ครึ่งหนึ่งของพี่อวี๋ชีก็ดีสิ
ไม่สิ เป็นหมาบ้าสักตัวก็พอ
“ไม่ใช่ว่าจะต่อยกันหรอกหรือเจ้าคะ” เสียงใสของหญิงสาวกล่าวขึ้นอีกครั้ง
พอกล่าวจบ ทั้งสองฝั่งก็นิ่งอึ้งไปอึกใจ กระทั่งบางคนยังเอามือเกาศีรษะ
หรือว่าพวกเขาฟังอะไรผิดไป สาวน้อยคนนี้พูดอะไรออกมา
“น้องสี่ เจ้าเงียบไปก่อน” เจียงจั้นหันกลับไปพูดกับเจียงซื่ออีกครั้ง
เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่า น้องสาวของเขาไม่เข้าข้างเขาเลย
“ฮ่าๆ เจียงเอ้อร์ น้องสาวของเจ้ารอดูมวยอยู่นะ” สายตาของชุยอี้ไม่ละออกจากเจียงซื่อพลางใช้พัดเคาะมือและหัวเราะขึ้น
พวกลูกสมุนก็หัวเราะตาม
“เจียงเอ้อร์ จะต่อยไม่ต่อย จะปล่อยให้สาวๆ รอเสียเที่ยวหรืออย่างไร”
“รีบพูดมาสิ สาวน้อยข้างกายเจ้ากำลังรออยู่นะ”
“ใช่ๆ เจียงเอ้อร์ใจเสาะนัก สู้หญิงสาวก็ไม่ได้ กลายเป็นคนอ่อนแอตั้งแต่เมื่อใดกันหรือ ฮ่าๆ”
เจียงจั้นกำหมัดแน่น เก็บอาการไม่ให้ตนเองกระโจนเข้าไปและหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะพูดอย่างไร สรุปคือวันนี้ข้าก็ไม่อยากต่อยกับเจ้า พวกเจ้าถอยไป”
“อย่าสิ เจียงเอ้อร์ เจ้าอยากไปแต่น้องสาวเจ้าไม่อยากไปนี่น่า” ชุยอี้ยิมเยาะโบกพักในมือขึ้น คิดว่าตนเองหล่อเสียเต็มประดา “แม่นาง ใช่หรือไม่เล่า”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” เจียงซื่อตอบอย่างเย็นชา
ชุยอี้หัวเราะค้าง ขนาดพัดในมือยังลืมโบก
นี่มันอะไรกัน แม่นางคนนี้เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
อาหมานจ้องไปยังชุยอี้ เม้มปากแน่น
เจ้าคนนี้มันโง่หรืออย่างไร คุณหนูย่อมเข้าข้างคุณชายอยู่แล้ว
สาวใช้มองไปรอบๆ พลางนับจำนวนคนในใจ
อืม พวกมันมีห้าคน นางจัดการสามสี่คนก็ไม่มีปัญหา แบ่งให้คุณชายรองจัดการสักคนหนึ่ง ขอแค่อาจี๋ไม่สอดมือเข้ามาก็พอ
“พวกเราจะรีบกลับจวน หากพวกเจ้าไม่อยากต่อยกับพี่รองของข้าแล้ว อย่างนั้นพวกข้าก็ขอตัวก่อน” เจียงซื่อกระตุกแขนเสื้อเจียงจั้นเบาๆ
เจียงจั้นเหมือนได้สติ “ใช่ พวกเราไปก่อนนะ”
ชุยอี้ลูบคางครู่หนึ่ง
เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติไปนะ
“เดี๋ยวก่อน” เขายื่นพัดชี้ออกมาขวางหน้าสองพี่น้องเอาไว้แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าบอกให้พวกเจ้าไปได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
อนุญาตพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไร้เหตุผลสิ้นดี
“อย่างนั้นก็รีบๆ หน่อยได้หรือไม่ พวกข้ารีบนะ” เจียงซื่อจับแขนเสื้อเจียงจั้นไว้
“เหอะ วันนี้ได้เห็นดีกันแน่” ชุยอี้จ้องกลับเจียงซื่อ ทันใดนั้นก็ยิ้มน่าเกลียด “จะยืนบื้ออยู่ทำไมกัน รีบไปต่อยกับเจ้าเจียงเอ้อร์ เสร็จแล้วแม่นางน้อยคนนี้ก็เป็นของพวกเรา”
“อาจี๋ อาหมานไปคุ้มกันคุณหนู” เจียงจั้นผลักเจียงซื่อไปข้างหลัง เตรียมจะเข้าไปต่อสู้กับพวกมัน
“ไปเถอะขอรับคุณหนูสี่” อาจี๋ที่จะร้องไห้อยู่รอมร่อมองไปยังคนที่ล้อมเจียงจั้นด้วยหน้าขาวซีด พยายามพาเจียงซื่อออกไป
อาหมานถามกลับ“คุณหนู ทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
เจียงซื่อไม่ได้ตอบคำถามอาหมาน แต่กลับถามอาจี๋ “ด้วยฝีมือของคุณชายแล้ว เจ้าว่าจะรับมือพวกมันได้นานเท่าใด”
อาจี๋ที่คิดได้แล้วร้องไห้จึงรีบตอบกลับ “นานสุดราวๆ หนึ่งเค่อ[1]ได้ขอรับ”
ถึงแม้จะรับมือได้นานกว่านี้ แต่เขาต้องคุ้มกันคุณหนูสี่ออกไปก่อน
หากคุณชายรองถูกต่อยมาก็แค่ปูดบวมเป็นหัวหมู แต่คุณหนูสี่จะโดนพวกระยำนี่ลวนลามเท่ากับว่าซวยแล้ว
“แค่นับหนึ่งถึงสิบก็พอ” เจียงซื่อพึมพำ
“อะไรนะขอรับ” อาจี๋ไม่เข้าใจที่เจียงซื่อพูด
เจียงซื่อไม่ยอมละสายตาไปจากเงาร่างที่คุ้นเคยที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่ในนั้น ในใจก็นับเลขอย่างเงียบๆ หนึ่ง สอง สาม…
พอถึง “สิบ” นางก็พูดออกมา ทันใดนั้นเองก็มีสุนัขโผล่ออกมาจากสารพัดทิศ
มองดูพวกมันแต่ละคนตกใจไม่น้อย “สุนัขพวกนี้มาจากไหนมากมาย”
อยู่ดีๆ ก็มีสุนัขที่ไหนไม่ทราบโผล่ขึ้นมา ทำให้ทุกคนเงียบกันไปหมด
ชุยอี้ที่ยืนรอชมผ]งานอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นเองก็มีสุนัขตัวหนึ่งโผล่เข้มางับที่ก้นของเขาอย่างจัง
โอ้ย ชุยอี้ร้องอย่างน่าสงสาร เขาตอบสนองโดยการเอาพัดเคาะที่หัวสุนัขทันที
สุนัขพอเจ็บก็ร้องออกมาทั้งยังกัดลึกลงไปในก้นของเขาอีก
พูดไปก็น่าแปลก สุนัขพวกนี้พุ่งเป้ามาที่ชุยอี้ เพียงไม่นานก็ล้อมเขาไว้หมด
ในเวลานี้ ชุยอี้กับเจียงจั้นก็ไม่ต่างกัน แต่ที่ต่างกันคือเจียงจั้นถูกพวกสมุนของเขาล้อมไว้ แต่เขาถูกสุนัขรุมล้อม
ชุยอี้แทบจะหลุดร้องไห้อยู่แล้ว
เขาดูทรมานกว่าเจียงจั้นอีก คนยังใช้เหตุผลคุยกันได้ แต่สุนัขมันใช้เหตุผลได้ที่ไหนกัน
“พวกเจ้ายังยืนบื้ออยู่ทำไมกัน รีบมาช่วยข้าเอาพวกเดรัจฉานนี่ออกไปเสีย” ชุยอี้ตะโกนสั่งเสียงหลง
เจียงจั้นถูกพวกคนเหล่านั้นวิ่งผ่าน จนเอวแทบหงายหลัง มองไปรอบๆ ไม่มีคนอยู่แล้ว
“พี่รอง ถ้าต่อยตีเสร็จแล้วเราก็กลับกันเถอะ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” พอมองไปยังชุยอี้ที่กำลังถูกสุนัขหลายตัวรุมล้อม เจียงจั้นก็อดตะลึงไม่ได้
“ไม่ทราบสิเจ้าคะ ไม่คิดว่าจะมีสุนัขจรจัดแถวนี้โผล่ออกมาเยอะแยะมากมาย”
เจียงจั้นยิ้มเย้ย “ดูเหมือนว่าสุนัขพวกนี้มันจะไม่ชอบไปอันธพาลด้วยสินะ เดี๋ยวนะ ข้ารู้สึกคุ้นๆ หน้าสุนัขตัวนั้น”
[1] เค่อ เทียบเท่ากับ 15 นาทีโดยประมาณตามเวลาสากล