บทที่ 34 ขับไล่ไป๋อู๋อี

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 34 ขับไล่ไป๋อู๋อี

บทที่ 34 ขับไล่ไป๋อู๋อี

ไป๋อู๋อีรู้สึกได้ว่าวิญญาณของตนที่เคยเชื่อมต่อกับหอคอยถูกตัดขาดออกอย่างสิ้นเชิง

หอคอยปรักหักพังนี้เป็นชิ้นส่วนของหอคอยของเทพเจ้าโบราณ!

หากไม่ใช่เพราะเขาได้ครอบครองร่างจ้าวหอคอยหลังการกลับชาติมาเกิด ด้วยฐานการบ่มเพาะในปัจจุบัน แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถใช้พลังของหอคอยศักดิ์สิทธิ์ในการโจมตีได้

หอคอยนี้ได้รับวิญญาณของเขาหล่อเลี้ยงด้วยทุกวัน สายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาจกล่าวได้ว่าแน่นแฟ้น จนหอคอยนี้จำได้แม่นว่าเขาเป็นเจ้านาย ซึ่งสายสัมพันธ์ทางวิญญาณจะขาดก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตเท่านั้น

ทว่าลู่หยวนกลับตัดขาดสายสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจนขาดสะบั้น! อันที่จริงไป๋อู๋อีเคยเห็นการตัดขาดเช่นนี้มาก่อน ซึ่งเป็นการตัดขาดด้วยฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เมื่อครั้งที่เขายังไม่ได้กลายเป็นตัวตนที่ได้รับการยอมรับ

แม้ตระกูลลู่จะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ แต่คุณชายลู่ก็อยู่เพียงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ เขาจะเชี่ยวชาญศาสตร์ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ได้อย่างไร?!

ดวงตาของไป๋อู๋อีเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ระบบทำการแจ้งเตือนว่า [บุตรแห่งโชคชะตาไป๋อู๋อีโกรธเกรี้ยว ค่าชะตาของเขาลดลง 1,000 แต้ม! ค่าชะตาที่เหลืออยู่ในปัจจุบันคือ 7,000 แต้ม!]

[ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 2,000 แต้ม! ค่าชะตาวายรายในปัจจุบันของท่านคือ 7,900 แต้ม!]

ลู่หยวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจ ค่าชะตาวายร้าย 2,000 แต้มช่างได้มาอย่างง่ายดาย!

ไป๋อู๋อีถูกพลังของอีกฝ่ายกดขี่จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ จากนั้นเขาพลันได้ยินเสียงแผ่วเบาของชายหนุ่ม “ไป๋อู๋อี ข้าสามารถทำลายหอคอยได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เหตุใดจึงคิดเหิมเกริมท้าทายข้า? แถมเจ้าทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น ความโกรธในใจคนฟังก็ยิ่งเพิ่มขึ้น หากไม่ใช่เพราะไป๋อู๋อีใช้พลังวิญญาณจำนวนมากในการหล่อเลี้ยงและซ่อมแซมส่วนที่บกพร่องในวิญญาณบริสุทธิ์ของไป๋ชิวเอ๋อร์ เขาก็อาจทะลวงสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้วในตอนนี้ และกลอุบายมากมายของคู่ต่อสู้ก็จะไร้ประโยชน์!

ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอกประตู

ลู่หยวนรู้ทันทีว่านั่นคือไป๋จางและพรรคพวก จึงลอบกระหยิ่มยิ้มย่อง

หลังจากที่ประมุขไป๋และคนอื่น ๆ เข้ามา ชายหนุ่มเพียงต้องยืนยันว่าอีกฝ่ายพยายามสังหารเขา แม้ตอนนี้ไป๋จางอยากจะช่วยปกป้องว่าที่ผู้สืบทอดมากเพียงใด แต่หากผู้อาวุโสแห่งตระกูลลู่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ก็จะไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน!

เมื่อเวลานั้นมาถึง ไป๋อู๋อีจะต้องตาย!

ไป๋อู๋อีเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาที่ลุกโชนดุจเปลวไฟของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ลู่หยวน จงจำสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไว้ให้มั่น! หากเราได้พบกันอีกครั้งในอนาคต นั่นจะเป็นวันตายของเจ้า!”

ทันทีที่กล่าวจบ ลำแสงสีทองพลันสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ร่างของบุตรแห่งโชคชะตาหายวับไป

ลู่หยวนหรี่ตาลง… จ้องมองเครื่องรางที่ถูกเผาไหม้ในอากาศ

ยันต์เคลื่อนย้ายพริบตา

ไป๋อู๋อีผู้นี้ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายเสียจริง

ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งยืนอยู่นอกประตู เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันที่ทรงพลัง พวกเขาก็ต้องการตรวจสอบมัน แต่นี่คือห้องนอนของไป๋ชิวเอ๋อร์ จึงไม่กล้าเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ไป๋จางก็เดินทางมาถึง เมื่อเห็นการระเบิดของพลังอันมหาศาลแผ่ซ่านออกมาจากห้องนอน เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความตื่นตระหนก เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับชิวเอ๋อร์?

ขณะที่เขากำลังจะพังประตูเข้าไป พลังที่ท่วมท้นก็ถูกรวบรวมและหายไปในความว่างเปล่าทันที

“ไป๋จาง เข้ามาเถิด”

เสียงแผ่วเบาดังมาจากในห้อง ซึ่งเป็นเสียงของลู่หยวน

สีหน้าของประมุขซีดเผือดทันที อีกฝ่ายมาอยู่ในห้องนอนของลูกสาวได้อย่างไร?!

เขาเดินเข้าไปในห้องนอนด้วยขาที่สั่นเทา

ทุกอย่างในห้องขนาดใหญ่พังทลาย… แทบไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย มีเพียงลู่หยวนที่ยืนอยู่กลางห้อง และไป๋ชิวเอ๋อร์ซึ่งหลับใหลบนเตียงของนาง

เขาเร่งรีบเดินผ่านชายหนุ่มไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดอื่น พุ่งไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบร่างกายของไป๋ชิวเอ๋อร์ หัวใจของบิดาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับบุตรสาว แม้อีกฝ่ายจะเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่ เขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหาร!

“หือ?”

หลังจากตรวจสอบร่างกายขอนางแล้ว เขาพบว่าลูกสาวของตนยังคงสบายดี อีกทั้งข้อบกพร่องของเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ในร่างกายก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย

“ประมุขไป๋ดูกระตือรือร้นยิ่งนัก กลัวข้าจะทำอันตรายชิวเอ๋อร์หรือ?”

ไป๋จางลุกขึ้นทันที “บุตรศักดิ์สิทธิ์โปรดอย่าถือสา ข้าเองก็รักลูกสาวของข้าไม่น้อย”

“ข้ามีบางสิ่งอยากจะถาม เส้นชีพจรวิญญาณของลูกสาวข้าดีขึ้นมาก เป็นเพราะท่านใช่หรือไม่?”

ลู่หยวนพยักหน้า “ใช่”

ไป๋ชิวเอ๋อร์ได้รับโอสถวิญญาณคงกระพัน ดังนั้นพลังวิญญาณในร่างกายของนางจึงมีเสถียรภาพมากขึ้น และเส้นชีพจรวิญญาณที่เสียหายก็ได้รับการหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน

เมื่อเห็นชายหนุ่มพยักหน้า บิดาของนางก็กล่าวด้วยความดีใจ “ขอบคุณบุญศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง!”

ไป๋จางพยายามค้นหาวิธีรักษามากมาย แต่ก็ไม่มีวิธีใดเลยที่จะช่วยให้ความเสียหายในเส้นชีพจรวิญญาณของบุตรสาวดีขึ้น แม้แต่ลั่วเหวินที่เป็นราชากลั่นโอสถก็ทำได้เพียงชะลอความเสียหายของเส้นชีพจรวิญญาณเท่านั้น

แม้เขาจะไม่รู้ว่าลู่หยวนใช้วิธีการใด แต่ความจริงที่ว่าเส้นชีพจรวิญญาณของไป๋ชิวเอ๋อร์นั้นดีขึ้นก็ปรากฏชัดต่อหน้าเขาแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลลู่จะมีวิธีการรักษาเส้นชีพจรวิญญาณของนางได้จริง!

“ท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า คืนนี้ข้าเพียงบังเอิญค้นพบว่าพลังวิญญาณของชิวเอ๋อร์รั่วไหลออกมา จึงมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือนาง อย่างไรก็ตาม วิธีการของข้าสามารถรักษาได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ข้ารับรองได้ว่าภายในระยะเวลาสิบวัน ชิวเอ๋อร์ผู้นี้จะปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรง แต่หลังผ่านพ้นสิบวันนั้นไปแล้ว ข้าก็ไม่อาจรู้ได้”

สีหน้าของคนฟังหม่นลงในทันที เขารู้ได้ว่าลู่หยวนต้องการอะไร

อันที่จริง หลังจากครุ่นคิดมาทั้งคืน เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจ จึงถอนหายใจและกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เงื่อนไขที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขอก่อนหน้านี้ ท่านยังต้องการเช่นนั้นอยู่หรือไม่?”

“ทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิม”

“เอาเถิด หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะให้คำมั่นต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ และอนุญาตให้ท่านเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูร แต่ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าสามประการ”

“ประการที่หนึ่ง เขตแดนสัตว์อสูรจะเปิดเพียงปีละหนเท่านั้น ท่านจำเป็นต้องรอคอยอีกสองสามวันเพื่อให้ผู้ชนะการคัดเลือกเข้าไปกับท่านด้วย ประการที่สอง บุญศักดิ์สิทธิ์ต้องให้คำมั่นต่อข้าว่า หลังเข้าสู่เขตแดนแล้ว ท่านจะไม่ทำร้ายคนของตระกูลไป๋ ส่วนการครอบครองสัตว์อสูรนั้นต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตา ประการที่สาม แม้ข้าจะยินยอมให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่เขตแดน แต่แน่นอนว่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะไม่เห็นด้วย ดังนั้นบุตรศักดิ์สิทธิ์จะต้องปลอมตัวและเข้าสู่เขตแดนจากที่อื่น”

ลู่หยวนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ข้ายอมรับในเงื่อนไขประการที่หนึ่งและสาม แต่ข้าไม่อาจยอมรับเงื่อนไขประการที่สองได้ ตราบใดที่สมาชิกตระกูลไป๋ไม่ทำร้ายข้าก่อน ข้าก็จะปฏิบัติตามข้อตกลงของท่าน แต่หากผู้ใดมีความคิดโจมตีข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่!”

คนฟังถอนหายใจอยู่ในใจ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “เช่นนั้นก็ตกลงตามที่บุตรศักดิ์สิทธิ์กล่าวเถิด”

การแข่งขันในอีกไม่กี่วันต่อมา ผู้ชนะจะต้องเป็นไป๋อู๋อีแน่ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ไป๋จางก็จะเป็นผู้กล่าวตักเตือนไม่ให้อีกฝ่ายขัดแย้งกับชายหนุ่ม ให้เขามุ่งไปยังการค้นหาสัตว์อสูรด้วยพลังทั้งหมดที่มีและครอบครองไป๋เจ๋อไว้ให้ได้

เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนสำเร็จแล้ว ลู่หยวนก็จากไป…

เมื่อกลับมาถึงลานบ้านของตระกูลลู่ ชายหนุ่มก็เรียกเฉาหงมาพบและขอให้เขาค้นหาร่องรอยของไป๋อู๋อี หากพบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาตกใจ เพียงบอกตำแหน่งที่ค้นพบอีกฝ่ายให้เขาได้รู้เท่านั้น

คืนนี้แผนการสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของไป๋อู๋อีล้มเหลวไม่เป็นท่า ดังนั้นเขาจึงไม่อยู่ในตระกูลไป๋อีกต่อไป แต่บุตรแห่งโชคชะตาผู้นั้นจะต้องไม่ยอมแพ้ต่อการเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูรอย่างแน่นอน

เฉาหงตอบรับและออกเดินทางไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ทันที

ลู่หยวนเข้าไปในห้องและนำหอคอยโบราณออกมา

สายสัมพันธ์ของไป๋อู๋อีที่มีต่อหอคอยโบราณนี้ถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง และตอนนี้มันก็อยู่ในมือของชายหนุ่มอย่างปลอดภัย

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทันทีที่ลู่หยวนได้หอคอยโบราณนี้มา เขาก็รู้สึกถึงพลังอันเปี่ยมล้น

“ระบบ ตรวจสอบหอคอยนี้”

[ระบบทำการตรวจสอบ!]

[การตรวจสอบเสร็จสมบูรณ์!]

[หอคอยนี่คือชิ้นส่วนหนึ่งในสิบของหอคอยอสูรสวรรค์!]

[ไม่มีระดับ!]

[มีหน้าที่เป็นกุญแจ!]

“เป็นกุญแจ?”