หวังซีและฉังเคอพูดจ้อกันอยู่ตรงนั้น ชิงโฉวกลับกระซิบเรียก คุณหนูใหญ่ สองรอบอย่างตื่นเต้น หวังซีถึงได้สติกลับมา เบนความสนใจไปที่ชิงโฉว

“ท่านผู้นั้น คุณชายรองเฉินเป็นอย่างที่ท่านกล่าวเอาไว้ ย้อนกลับมาอีกครั้งจริงๆ” นางกล่าว “กำลังถือกล้องส่องทางไกลยืนส่องมาทางพวกเรา ท่าน…ท่านอยากดูสักหน่อยหรือไม่”

หวังซีรู้สึกเหนื่อยใจ

นางไม่อยากดู

บุรุษผู้นี้ เจ้าเล่ห์เหมือนกระต่ายตัวหนึ่ง

“ไม่ต้อง!” หวังซีกล่าวอย่างอ่อนแรง “พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปก่อนก็แล้วกัน เจ้าช่วยพวกข้าดูด้านบนเอาไว้ก็พอ ข้าเดาว่าเขายังมีอุบายอื่นที่ยังไม่ได้เอาออกมาใช้อยู่อีก”

ชิงโฉวพยักหน้าหงึกๆ

ฉังเคอกล่าวเย้าหวังซี “ตอนนี้เจ้ามองเฉินลั่วแล้วยังรู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าอีกหรือไม่”

หวังซีขบคิดอย่างละเอียด กล่าวจริงจังว่า “ข้ายังคงรู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา แม้นกล่าวว่าเขามีพฤติกรรมน่ารังเกียจก็ตาม…”

ไม่ถูกต้อง!

พฤติกรรมน่ารังเกียจทุกอย่างของเฉินลั่ว ล้วนเป็นฉังเคอเล่าให้ฟัง นางไม่เคยเห็นกับตาแล้วก็ไม่เคยได้ยินกับหูมาก่อน แน่นอน นางเชื่อว่าฉังเคอไม่จำเป็นต้องโกหกนาง แต่ความเข้าใจของแต่ละคนต่อเรื่องแต่ละอย่างล้วนไม่เหมือนกัน สิ่งที่ฉังเคอกล่าวมาก็อาจจะไม่ถูกต้องก็ได้

แต่คนมีปัญญาไม่ยืนใต้กำแพงอันตราย เพื่อความปลอดภัยของตัวเองแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ฉังเคอกล่าวมาจะมีเหตุผลหรือไม่ เวลานี้ นางควรวางแผนเผื่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด คิดว่าเฉินลั่วอำมหิตจริงๆ เอาไว้ก่อนดีกว่า

หวังซีคิดตกแล้ว อารมณ์ผ่อนคลายลงมา จึงมีกะจิตกะใจสนทนากับฉังเคอต่อ “ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนเจ้าเห็นเขาเป็นดั่งพี่ชาย เขาปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี เจ้าย่อมผิดหวัง ทว่าข้าเพียงชอบเขาที่รูปร่างหน้าตาภายนอก ขอเพียงเขาดูดี ดูแล้วสบายตาก็พอ เขาจะมีจิตใจดีงามดังพระโพธิสัตว์หรือชั่วร้ายดังอสูร สำหรับข้าแล้วมิได้สลักสำคัญอะไร”

“เจ้าก็แค่ทำปากแข็งต่อหน้าข้า!” ฉังเคอไม่เชื่อคำพูดของนาง โต้เถียงกับนางว่า “รอให้วันไหนที่เจ้าเสียเปรียบเฉินลั่ว อย่ามาโทษข้าก็แล้วกันว่าไม่เตือนเจ้า”

ทั้งสองคนสนทนากันไป ด้านชิงโฉวมีความเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินลั่วถือกล้องส่องทางไกลสอดส่องอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หายไปจากบริเวณหน้าต่างของเรือนวสันต์สราญอีกครั้ง แต่หนึ่งเค่อ[1]ต่อมา เขาก็ปรากฏตัวออกมาอีก เป็นเช่นนี้อยู่สองสามครั้ง พระอาทิตย์เคลื่อนไปทางทิศตะวันตก เห็นว่าถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว หวังซีอดปรึกษากับฉังเคอไม่ได้ว่าจะหาทางให้คุณชายสามฉังไปเยี่ยมเฉินลั่วได้หรือไม่ ล่อเสือออกไปจากภูเขา ให้พวกนางมีโอกาสออกไปจากสวนร่มหลิว โชคดีที่ในที่สุดครั้งนี้เฉินลั่วไปแล้วก็ไม่ย้อนกลับมาอีก

หวังซีและฉังเคอราวกับหนีออกมาจากถ้ำเสือได้ รีบวิ่งกลับไปที่สวนหิมะงามอย่างรวดเร็ว

ฉังเคอกล่าวกับหวังซีอย่างรู้สึกเสียใจภายหลังว่า “ต่อไปเจ้าอย่าไปแอบดูเขารำกระบี่อีกเลย หากรู้สึกเบื่อจริงๆ ข้าจะเล่นกระโดดเชือกหรือไม่ก็แข่งโยนลูกธนูเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน”

นับว่านางดูออกแล้วว่าหวังซีไม่ค่อยถนัดเรื่องงานฝีมือสักเท่าไร

หวังซีเองก็ไม่อยากละเมิดกฎอีกเหมือนกัน จึงรีบตอบรับอย่างรวดเร็ว ทั้งคิดว่าตามปกติเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะให้คนมาเชิญนางไปรับประทานมื้อเย็น นางจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่เรือนหยกวสันต์พร้อมกับฉังเคอ

ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นหวังซีกับฉังเคอปรากฏตัวพร้อมกัน ให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

หวังซีคิดว่าถ้าฉังเคอไปอยู่เป็นเพื่อนนางได้ ก็จะได้ไม่ต้องถูกกักขังอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า และไม่ต้องฟังคำประชดประชันของฉังหนิงเวลามาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าบ่อยๆ ด้วย จึงยิ้มกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าฝีมือเย็บปักของพี่สาวเคอจะดีถึงเพียงนี้ ข้าเชิญพี่สาวเคอไปสอนข้าปักดอกไม้เจ้าค่ะ”

ฉังเคอไม่มีเงินเก็บส่วนตัวอะไร สิ่งของที่มอบให้คนในบ้านล้วนเป็นผลงานเย็บปักที่ทำด้วยตัวเองทั้งสิ้น และหวังซีนั้นถึงแม้จะมาจากตระกูลพ่อค้า แต่หลายวันที่เข้ามาอยู่ในจวนนี้พวกนางล้วนมองออกว่าเป็นเจ้านายที่ใช้เงินเหมือนสายน้ำไหลอย่างแท้จริงผู้หนึ่ง ไม่ว่าของอะไรล้วนแล้วแต่เอ่ยปากว่า ‘ซื้อ’ คำเดียว ฝีมือเย็บปักเป็นอย่างไรนั้น พวกนางไม่รู้จริงๆ ประกอบกับจวนหย่งเฉิงโหวเพิ่งได้รับเงินแปดพันตำลึงก้อนนั้นของหวังซีมา กำลังคิดหาวิธีทำให้หวังซีดีใจอยู่พอดี ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรีบกล่าวโดยไม่ต้องคิดว่า “หากเจ้าชอบ ก็ให้อาเคอไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าบ่อยๆ” กล่าวพร้อมกับหันไปมองฉังเคอครั้งหนึ่ง

หวังซีเองก็มองฉังเคอเช่นกัน

เพียงแต่ว่าสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าเข้มงวดจริงจัง ทว่าหวังซีกลับหันไปขยิบตาให้นางอย่างซุกซน

นางจึงรู้ได้ในทันทีว่าหวังซีกำลังช่วยเหลือนางอยู่

ความอบอุ่นสายหนึ่งพลันแผ่ซ่านอยู่ในใจของนาง หันไปอมยิ้มให้หวังซี

ฉังเคอได้รับอนุญาตแล้วจึงมาเที่ยวหาหวังซีที่สวนหิมะงามบ่อยๆ หวังซียังพูดต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าอีกสองสามประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำอย่างที่นางปรารถนาจริงๆ ตัดสินใจแบ่งสวนร่มวสันต์ออกเป็นสองส่วน ให้คุณหนูพานพักอยู่ลานบ้านทิศใต้ ส่วนฉังเคอพักอยู่ลานบ้านทิศเหนือ ยังเอ่ยกับฉังเคอแบบที่หาได้ยากยิ่งว่า “เจ้าเป็นคนในครอบครัว คุณหนูพานเป็นแขกเดินทางมาไกล จำต้องให้เจ้าลำบากแล้ว”

หลายปีขนาดนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่คนในบ้านรู้สึกว่านางได้รับความลำบาก

นางตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่าไม่ลำบาก หมุนกายไปกระซิบกล่าวกับหวังซีอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าพูดถูก เด็กร้องไห้เป็นมีลูกกวาดกิน เมื่อก่อนข้าอดทนมาโดยตลอดก็ไม่มีใครคิดว่าข้าดี คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายข้ากลับได้รับอานิสงส์ของเจ้า”

หวังซีรู้สึกว่าบางเรื่องนางไม่ควรยื่นมือเข้าไป ถนนอยู่ใต้ฝ่าเท้า ต้องเดินเองถึงจะใช้ได้

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “สุดท้ายได้ผลลัพธ์ดีก็พอแล้ว” จากนั้นถามนางว่า “คุณหนูพานมาถึงเมื่อใดหรือ รอนางมาถึงก่อนแล้วพวกเจ้าค่อยย้ายเข้าไปพร้อมกันหรือว่าเจ้าจะย้ายเข้าไปก่อน? ลานบ้านทางนั้นจัดเก็บไปถึงไหนแล้ว ต้องการให้ข้าส่งคนไปช่วยเจ้าหรือไม่”

ฉังเคอขลุกอยู่กับหวังซี ทุกๆ วันหากมิใช่ขนมหวานของซูโจวก็เป็นขนมหวานของจิงเฉิง ถ้าอยากเปลี่ยนรสชาติก็ยังมีขนมหวานของก่วงตงด้วย ถึงได้ค้นพบว่าแค่แม่ครัวนางก็มีหกถึงเจ็ดคนแล้ว ยังรังเกียจที่สาวใช้ของจวนหย่งเฉิงโหวไม่ขยันขันแข็ง จึงซื้อหญิงรับใช้ใหม่มาอีกสิบกว่าคน การทำความสะอาดหน้าต่างที่จวนหย่งเฉิงโหวต้องใช้เวลาทำสองชั่วยาม เมื่อมาที่เรือนของนางอย่างมากที่สุดเพียงสองเค่อก็ทำความสะอาดเสร็จแล้ว ใช้คำพูดของหวังซีมากล่าว เจ้าชอบที่ตื่นเช้ามาแล้วเดินไปทางไหนก็มีแต่คนทำความสะอาดอย่างนั้นหรือ เพิ่งสวมเสื้อผ้ามาใหม่ๆ ก็ต้องโดนฝุ่นอีกแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าข้างกายหวังซีไม่ขาดคนปรนนิบัติรับใช้ แต่นางยังคงตอบว่า “ไม่รู้ว่าคุณหนูพานจะมาถึงเมื่อใด แต่ท่านแม่ของข้าปรึกษากับท่านป้าสะใภ้ใหญ่และดูวันมงคลเรียบร้อยแล้ว อีกสองวันข้าก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้ ส่วนเรื่องทำความสะอาด ข้าจะไปหาท่านแม่ของข้าก่อน ถ้าหากแม่ข้าไม่สนใจ และข้าก็จัดการเองไม่ไหว ค่อยมาหาเจ้า”

หวังซีพยักหน้า ยิ่งรู้สึกว่าฉังเคอเป็นคนที่น่าคบหาผู้หนึ่ง

ฉังเคอกล่าวอย่างเฝ้ารอคอยว่า “รอข้าย้ายไปอยู่สวนร่มวสันต์ ก็อยู่ใกล้เจ้ามากขึ้นแล้ว”

สวนร่มวสันต์คั่นกับสวนหิมะงามด้วยทางเดินเส้นหนึ่ง อยู่ตรงกลางระหว่างสวนหิมะงามกับสวนร่มหลิว สวนร่มหลิวอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย นอกจากทางเดินแล้ว ยังมีสวนต้นไม้ดอกไม้คั่นเอาไว้อีกหนึ่งผืน จากสวนหิมะงามไปสวนร่มหลิวต้องใช้เวลาเดินประมาณหนึ่งถ้วยชา แต่จากสวนร่มวสันต์ไปสวนร่มหลิวนั้นสะดวกมาก

ตอนเด็กหวังซีมักจะได้รับรางวัลจากท่านปู่ท่านย่าหรือแม้กระทั่งจากท่านปู่ท่านย่าพี่ชายของปู่และท่านปู่ท่านย่าน้องชายของปู่บ่อยๆ นอกจากนี้โดยมากมักจะได้มากกว่าพี่น้องชายหญิงในรุ่นเดียวกัน ทุกครั้งที่นางได้รับของเหล่านี้ พวกผู้อาวุโสล้วนกระซิบย้ำกำชับนางว่า อย่าบอกผู้อื่น เพราะฉะนั้นนางจึงกลายเป็นคนปิดประตูนับเงินมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้ก็เลยไม่ชอบให้ผู้อื่นรู้ว่าในเรือนของนางเกิดอะไรขึ้นบ้าง

สำหรับผู้อื่นสวนร่มหลิวอาจไกลไปสักหน่อย แต่สำหรับนางกลับกำลังพอดี

แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนฉังเคอย้ายบ้าน คล้ายกับมีเรื่องพิพาทอะไรขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นเรื่องอะไรนั้นฉังเคอมิได้เล่าให้ฟัง หวังซีเองก็ไม่ได้ถาม สุดท้ายฉังเคอก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่ลานบ้านทิศเหนือตามกำหนดเดิม แล้วก็มิได้มาขอให้หวังซีไปช่วยด้วย

หวังซีเตรียมอักษรภาพหนึ่งภาพกับชุดถ้วยน้ำชาหนึ่งชุดเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้นาง

ฉังเคอจึงเชิญนางไปดื่มชายามบ่าย บอกว่าทำขนมหวานด้วยตัวเอง

หวังซีไปหาด้วยความยินดี ค้นพบว่านอกจากฉังเคอจะทำความสะอาดบ้านหลังไม่ใหญ่ขนาดหนึ่งทางเข้าจนสะอาดเอี่ยมอ่องแล้ว ยังปลูกต้นไม้ดอกไม้ใหม่เอาไว้ไม่น้อย ข้างๆ ดอกไม้สร้างซุ้มดอกไม้ วางโต๊ะและม้านั่งหินเอาไว้ เปลี่ยนบ้านรกร้างที่ไม่มีคนอยู่มานานก่อนหน้านี้ให้มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยเสน่ห์ของชนบท

“หากรู้ว่าเจ้าชอบเช่นนี้แต่แรก ข้าก็คงไม่มอบภาพสำหรับติดห้องโถงให้เจ้า น่าจะมอบเตาเซวียนเต๋อให้เจ้ามากกว่า” หวังซีชอบมาก นั่งยองลงมาดูดอกไม้ป่าและหญ้าป่าที่โผล่พ้นออกมาจากแผ่นหิน “เจ้าคิดได้อย่างไรว่าต้องตกแต่งเช่นนี้ พบเห็นได้น้อยจริงๆ”

นี่มิใช่เพราะไม่มีเงินหรอกหรือ

ฉังเคอคิดอยู่ในใจ ทว่าไม่ได้พูดกับหวังซี เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้หวังซีส่งของมาให้นางอีก

นางเชิญหวังซีไปนั่งใต้ซุ้มดอกไม้ กล่าวว่า “ข้าทำขนมถั่วลันเตาเหลืองกับขนมลาม้วนตัว เจ้าลองชิมดูว่าถูกปากเจ้าหรือไม่”

หวังซีลองชิม

แป้งถั่วลันเตาของขนมถั่วลันเตาเหลืองโม่ได้ละเอียดมาก แป้งข้าวเหนียวของขนมลาม้วนตัวก็เหนียวนุ่มเป็นพิเศษ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งหมดไม่หวานจนเกินไป ทว่ารสชาติกลับติดลิ้นนาน

“อร่อยมาก!” ดวงตาทั้งสองข้างของหวังซีเป็นประกาย “เป็นขนมหวานของจิงเฉิงที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาแล้ว”

ฉังเคอหัวเราะร่า พลางกล่าว “ข้าปรับเปลี่ยนตามรสชาติที่เจ้าชอบ หากเจ้าชอบกิน อีกสองวันข้าค่อยทำไปให้เจ้าอีก”

หวังซีถามนาง “ปักดอกไม้ง่ายกว่าหรือว่าทำขนมหวานสองชนิดนี้ง่ายกว่า?”

ฉังเคอรู้ความคิดของนาง กล่าวยิ้มๆ ว่า “มอบงานเย็บปักไม่ค่อยเกิดข้อผิดพลาด ขนมหวานเป็นของกิน ไม่ค่อยดีเท่าไร มอบงานเย็บปักดีกว่าเล็กน้อย”

หวังซีคิดไม่ถึงว่าฉังเคอกลายเป็นคนหวาดหวั่นง่ายประหนึ่งนกที่หวาดกลัวตั้งแต่ง้างสายธนูไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนจวนหย่งเฉิงโหวเคยเกิดเรื่องน่าละอายขึ้นไม่น้อยเลย

นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถึงสวนร่มหลิวขึ้นมา “หวังสี่บอกว่าอีกสองเดือนก็ย้ายเข้าไปอยู่ได้แล้ว แต่หวังว่าพวกเขาจะทำงานให้เสร็จอย่างราบรื่นได้”

ฉังเคอถามนางว่าชอบอะไร “ถึงเวลาข้าจะมอบเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้เจ้า”

ตอนเอ่ยถ้อยคำนี้นางหน้าแดงเล็กน้อย

นางรู้ว่าหวังซีนั้นดูสบายๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ความจริงแล้วปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง นางถามเช่นนี้ หวังซีรู้ว่านางไม่มีเงิน ย่อมไม่ตำหนิว่านางมอบของขวัญไร้ราคาเกินไปอย่างแน่นอน

หวังซีกลับไม่ได้คิดอะไรมาก ในใจของนางยังพะวงถึงเรื่องอยากไปดูศาลากวางร้องของบ้านข้างๆ อีกครั้ง อยากรู้ว่าเฉินลั่วจะเข้าหายากเหมือนอย่างที่ฉังเคอกล่าวเอาไว้จริงๆ หรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่อาจให้ฉังเคอรู้เรื่องนี้ได้

ฉังเคอรู้แล้วจะต้องคิดว่านางโง่เขลามากเป็นแน่

นางให้หงโฉวจับตาดูความเคลื่อนไหวของเฉินลั่วต่อไป

แต่นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเฉินลั่วราวกับหายสาบสูญไป ตอนเช้าไม่ไปรำกระบี่ที่ป่าไผ่อีกเลย แล้วช่วงบ่ายก็ไม่ไปฝึกยิงธนูด้วย

หรือว่าเป็นเพราะค้นพบพวกนางก็เลยเปลี่ยนสถานที่?

หวังซีตรึกตรองอยู่ในใจ บ่ายวันหนึ่งหงโฉวกลับวิ่งหน้าซีดเข้ามา กล่าวอย่างตื่นตระหนกว่า “คุณหนูใหญ่ คุณชายรองเฉินต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าพวกเราแอบดูเขา วันนี้ข้าไปดู พบว่าข้างๆ ป่าไผ่ที่คุณชายรองเฉินฝึกกระบี่นั้นมีดาบปักอยู่หนึ่งเล่มเจ้าค่ะ!”

“อะไรนะ” หวังซีตกใจ กว่าครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา

นางเคยได้ยินบิดาพูดว่าในภาคตะวันตกเฉียงเหนือนั้น หากค้นพบว่ามีคนต้องการมารุกรานเขตแดนของตน จะปักดาบเล่มใหญ่ไว้ตรงชายแดนเป็นการส่งสัญญาณเตือน หากผู้รุกรานกล้าไปดึงดาบเล่มนั้น ถือว่าเป็นการยอมรับการทำศึก ทั้งสองฝ่ายจะทำการรบเพื่อตัดสินแพ้ชนะ

ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน เฉินลั่วคงมิได้ไปสืบประวัติของนางมาหรอกกระมัง

หวังซีรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกคนมองทะลุปรุโปร่ง

“ไป!” นางลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเคร่ง “พวกเราไปดูสักหน่อย!”

“คุณหนูใหญ่!” ชิงโฉวและหงโฉวต่างห้ามนาง “เรียกหลงจู๊ใหญ่เข้ามาหารือที่จวนดีกว่า หลงจู๊ใหญ่อยู่จิงเฉิงมาหลายปี คุ้นเคยกับจิงเฉิงยิ่งนัก”

ไม่แน่ว่าอาจหาคนสนิทสนมสักคนมาช่วยไกล่เกลี่ยให้ได้

หวังซีขมวดคิ้ว ยืนกรานจะไปดู กล่าวว่า “ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”

…………………………………………………………………..

[1] เค่อ สิบห้านาที

ตอนต่อไป