ภายในลานบ้านที่เขียวชอุ่มไปทั่วทุกที่นั้นมีดาบเก้าห่วงขนาดใหญ่ปักอยู่หนึ่งเล่ม

คมมีดส่องแสงเยือกเย็นดั่งหิมะขาวเจิดจรัส ด้ามจับหุ้มหนังงูเหลือมสีดำ ผูกผ้าไหมสีแดงเลือดเอาไว้หนึ่งผืน โบกพลิ้วท่ามกลางสายลม

ผ้าไหมสีแดงที่กำลังโบกสะบัดนั่น คล้ายกำลังกวักมือเรียกนาง พร้อมกับกล่าวยั่วยุว่า เจ้าเข้ามาสิ

หวังซีโกรธจนแก้มนูนป่องออกมา

แต่นางไม่กล้าเข้าไป

นางนึกถึงที่พี่ชายใหญ่บอกนางว่า ‘อะไรที่ตัวเองไม่ชอบ ก็อย่าทำกับผู้อื่น’

นางไม่ชอบให้ผู้อื่นสอดส่องที่อยู่ของนาง ทว่าตัวเองกลับแอบดูเฉินลั่วรำกระบี่ ความจริงแล้วเป็นนางที่ไม่มีเหตุผล นางไหนเลยจะกล้าเอาความมั่นใจไปเจรจากับเฉินลั่วด้วยเหตุผล?

หวังซีมาอย่างกราดเกรี้ยว จากไปอย่างสลดหดหู่

และเมื่อนึกถึงเฉินลั่ว นึกถึงศาลากวางร้องข้างๆ ขึ้นมาอีกครั้ง ก็ไม่รู้สึกว่าน่าหอมหวนขนาดนั้นอีกแล้ว

โดยเฉพาะตอนที่ฉังเคอถามนางว่า หลังจากนั้นเฉินลั่วสร้างปัญหาอะไรอีกหรือไม่ นั้น นางพึมพำตอบสองสามประโยคว่า น่าจะไม่มี ฉังเคอเดาว่าหวังซีเองก็น่าจะถูกเฉินลั่วขับไล่ออกมา จึงเข้าอกเข้าใจไม่พูดถึงเรื่องของเฉินลั่วอีก แต่เชิญนางไปช่วยตกแต่งบ้าน จิตใจของหวังซีถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา ยังอยู่บ้านคัดพระธรรมให้ท่านย่าที่อยู่ไกลถึงสู่จงได้หลายหน้าอีกด้วย

ไม่นาน วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าก็มาถึง

ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินหารือกัน ปีนี้ไม่ไปวัดหลิงกวงแล้วก็ไม่ไปวัดต้าเจวี๋ยด้วย แต่ไปวัดอวิ๋นจวีที่อยู่ไกลออกไปทางชานเมืองแทน “วัดหลิงกวงและวัดต้าเจวี๋ยคนเยอะเกินไป เซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่านัดหมายพวกเรา พาสตรีในบ้านไปวัดอวิ๋นจวีกัน ค้างที่นั่นสักสองคืน ทุกคนก็จะได้ผ่อนคลายกันด้วย”

โหวฮูหยินเองก็อยากไปเดินเที่ยวข้างนอกเช่นกัน ย่อมเห็นดีเห็นงามด้วย ไปตระเตรียมเรื่องออกเดินทาง

หลังจากหวังซีถูกเฉินลั่วตอบโต้กลับมา รู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย อารมณ์ยังกลับมาไม่เต็มที่ นึกถึงว่าต้องไปค้างคืนอยู่ในวัดที่ไม่คุ้นเคยแล้วก็รู้สึกอึดอัดใจ นางตั้งใจจะหาเหตุผลรั้งอยู่ที่จวนหย่งเฉิงโหว เอ่ยถามฉังเคอว่า “เจ้าอยากไปหรือไม่”

ฉังเคอเองก็ไม่ค่อยอยากไปนัก ตอบว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านย่าดีก็จริง แต่คุณหนูหลายท่านของพวกเขาล้วนเย่อหยิ่งเชิดจนดวงตาแทบจะขึ้นไปตั้งอยู่กลางศีรษะ ข้าไม่อยากไปรองรับอารมณ์ หากเจ้าหาทางไม่ไปได้ ข้าก็จะรั้งอยู่ที่จวนด้วย”

หวังซีคิดว่านี่มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร นางเอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “จวนหย่งเฉิงโหวเทียบจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ได้ น่าจะไม่แย่นักกระมัง แต่เหตุใดคุณหนูของจวนเซียงหยางโหวถึงยังเย่อหยิ่งเชิดจนดวงตาแทบจะขึ้นไปตั้งอยู่กลางศีรษะอีกเล่า”

ฉังเคอกระฟัดกระเฟียดกล่าว “คุณหนูใหญ่ของพวกเขาแต่งเข้าจวนชิ่งอวิ๋นโหวไปเป็นฮูหยินซื่อจื่อ ส่วนซื่อจื่อ[1]ของพวกเขาแต่งงานกับคุณหนูสามของจวนเว่ยกั๋วกง ฉังหนิงชอบถากถางหาเรื่องจับผิดอีกทั้งพูดจาเข้ากับผู้อื่นไม่ได้ ประกอบกับท่านปู่แต่งอนุภรรยามากมาย ให้กำเนิดบุตรชายหญิงจากอนุภรรยาเป็นจำนวนมาก นอกจากเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว คนรุ่นหลังของพวกเขาล้วนไม่เห็นคนตระกูลของพวกข้าอยู่ในสายตานัก”

จวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นตระกูลเดิมของฮองเฮา ส่วนจวนเว่ยกั๋วกงกับจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นเหมือนกัน ต่างเป็นหนึ่งในสามของจวนกั๋วกงที่ใหญ่ที่สุดในรัชสมัยปัจจุบัน

หวังซีฟังแล้วอดย่นคิ้วขึ้นไม่ได้ กล่าวว่า “แสดงว่ามิใช่ความผิดของคนจวนเซียงหยางโหวเสียทีเดียว?”

“ถูกต้อง!” ฉังเคอกล่าวอย่างรวดร้าว “เพราะฉะนั้นถึงได้รู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น!”

“เช่นนั้นเจ้ารอดูข้าก็พอ!” หวังซีรู้สึกว่านี่มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร ถูกำปั้นอย่างหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่ากับโหวฮูหยิน ผู้ใดจะรู้ว่าเงินแปดพันตำลึงนั่นของนางกลับทำเสียเรื่อง

ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือนางเอาไว้กล่าวว่า “ความกตัญญูของเจ้า ลุงใหญ่ของเจ้าล้วนจดจำเอาไว้แล้ว! วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าครานี้ พวกเราเปลี่ยนจากวัดต้าเจวี๋ยไปวัดอวิ๋นจวีแทน ทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อเจ้า! จิ้งเสียนไต้ซือของวัดอวิ๋นจวีเป็นคนโปรดของคนชนชั้นสูงในวัง หากได้รับคำชมจากเขาสักประโยค ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องงานแต่งของเจ้าแล้ว ปกติครอบครัวของพวกเราไม่ค่อยได้ติดต่อกับพระเหล่านี้สักเท่าไรนัก การไปวัดอวิ๋นจวีครานี้ เป็นเพราะขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหวช่วยเหลือ เจ้าจะไม่ไปได้อย่างไร”

การบีบคั้นนี้รุนแรงไปสักหน่อยหรือไม่!

หวังซียังคงพยายามทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนความคิด

โหวฮูหยินก้าวออกมาจับบ่าของนาง โน้มน้าวนางเสียงอบอุ่นว่า “ครานี้ลุงใหญ่ของเจ้าออกเรี่ยวแรงไปมาก เจ้าอย่าทำให้ความอุตสาหะของลุงใหญ่ของเจ้าต้องสูญเปล่าเลย ยิ่งไปกว่านั้นพี่สาวต่างสกุลทั้งสามคนของเจ้ายังคิดจะพึ่งอานิสงส์ของเจ้า ตามไปปรากฏตัวต่อหน้าจิ้งเสียนไต้ซือสักครั้งหนึ่งด้วย!”

หวังซีพ่ายแพ้อย่างราบคาบ จัดเตรียมสัมภาระเดินทางไปวัดอวิ๋นจวีด้วยอารมณ์บูดบึ้ง

ฉังเคอเห็นแล้วเบิกดวงตาโต เอ่ยถามว่า “แม้แต่น้ำสำหรับทำกับข้าวในเรือนครัวเจ้าก็ตระเตรียมเอาไปด้วยหรือ”

หวังซีเอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เจ้าเคยไปค้างคืนที่วัดอวิ๋นจวีหรือไม่”

ฉังเคอส่ายศีรษะ

ถึงนางจะเกิดที่จิงเฉิง แต่ใช่ว่าจะเคยไปมาหมดแล้วทุกที่

หวังซีกล่าว “ข้าเองก็ไม่เคยไปเหมือนกัน! ใครจะรู้ว่าที่นั่นเป็นอย่างไร แน่นอนว่าการเตรียมพร้อมปัดเป่าหายนะได้ อย่าให้กลายเป็นว่าเจ้าไม่เตรียมพร้อมพอถึงเวลามาขอขนมหวานของข้า”

ฉังเคอหัวเราะฮ่า ทอดถอนใจกล่าว “ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่อยากออกจากบ้าน”

แต่นางก็ต้องลำบากตามไปด้วยเช่นกัน

หวังซีถอนหายใจ

ไม่คาดคิดว่าวันแรกที่พวกนางเตรียมจะออกเดินทางนั้น สองพี่น้องสกุลพานมาถึงจิงเฉิง

โหวฮูหยินปากอ้าตาค้าง

หมัวมัวของตระกูลพานที่ตามมาด้วยกลับกล่าวยิ้มๆ ด้วยความภาคภูมิอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “คิดว่าพรุ่งนี้เป็นวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า จึงเร่งเดินทางมาเป็นการเฉพาะ คุณชายใหญ่กับคุณหนูใหญ่จะได้ฉลองเทศกาลเป็นเพื่อนท่านบุตรเขยและกูไหน่ไนสักครั้งหนึ่งด้วย”

เป็นเจตนาดีของหลานชายกับหลานสาว

โหวฮูหยินได้แต่กักเก็บคำพูดอื่นๆ ไว้ในใจ พาสองพี่น้องสกุลพานไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า

หวังซี ฉังเคอและฉังเหยียนต่างหลบออกไปก่อนตามมารยาท จึงมิได้เห็นว่าพานไซ่หน้าตาเป็นอย่างไร

คุณหนูพานมีนามอักษรตัวเดียวว่าเหลียง มีชื่อเล่นสมัยเด็กว่าหว่านเหนียง ผิวขาวเนียนละเอียด บนดวงหน้ารูปไข่มีดวงตารูปเมล็ดซิ่งฉ่ำน้ำ ยามพูดจาน้ำเสียงอ่อนหวานบางเบา ดูอ่อนโยนและจิตใจดี ลักษณะตามแบบฉบับสตรีชนชั้นสูงของเจียงหนาน

ของขวัญพบหน้าที่นางนำมามอบให้หวังซีและคนอื่นๆ คือผลงานเย็บปักที่นางปักด้วยตัวเอง

หวังซีเห็นนางสวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวลายก้อนเมฆที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากของซูโจวและหังโจวในปีนี้ ปิ่นปักผมบนศีรษะฝังทับทิมขนาดเท่าเม็ดบัวเพียงหนึ่งเม็ดเท่านั้นทว่าสีของมันดุจสีเลือด คุณภาพชั้นหนึ่ง จึงรู้ว่านอกจากสถานะทางบ้านของนางจะไม่แย่แล้ว ผู้อาวุโสในบ้านยังยินดีใช้จ่ายเงินทองเพื่อนางอีกด้วย น่าจะเป็นหญิงสาวที่ได้รับการเอาอกเอาใจผู้หนึ่ง สาเหตุที่มอบผลงานเย็บปักให้ผู้อื่นนั้นแตกต่างจากฉังเคอ มิใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพื่อแสดงคุณสมบัติดีงามที่สตรีพึงมีมากกว่า

นอกจากนี้ตอนฮูหยินผู้เฒ่าถามนางว่ายามว่างอยู่บ้านทำอะไรบ้างนั้น หากมิใช่อ่านหนังสือคัดอักษร นางก็ทำงานเย็บปักปลูกดอกไม้ใบหญ้า ดูออกว่าชีวิตของนางค่อนข้างอยู่ในกฎระเบียบ เป็นคนชอบอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหวผู้หนึ่ง

หวังซีเสียดายเล็กน้อย

นางเป็นคนชอบเคลื่อนไหว เกรงว่าคงเล่นกับแม่นางพานไม่ได้แล้ว

คิดไม่ถึงว่าฉังหนิงเองก็ดูเหมือนไม่ค่อยชอบพี่สาวต่างสกุลของนางผู้นี้สักเท่าไรเหมือนกัน

ตอนโหวฮูหยินพาคุณหนูพานไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่านั้น ฉังหนิงยืนหน้าเคร่งอยู่ข้างๆ ไม่ขยับเขยื้อน

ด้วยเหตุนี้ฉังเคอยังแอบใช้ศอกกระทุ้งหวังซี กระซิบกล่าวกับหวังซีว่า “นี่นางเป็นอะไรไป คงมิใช่ว่าคุณหนูพานเพิ่งเข้าจวนมาก็ไม่พอใจนางแล้วหรอกกระมัง”

หวังซีกระซิบตอบฉังเคอว่า “มีตอนไหนที่นางไม่โมโหบ้าง”

ฉังเคอได้ยินแล้วต้องอดทนระงับเอาไว้ถึงไม่เปล่งเสียงหัวเราะออกมา

พานเหลียงได้รับการจัดแจงให้เข้าพักที่ลานบ้านทิศใต้ของสวนร่มวสันต์ เข้าไปแล้วคาดว่ายังจัดเก็บข้าวของไม่เรียบร้อยดีด้วยซ้ำ หมัวมัวแซ่หูคนข้างกายนางก็นำของฝากจากเจียงหนานมาเยี่ยมเยียนหวังซี ขอให้หวังซีช่วยดูแลคุณหนูใหญ่ของพวกนางด้วย

หวังหมัวมัวให้การรับรองหูหมัวมัว รอนางคารวะหวังซีเรียบร้อยแล้วก็นั่งดื่มชากับนาง ล้วงข้อมูลของตระกูลพาน และกลับมารายงานหวังซีว่า “พวกนางมิได้กำหนดวันเดินทางกลับ ดูท่าทางแล้วหากเรื่องแต่งงานกับจวนหลิวประสบความสำเร็จ คุณหนูพานตั้งใจจะออกเรือนจากจิงเฉิงเจ้าค่ะ”

หวังซีไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นัก ถามหวังหมัวมัวว่า “ด้านโหวฮูหยินแจ้งอะไรมาบ้างหรือยัง”

หย่งเฉิงโหวเริ่มหยุดงานเนื่องในวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้ว เรื่องการเดินทางไปวัดอวิ๋นจวีในวันพรุ่งนี้มีการเตรียมการอย่างไรบ้างนั้น อย่างไรเย็นนี้โหวฮูหยินก็ต้องกำหนดแนวทางออกมาสักอย่าง

แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่แจ้งอะไรมาเลย

หวังซีคิดๆ แล้วก็ร้อนใจแทนโหวฮูหยิน

นางกล่าว “หวังรอแต่นาง พรุ่งนี้ต้องวุ่นวายเป็นแน่ พวกเราไปถามเองสักครั้ง ทุกคนก็จะได้พักผ่อนเร็วสักหน่อย”

หวังหมัวมัวเองก็รู้สึกว่านายหญิงทั้งสองท่านของเรือนชั้นในจวนโหวพึ่งพาไม่ค่อยได้นัก รับคำแล้วไปหาโหวฮูหยิน

ผู้ใดจะรู้ว่าโหวฮูหยินกลับไม่อยู่ที่เรือนประธาน แต่พาฉังหนิงไปพูดคุยเป็นเพื่อนคุณหนูพานที่สวนร่มวสันต์

หวังหมัวมัวส่ายศีรษะ ไปหาฮูหยินผู้เฒ่าแทน

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับบอกว่า “โหวฮูหยินย่อมมีการเตรียมการ วันนี้ทุกคนไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ!”

ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ทำหวังซีหมดอารมณ์ สั่งการไป๋กั่วและคนอื่นๆ ว่า “เช่นนั้นทุกคนแยกย้ายกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”

ไป๋กั่วและคนอื่นๆ รับคำ พากันแยกย้ายออกไป

ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่ทันสาง พานหมัวมัวจากเรือนโหวฮูหยินก็มาแจ้งข่าวด้วยตัวเอง บอกว่าวันนี้คุณหนูพานจะตามไปด้วย ถามว่าให้ฉังหนิงนั่งรถม้าไปกับนางได้หรือไม่

กำหนดการเดิมคือฉังหนิงกับฉังเหยียนนั่งรถม้าหนึ่งคัน ฉังเคอกับซือหมัวมัวคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าก็นั่งรถม้าอีกหนึ่งคัน

หวังซีรู้สึกว่านี่เป็นการหาเรื่องให้นางโมโห นางตอบ ณ ตอนนั้นเลยว่า “ข้ากับพี่สาวหนิงเข้ากันไม่ได้ ถ้าหากโหวฮูหยินลำบากใจ ก็ให้พี่สาวเคอมานั่งรถม้าคันเดียวกับข้าก็แล้วกัน!”

ส่วนฉังหนิงจะเปลี่ยนที่นั่งกับฉังเคอหรือไม่นั้น นั่นก็เป็นเรื่องของโหวฮูหยินแล้ว

หากกล่าวว่าเมื่อก่อนพานหมัวมัวไม่กล้าทำให้หวังซีขุ่นเคืองใจแล้ว เงินแปดพันตำลึงของหวังซีก้อนนั้นยิ่งทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ต่อหน้าหวังซี

นางรู้ดีว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ที่นั่งของฉังหนิงและฉังเหยียนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยทั้งหมด เนื่องจากเป็นการตัดสินใจกะทันหัน ไม่แน่ว่าอาจก่อให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นขึ้นด้วย โหวฮูหยินทราบเรื่องจะต้องไม่พอใจเป็นแน่ แต่ก็ไม่กล้าช่วยโหวฮูหยินโน้มน้าวหวังซีแม้แต่ประโยคเดียว ฝืนทำหน้ายิ้มแล้วรีบไปกลับรายงานโหวฮูหยิน

เป็นไปตามคาดโหวฮูหยินขุ่นเคืองยิ่งนัก แต่นางก็ไม่อาจมีปัญหากับหวังซีซึ่งหน้าเพราะเรื่องแค่นี้ได้ จำต้องให้ฉังหนิงเปลี่ยนที่นั่งกับฉังเคอ

แน่นอนว่าฉังหนิงไม่ยินยอม โวยวายไปรอบหนึ่ง โหวฮูหยินกลัวว่าหากช้ากว่านี้ อาจไปไม่ถึงวัดอวิ๋นจวีก่อนฟ้ามืด จำต้องให้ฉังหนิงนั่งรถม้าคันเดียวกับฉังเหยียนดังเดิม ให้ซือหมัวมัวไปเบียดกับหมัวมัวที่เป็นแม่บ้านมีหน้ามีตาคนอื่นๆ จัดรถม้าให้ว่างหนึ่งคันสำหรับให้คุณหนูพานเพียงผู้เดียว

หวังซีไม่รู้ว่าคุณหนูพานรู้เรื่องนี้หรือไม่ ถ้าเป็นนาง ต้องรู้สึกผิดเป็นแน่ อย่างไรก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นไม่พอใจเช่นนี้

คุณหนูพานคล้ายจะขึ้นรถม้าไปอย่างเบิกบาน อยู่หลังหวังซี แต่อยู่หน้าฉังเหยียนกับฉังหนิง

ฉังเคอเองก็รู้สึกว่าคุณหนูพานทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก ตอนพาดตัวกับหน้าต่างรถม้าดูทิวทัศน์ข้างทางกับหวังซีจึงกระซิบถามนางว่า “เจ้าว่า คุณหนูพานไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งทำเป็นไม่รู้กันแน่”

“ไม่ว่าจริงหรือแสร้ง” หวังซีกล่าวเรียบๆ “มีอาหญิงอย่างโหวฮูหยิน ก็ไม่ง่ายดายนักเหมือนกัน”

ทั้งสองคนอดไม่ได้มองหน้ากันหัวเราะเสียงดังลั่น

หวังซีรู้สึกหดหู่ใจมากขึ้น นางพึมพำกล่าวกับฉังเคอว่า “เรื่องงานแต่งของเจ้ามีวี่แววอะไรหรือยัง ข้าตั้งใจว่าต้นฤดูหนาวก็จะเดินทางกลับสู่จงแล้ว หากทันเจ้าดูตัวก็คงดี ไม่อย่างนั้นคงได้แต่ต้องติดต่อกันผ่านจดหมายแล้ว”

ฉังเคอตกใจเป็นอย่างมาก ถามว่า “เจ้าจะกลับไปเร็วเพียงนี้เชียวหรือ”

มิใช่บอกว่าหวังซีเดินทางมาจิงเฉิงเพื่อเรื่องแต่งงานของตัวเองหรอกหรือ

……………………………………………………………………………..

[1] ซื่อจื่อ บุตรชายที่มีสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจากบิดา

ตอนต่อไป