ตอนที่ 39 ต้องเรียกเขาว่าเฉินซื่อเหม่ย
ตอนที่ 39 ต้องเรียกเขาว่าเฉินซื่อเหม่ย
ผู้หญิงคนนั้นมองหลินเซี่ยที่กำลังตกตะลึง จึงแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้ม “ฉันคือน้าสะใภ้ของเจียเหอ”
“น้าสะใภ้ ขอโทษค่ะ ฉัน…”
หลินเซี่ยตีหน้าผากตัวเองด้วยความรู้สึกผิดและรีบอธิบายว่า “ฉันรู้สึกกังวลมากในวันแต่งงาน และยังต้องพบเจอคนมากมาย ฉันจึงลืมไปสนิทเลย คุณน้าสะใภ้ โปรดอย่าถือสาฉันเลยนะคะ”
“เข้าใจได้ เข้าใจได้”
หวังอวี้เสียมีบุคลิกสบาย ๆ หล่อนถือว่าหลินเซี่ยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในฐานะภรรยาของเฉินเจียเหอ จึงพูดคุยอย่างเป็นมิตรและถามว่า “แล้วมาทำงานเป็นช่างทำผมที่นี่ได้อย่างไร? เจียเหอรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”
หลินเซี่ยตอบ “เขารู้ค่ะ ฉันไม่มีอะไรทำที่บ้าน จึงออกมาหางานทำชั่วคราวเพื่อหาเงินค่าขนม”
หวังอวี้เสียพยักหน้ารับด้วยความชื่นชม “ขยันมากเลยนะ”
“คุณพี่หวัง พวกคุณรู้จักกันหรือคะ?” เถ้าแก่เนี้ยถามด้วยรอยยิ้มขณะฟังการสนทนาของพวกเธอ
“หล่อนเป็นหลานสะใภ้ของฉันค่ะ”
เวลานี้ยังมีลูกค้ามากมายรอตัดผมอยู่ในร้าน หลินเซี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะถามหวังอวี้เสียว่า “น้าสะใภ้ อยากดัดผมแบบไหนหรือคะ? เดี๋ยวฉันทำให้ค่ะ”
หวังอวี้เสียรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เมื่อครู่หล่อนเพิ่งบอกว่าจะต้องพบป้าใหญ่ และกลัวว่าจะถูกดูแคลนด้วยภาพลักษณ์เชย ๆ ของหล่อน หลินเซี่ยเองก็คงได้ยินเรื่องนี้แล้ว
หล่อนกลัวว่าหลินเซี่ยจะนำกลับไปบอกโจวลี่หรง จึงพูดปัดไปว่า “ทำแบบไหนก็ได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดัดผมอะไรหรอก แต่เพื่อนร่วมงานยืนกรานให้ฉันมาลอง”
“น้าสะใภ้ จะดัดแบบลวก ๆ ไม่ได้นะคะ เราควรเลือกทรงผมที่ตัวเองชอบ นี่ใกล้จะวันปีใหม่แล้ว เราควรจะต้องดูดีมากที่สุด” หลินเซี่ยชี้ไปยังทรงผมมากมายที่ติดบนผนังและถามเธอ “น้าสะใภ้ ชอบทรงไหนที่สุดคะ?”
หวังอวี้เสียมองดูทรงผมสไตล์สาวทันสมัยที่มีเสน่ห์บนภาพด้วยความเขินอาย “ฉันคิดว่าผมหยักศกที่เพื่อนร่วมงานของฉันดัดเมื่อวานนี้ดูดีเลย มันทำให้เธอดูอ่อนเยาว์กว่าลอนผมแน่น ๆ ฉันอยากได้ทรงที่คล้ายกัน”
“ได้ค่ะ ผมของคุณค่อนข้างยาว เมื่อดัดแล้วมันจะออกมาดูดี ฉันจะดัดให้นะคะ”
ตอนที่หลินเซี่ยกำลังม้วนผม หวังอวี้เสียถามขึ้นว่า
“เซี่ยเซี่ย ครอบครัวของฉันบอกว่าเมื่อวันก่อนว่าแม่สามีของเธอกลับมาเหรอ?”
หลินเซี่ยตอบ “ใช่ค่ะ”
“เดิมทีฉันตั้งใจจะกลับบ้านกับน้าชายเธอ แต่พอได้ยินว่าแม่สามีเธอมา ฉันเลยคิดว่าจะกลับไปพักกับเธอสักสองวันคนเดียวก่อน เธอเลิกงานกี่โมงล่ะ เราจะได้กลับไปด้วยกัน”
“คุณน้า ฉันเลิกงานตอนห้าโมงเย็นค่ะ”
“แล้วตอนเที่ยงกินข้าวที่ไหน? ทำไมไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านด้วยกัน กินเสร็จแล้วค่อยกลับมาทำงานก็ได้”
“น้าสะใภ้ ที่ร้านคนเยอะมาก เราเลยผลัดกันไปกินข้าว ฉันจะไปร้านอาหารฝั่งตรงข้ามเพื่อซื้อบะหมี่กิน”
หลังจากดัดผมของหวังอวี้เสีย มันเป็นเวลาราวสิบโมงแล้ว หวังอวี้เสียมองดูตัวเองในกระจกและพูดว่า “นี่ไม่ดูแปลกไปหน่อยเหรอ? น้าชายของเธอจะดุฉันไหมเมื่อกลับไปบ้าน?”
หลินเซี่ยมองผู้หญิงในกระจกและถามด้วยรอยยิ้ม “น้าสะใภ้ คุณคิดว่าดูดีไหมคะ?”
หวังอวี้เสียดูอ่อนเยาว์มากในวัยสี่สิบต้น ๆ
หวังอวี้เสียพยักหน้ารับ “ดูดีนะ แต่มันแปลกไปหน่อย”
“ตราบใดที่คุณน้าชอบ ก็อย่าสนใจความคิดเห็นของคนอื่นเลยค่ะ น้าชายจะต้องชอบที่เห็นน้าสะใภ้แต่งตัวสวย ๆ แน่นอน บางทีคุณอาจจะแต่งหน้าและสวมรองเท้าส้นสูงเพื่อทำให้ภาพรวมดูดีขึ้น”
“เซี่ยเซี่ย เธอพูดได้ดีมากเลย คนที่เติบโตในเมืองเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ เธอมีความคิดดีและมีความรู้”
หวังอวี้เสียกำลังจะจ่ายเงินให้เถ้าแก่เนี้ย แต่หลินเซี่ยหยุดเธอไว้และพูดว่า “น้าสะใภ้ หักออกจากเงินเดือนฉันก็ได้ค่ะ จะจ่ายเงินให้ฉันได้อย่างไร?”
“ในฐานะผู้อาวุโส ฉันไม่สามารถเอาเปรียบคนรุ่นหลังได้หรอกนะ”
“น้าสะใภ้ พวกเราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องจ่ายให้ฉันหรอกค่ะ”
“ฉันทำงานได้รับเงินเดือนเหมือนกัน ให้ฉันจ่ายเถอะ”
หวังอวี้เสียยืนกรานที่จะจ่ายเงิน จากนั้นหันมาพูดกับหลินเซี่ยว่า “ฉันจะมาหาตอนบ่าย แล้วกลับบ้านด้วยกันนะ”
“ได้ค่ะ แล้วเจอกันค่ะคุณน้าสะใภ้”
วันนี้เฉินเจียเหอยังคงมารับก่อนเวลา
เขานั่งลงบนเก้าอี้ว่างในร้านและทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด
หลินเซี่ยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับน้าสะใภ้หวังอวี้เสียที่เจอกันโดยบังเอิญ
ในตอนเย็นขณะที่หลินเซี่ยกำลังจะเลิกงาน หวังอวี้เสียก็มาถึงพร้อมผมหยักศกขนาดใหญ่ ประแป้งบนหน้าและทาริมฝีปากสีแดงสด สวมเสื้อคลุมขนสัตว์และรองเท้าบูตหนัง โดยเข็นจักรยานมาหน้าร้าน
เฉินเจียเหอมองชุดแฟชั่นของหวังอวี้เสีย มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย
หลินเซี่ยพูดไม่ออกเล็กน้อยเมื่อเห็นการแต่งหน้าของอีกฝ่าย
ยุคนี้นิยมทาปากสีแดงสดก็จริง แต่การแต่งหน้าของหวังอวี้เสียดูประโคมหนักเกินไป เห็นได้ชัดว่าหล่อนแต่งหน้าไม่เป็น
หลินเซี่ยไม่กล้าพูดอย่างเถรตรง “น้าสะใภ้ วันนี้ดูสวยมากเลยนะคะ”
“เธอบอกว่าทรงผมนี้ดูดีขึ้นเมื่อแต่งหน้า ฉันไม่ค่อยได้แต่งหน้ามาก่อน วันนี้ฉันเลยลองแต่งหน้าเองอย่างเต็มที่”
หลินเซี่ยมองน้าสะใภ้ผู้ร่าเริงคนนี้ และรู้สึกชอบหล่อนจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ไปเถอะ กลับบ้านกัน”
หวังอวี้เสียถือกระเป๋าของตนเองและพูดกับเฉินเจียเหอว่า
“น้าชายของเธอบอกว่าจะนำของวันปีใหม่มาตอนเขากลับ เขาเลยขอให้ฉันเอามาแค่นี้ เพราะกลัวว่าฉันจะล้มขณะขี่บนถนนของหมู่บ้าน”
“ผมซื้อของสำหรับวันปีใหม่หมดแล้ว เหลือแค่ต้องซื้อประทัดทีหลัง”
เฉินเจียเหอปั่นจักรยานพาหลินเซี่ยกลับบ้าน ตามมาด้วยจักรยานของหวังอวี้เสีย
เมื่อมาถึงประตูบ้าน พอจักรยานหยุดลง พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะวุ่นวาย
จู่ ๆ เอ้อร์เลิ่งกระโดดออกมาและพูดกับเฉินเจียเหอด้วยความตื่นตระหนก “ต้าเหอ แม่ของนายกับหลินเอ้อร์ฝูทะเลาะกัน”
สีหน้าของเฉินเจียเหอพลันเคร่งขรึม เขามองหลินเซี่ยและรีบเข้าไปในประตู
ทันทีที่เข้าไปด้านใน พวกเขาเห็นแม่เฒ่าหลิน หลินเอ้อร์ฝู และคนอื่น ๆ กำลังด่าทอกันในลานบ้าน
หลิวกุ้ยอิงทำอะไรไม่ถูกขณะพยายามดึงหญิงชราออกไป แต่หญิงชราหันมาต่อว่าหล่อนอย่างแรง
“โจวต้ายา เธออาศัยอยู่ในเมืองมาหลายปีแล้ว จนเกือบจะลืมไปแล้วว่าแซ่ตัวเองคืออะไร แต่ยังกล้ามาขอให้ยกเลิกการหมั้นหมาย ลูกชายเธอนอนกับหลานสาวของฉันมากี่วันแล้ว จะให้มาถอนหมั้นตอนนี้งั้นเหรอ? บางทีเด็กคนนั้นอาจกำลังตั้งท้องลูกของเฉินเจียเหอแล้วก็ได้ ถ้ายกเลิกการหมั้นตอนนี้ เราจะไปแจ้งตำรวจให้มาจับลูกชายเธอในฐานะฉ้อฉล”
แม่เฒ่าหลินมีอายุเจ็ดสิบปี ยกเว้นขาที่ไม่ค่อยมีแรงแล้วก็ถือว่ายังมีร่างกายแข็งแรงมาก และยังมีแรงสาปแช่งผู้คนอย่างดุเดือด
พิจารณาจากคำพูดของนาง เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็พอจะคาดเดาเรื่องราวได้
เมื่อคนในบ้านเห็นเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยกลับมา พวกเขาก็เรียกหาทันที
“เซี่ยเซี่ย ลูกกลับมาแล้ว” หลิวกุ้ยอิงรีบวิ่งไปหาหลินเซี่ย
หลินเซี่ยถาม “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ?”
โจวลี่หรงมองเฉินเจียเหออย่างเย็นชาและบ่นว่า “เจียเหอ กลับมาทันเวลาพอดี ดูให้เต็มตาว่าครอบครัวนี้เป็นคนยังไง? มีแต่พวกตัวปัญหา ผู้หญิงดื้อด้าน และคนพาลทั้งนั้น”
“พวกเราน่ะเหรอคนพาล?” หลินเอ้อร์ฝูยิ้มเยาะ “โจวลี่หรง กล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง? หลานสาวของฉันแต่งงานกับลูกชายแกมานานแค่ไหนแล้ว? จู่ ๆ ก็ถ่อมาที่บ้านเพื่อขอยกเลิกการหมั้นหมาย และอ้างว่าลูกชายมีคู่ครองแล้ว แกนั่นแหละที่ทำตัวไร้ยางอาย แกมันคนพาล”
หลิวกุ้ยอิงจับมือหลินเซี่ยและถามอย่างกังวล “เซี่ยเซี่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมแม่สามีของลูกถึงอยากให้ลูกยกเลิกการหมั้นกับเจียเหอ?”
“แม่ หล่อนไปหาเรื่องที่บ้านเราเหรอ?”
หลิวกุ้ยอิงพยักหน้า “ใช่ โจวลี่หรงมาที่บ้านของเราและบอกว่าต้องการยกเลิกการหมั้นหมายของลูก แถมยังบอกด้วยว่าไม่ต้องการสินสอด และให้เราพาลูกกลับบ้าน”
หลินเอ้อร์ฝูมองหลินเซี่ยและพูดเสริม “เซี่ยเซี่ย อาขอบอกเลยนะ อย่าปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ข่มเหงได้ หลานเป็นภรรยาของเฉินเจียเหอแล้ว หลานไม่สามารถยกเลิกการหมั้นหมายได้ ถึงจะต้องฆ่าหล่อนก็ตาม”
หากหลินเซี่ยและเฉินเจียเหอถอนหมั้นกัน โควตาตำแหน่งงานของครอบครัวพวกเขาจะต้องหายไป
หลินเอ้อร์ฝูสาบานว่าจะปกป้องการแต่งงานของหลินเซี่ย (โควตาตำแหน่งงาน) ไว้ให้ได้
เมื่อเฉินเจียเหอได้รู้ต้นสายปลายเหตุ ใบหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมขณะจ้องมองโจวลี่หรง “แม่ นี่มันจะเกินไปแล้วนะ”
ผู้เฒ่าโจวดุลูกสาว “ลี่หรง ดูเรื่องงามหน้าที่ลูกก่อไว้สิ”
โจวลี่หรงยืนนิ่งด้วยใบหน้ามืดหม่น พยายามคิดหาคำพูดโต้แย้ง แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยได้
“พี่สะใภ้คะ อย่าขุ่นเคืองไปเลยนะ เข้ามานั่งในบ้านก่อนแล้วค่อย ๆ พูดกัน อย่าให้ชาวบ้านหัวเราะเยาะเราเลย” แม่เฒ่าโจวกล่าวยิ้มอย่างขอโทษขณะเชื้อเชิญแม่เฒ่าหลิน
แม่เฒ่าหลินร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรง นางสะบัดแขนของแม่เฒ่าโจวออกทันที
“ยังกลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะอีกเหรอ? ครอบครัวเฉินของคุณมีผู้คนในหมู่บ้านนับหน้าถือตา ส่วนพวกเราตระกูลหลินเป็นแค่คนธรรมดา เราไม่กลัวว่าใครจะมาหัวเราะเยาะหรอก”
การด่าทอของแม่เฒ่าหลินเริ่มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเสียงยังทวีดังขึ้น “วันนี้ฉันจะประกาศให้ทุกคนรู้กันไปทั่ว ว่าสิ่งที่โจวต้ายาคิดจะทำหลังจากเข้าเมืองคืออะไร หล่อนต้องการทำลายหลานสาวฉัน! เมื่อหวังต้าจ้วงมาขอร้องว่าต้องการแต่งงานกับหลานสาวของฉัน ครอบครัวเรากำลังจะทำเรื่องหมั้นหมายให้ จากนั้นเฉินเจียเหอก็เป็นคนมาหาฉันเอง โดยบอกว่าเขาชอบหลานสาวของฉันและยืนกรานที่จะแต่งกับหล่อน มันทำให้ฉันใจอ่อนและยอมให้เขาแต่งงานกับหล่อน แต่เพียงไม่กี่วันต่อมาโจวต้ายาก็บุกมาถึงบ้านฉัน บอกว่าลูกชายหล่อนมีคนรักอยู่ในเมืองก่อนแล้ว และต้องการยกเลิกการหมั้นหมายซะ แล้วยังกล้ามาบอกอีกว่าไม่ต้องคืนเงินสินสอดของเจ้าสาว”
“ทำไมถึงกลับมาชนบทเพื่อแต่งงานถ้ามีคนรักอยู่แล้ว?” แม่เฒ่าหลินชี้นิ้วไปทางเฉินเจียเหอและสาปแช่ง “ต่อไปคงไม่ต้องเรียกว่าเฉินเจียเหอแล้ว แต่ต้องเรียกว่าเฉินซื่อเหม่ย(1)”
เฉินเจียเหอ “!!!”
……………………………………………………………………………………………………………….
陳世美 เฉินซื่อเหม่ย เป็นชื่อแซ่ของบุรุษผู้หนึ่งในสังคมจีนยุคโบราณ ทว่าปัจจุบันนี้กลับกลายเป็นสรรพนามที่สื่อความหมายในเชิงลบ ใช้เรียกแทนผู้ชายเลวทรามซึ่งมีพฤติกรรมทรยศต่อภรรยาของตน
สารจากผู้แปล
แม๊นี่สร้างแต่เรื่องนะคะ เผลอแปบเดียวก็ไปหาเรื่องกับอีกบ้านซะแล้ว ทำลูกชายโดนด่าเละแบบไม่ทันตั้งตัว
ไหหม่า(海馬)