บทที่ 7 ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 7 ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

บทที่ 7 ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

ในห้องทำงานมีแต่เสียงพลิกหน้ากระดาษอย่างรุนแรง โรคอ้วนขั้นรุนแรง ไซนัส หัวใจเต้นผิดจังหวะ… แล้วก็หน้าสุดท้าย

‘ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้’

เมื่อแม่ของเฉินเฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเห็นเข้า เธอก็ตะโกนออกมา “อะไรนะ เธอมีลูกไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”

ใบหน้าของเฉินเฉินเปลี่ยนเป็นมืดหม่นและพูดว่า “แม่ อย่าเสียงดังสิ ถ้าใครมาได้ยินเข้าจะทำยังไง แม่กลับบ้านไปก่อนเถอะครับ”

คุณนายเฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉันเป็นแม่ของแก ถ้าแกกล้าไล่ฉัน ฉันจะบอกให้คนทั้งบริษัทรู้ว่าแกมันอกตัญญู”

จากนั้นเธาก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เฉินเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับซูโย่วอี๋งั้นเหรอ? เธอไม่สวยเหมือนเมื่อก่อน แถมยังอ้วนเหมือนหมู ลูกยังจะชอบอะไรในตัวเธออีก”

“เด็กกำพร้าคนนั้น ไม่มีประโยชน์ต่ออาชีพการงานของแก และตอนนี้เธอยังให้กำเนิดลูกไม่ได้ด้วยซ้ำ แกต้องใช้โอกาสนี้เลิกกับเธอ แม่เห็นเหอมี่มี่แล้ว พ่อของเธอเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียง และเธอก็ชอบแกมาก เธอเป็นคนที่เหมาะกับแกที่สุด”

เฉินเฉินลูบคิ้วแล้วพูดว่า “ขอผมคิดดูก่อน”

คุณนายเฉินได้แต่ยอมแพ้ เธอไม่สามารถกดดันลูกชายของเธอจนเกินไปได้ เพราะเขาเองก็อายุมากแล้วสามารถตัดสินใจเรื่องทั้งหมดเองได้

คืนนั้น เฉินเฉินเมามากและถูกพาตัวไปโดยเหอมี่มี่ ซึ่งเขาเอาแต่พูดถึงซูโย่วอี๋

เหอมีมี่ฉายแววความอิจฉาออกมา แต่เธอก็ยังเอาน้ำอุ่นมาช่วยเช็ดหน้าเฉินเฉินอย่างเงียบ ๆ

ซูโย่วอี๋ไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตของเธอดีขึ้นเท่านี้มาก่อน หลังจากผ่านไปสองสามวัน เธอก็ปรับตัวเข้ากับการกินอาหารสามมื้อและออกกำลังกายเป็นเวลาสองชั่วโมงในทุกวันได้อย่างสมบูรณ์ ยกเว้นเรื่องของเฉินเฉินที่ยังฝังรากลึกอยู่ในใจ ทุกอย่างกำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี

หลังจากออกกำลังกายไปสองชั่วโมง ซูโย่วอี๋ก็นอนลงบนโซฟาเพื่อพักผ่อน แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างแรง โดยที่เธอยังไม่ทันลุกขึ้นไปเปิดประตู หญิงสาวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นแม่สามีของเธอ

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

แต่ข้างหลังเธอกลับมีนักศึกษาสาวที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเธอเมื่ออดีต

เหอมี่มี่…

ซูโย่วอี๋ปิดประตูเพื่อขัดขวางพวกเขา “อะไรกัน?”

คุณนายเฉินไม่คาดคิดว่าลูกสะใภ้ผู้อ่อนแอจะกล้าทำเช่นนี้ เธอโกรธและพูดว่า “ปีกกล้าขาแข็งนักนะ เธอกล้าดียังไงมาปิดประตูใส่หน้าฉัน”

หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ปิดจมูกแล้วพูดว่า “กลิ่นอะไรกันนี่ เหงื่องั้นเหรอ? เหม็นไปหมด”

ซูโย่วอี๋เลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น การที่คุณแม่มาหาฉันพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นมันหมายความว่ายังไงคะ คุณแม่พาเธอมาที่นี่เพื่อกราบขอโทษฉันงั้นเหรอ?”

เหอมี่มี่หน้าแดงและพูดตะกุกตะกัก “ไม่ใช่!”

คุณนายเฉินไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน ตั้งแต่ลูกชายของเธอขึ้นเป็นประธานบริษัทก็ไม่มีใครกล้าพูดกับเธอแบบนี้ เธอผลักซูโย่วอี๋ที่ยืนขวางทางออกไปทันที พร้อมกับดึงเหอมี่มี่เข้ามาในบ้าน และนั่งลงบนโซฟาในฐานะเจ้าบ้าน

ซูโย่วอี๋ใบหน้าเย็นชา เธอเคยกลัวว่าเฉินเฉินจะลำบากใจที่เธอเข้ากับแม่สามีไม่ได้ เธอจึงอดทนกับแม่สามีคนนี้มาตลอด แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว

คุณนายเฉินมองลูกสะใภ้ของเธอด้วยสายตารังเกียจและดูถูก ยิ่งเธอมองเปรียบเทียบทั้งสองคนมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกคิดถูกมากเท่านั้น

“ซูโย่วอี๋ มีคนอกตัญญูสามประเภทที่ไม่มีวันประสบความสำเร็จ เธอคือสุนัขในรางหญ้า*[1] ครอบครัวเฉินของเรามีลูกคนเดียวคือเฉินเฉิน เราจะไม่มีวันยอมให้คนที่ไม่สามารถให้กำเนิดลูกได้เป็นสะใภ้เด็ดขาด หากเธอยังมีความรู้สึกผิดและความละอายใจอยู่บ้าง เธอควรจะหย่ากับเฉินเฉิน และให้มี่มี่แต่งงานเข้าครอบครัวเฉินของเรา”

คุณนายเฉินเป็นคนปากร้าย ซูโย่วอี๋รู้ดีและไม่ต้องการโต้เถียงกับคนตรงหน้า เธอมองไปที่เหอมี่มี่และพูดว่า “ให้ฉันเรียกคุณว่าคุณเหอละกัน ฉันสงสัยจริง ๆ ว่าคุณรู้ไหมว่าเฉินเฉินมีภรรยาอยู่แล้ว แต่คุณยังกล้าปีนขึ้นไปบนเตียงของเขา”

เหอมี่มี่ก้มหน้าลง “ขอโทษ ฉันไม่รู้จริง ๆ”

เธอกัดริมฝีปากด้วยน้ำตาคลอ ดูน่าสงสารมาก

คุณนายเฉินจับมือเหอมี่มี่ทันทีและพูดว่า “เธอกำลังพูดอะไรอยู่ เธอรู้อะไรไหม มี่มี่ชอบเฉินเฉินมาก และมี่มี่ก็เป็นลูกสะใภ้ที่ฉันยอมรับ เธอต้องหย่าเดี๋ยวนี้ และจากไปจากที่นี่ซะ”

“เป็นความผิดของเธอไม่ใช่เหรอที่ไม่สามารถควบคุมผู้ชายของตัวเองได้ แล้วเธอจะไปโกรธคนอื่นได้ยังไง”

ใบหน้าของซูโย่วอี๋ซีดลงชั่วครู่ คุณนายเฉินไม่มีเหตุผล แต่มีประโยคหนึ่งที่กระแทกใจเธอ ถ้าเธอสามารถควบคุมเฉินเฉินได้ แล้วมีคนอย่างเหอมี่มี่สักพันคนล่ะ?

ติ๊ง!

[ประกาศภารกิจ: ขอให้ซู่จู่และเฉินเฉินหย่าร้าง และกลับมาเป็นโสดอีกครั้ง]

นี่เป็นภารกิจหรือไม่?

ซูโย่วอี๋เงียบลง แม้ว่าเธอจะผิดหวังกับเฉินเฉิน แต่เธอปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นี่เธอยังมีความหวังอะไรในตัวของสามีอีกเหรอ มันไม่ยากเกินไปที่จะหย่าเพื่อให้ทุกอย่างมันจบ

ซูโย่วอี๋มองไปที่คุณนายเฉินและพูดในใจว่า “คุณแม่คะ ตอนคุณพ่อป่วย ฉันต้องไปยืมเงินมากมายเพื่อรักษาท่าน แม้แต่ค่าเล่าเรียนของเฉินเฉินก็ยังไม่มี ฉันต้องไปทำงานล้างจานที่ร้านอาหารเพื่อหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียนพวกนั้น หลังจากนั้น ฉันก็ยังต้องจ่ายค่ากินอยู่ทุกปี ถึงคุณพ่อจะดีขึ้นและหาเงินได้ในภายหลัง คุณก็พยายามบีบให้ฉันเป็นคนนอก!”

“ช่วงแรกที่เฉินเฉินลงทุนในธุรกิจ เงินก้อนแรกที่ได้รับก็มาจากนักลงทุนที่ฉันต้องทนดื่มเหล้ามากมายจนมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร”

“ตอนที่บริษัทไม่มีเงินจ้างพนักงานใหม่ ฉันก็เป็นคนจัดการบริษัทเอง”

“ทำไมฉันถึงยังไร้ค่าในสายตาคุณ”

คุณนายเฉินสำลัก “ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาต้องชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ? หลังจากก่อตั้งบริษัทแล้ว เธอก็ไม่ได้ทำอะไรที่บ้านเลย ไม่ใช่ลูกชายของฉันเหรอที่เลี้ยงดูเธอ? ไม่มีใครบอกหรือไงว่าเป็นโชคดีของเธอที่ได้พบเฉินเฉิน”

ซูโย่วอี๋โกรธจนหัวเราะออกมา “คุณแม่กังวลเรื่องที่ลูกชายจะเสื่อมเสียเกียรติในบริษัทจึงบังคับให้ฉันลาออก คุณแม่ไม่คิดบ้างเหรอคะว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่บอกว่าอาชีพของผู้หญิงคือการสืบทอดตระกูล”

“ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องที่แม่สามีพาเสี่ยวซานมาบังคับให้ภรรยาหลวงหย่ามาก่อนเลยนะคะ นี่มันเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลก ฉันเสียเวลากับคุณมามากพอแล้ว ได้โปรดออกไปเดี๋ยวนี้”

คำพูดของซูโย่วอี๋เหมือนกับลูกศร “ถ้าฉันคิดทำอะไรผิดไป แล้วหมออาจจะตัดสินว่าอารมณ์ของฉันไม่มั่นคง ฉันก็คงเสียใจแทนพวกคุณทั้งคู่ด้วยนะคะ”

คุณนายเฉินถูกลูกสะใภ้ก่นด่าต่อหน้าเหอมี่มี่ เธอรู้สึกเสียหน้าและลุกขึ้นด้วยความโกรธ “รอก่อนเถอะ”

คุณนายเฉินหยิบของแล้วเดินออกไป

ร่างกายที่อ้วนท้วนของซูโย่วอี๋ หันกลับมาหาคนทั้งสองและพูดว่า “ถ้าคุณต้องการหย่า ก็ให้เฉินเฉินมาหาฉันเป็นการส่วนตัว”

ประตูปิดลง

สุนัขจิ้งจอกมองไปยังหญิงอ้วนผู้น่าสงสารตรงหน้าแล้วถอนหายใจ

[ซู่จู่ คุณจะทำอะไร]

ฉันจะทำอะไร

รอน่ะสิ!

รอให้เฉินเฉินให้คำตอบกับเธอ…

ขณะที่เธอเดินอยู่บนถนน คุณนายเฉินเอาแต่พูดถึงคำตอบที่ละเอียดอ่อนและดูอ่อนแอของซูโย่วอี๋ เหอมี่มี่พูดว่า “ถูกต้อง ยังไงคุณก็คือแม่สามีของเธอ ทำไมเธอถึงพูดไม่สุภาพแบบนั้นกับคุณ”

แน่นอน เมื่อคุณนายเฉินได้ยิน ไฟที่เพิ่งมอดก็ลุกโชนอีกครั้ง

“คุณป้า อย่าบอกเฉินเฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ เฉินเฉินจะต้องอารมณ์เสียมากแน่ถ้าได้ยินเรื่องนี้ และเรื่องจะยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าคุณป้าถูกเข้าใจผิดและถูกจับได้นะคะ”

คุณนายเฉินมองเหอมี่มี่อย่างพึงพอใจ “เธอยังเกรงใจและคิดถึงเฉินเฉินตลอดเวลา เพราะอย่างนั้นซูโย่วอี๋ถึงสู้เธอไม่ได้ ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องนี้เองเถอะ”

‘แน่นอนคุณต้องแก้ปัญหานี้ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน’

เมื่อเหอมี่มี่เห็นว่าเป้าหมายของเธอสำเร็จ เธอจึงขอตัวกลับ จากนั้นเธอและคุณนายเฉินก็แยกทางกัน

ที่บ้านของซูโย่วอี๋ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง เป็นการเคาะที่สุภาพที่สามครั้งแล้วหยุด

ซูโย่วอี๋มองไปที่ประตูด้วยความสงสัย ใช่บริษัทจัดการทรัพย์สินหรือเปล่า?

[1] สุนัขในรางหญ้า เป็นสำนวน หมายถึง คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้