บทที่ 23 ผงบ๊วยหลั่งน้ำตา

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 23 ผงบ๊วยหลั่งน้ำตา

เอ่ยเสร็จหญิงสาวก็หยิบหนังสติ๊กสำหรับยิงนกออกมาจากบริเวณเอว ก่อนจะนำสินค้าใหม่ในระบบออกมา ‘ผงบ๊วยหลั่งน้ำตา’

ตามชื่อของมันเพียงกินผงบ๊วยหรือทำให้ผงบ๊วยกระเด็นเข้าตา เมื่อโดนลมจะทำให้คนผู้นั้นหลั่งน้ำตาออกมาเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม

นางแอบห่อผงบ๊วยเอาไว้ในผ้าเช็ดหน้า จากนั้นก็ห่อมันเอาไว้หลวม ๆ ไม่ว่าจะสะบัดไปทางไหนผงบ๊วยด้านในก็จะกระเด็นออกมา

“พระชายาตั้งใจช่วยข้าจับนักฆ่าด้วยหนังสติ๊กยิกนกและผ้าเช็ดหน้างั้นรึ?”

เมื่อครู่ที่ได้ยินน้ำเสียงของนาง หมี่โม่หรู่ก็คิดว่าในที่สุดก็บีบบังคับจนนางยอมเผยธาตุแท้ออกมา ไม่คิดเลยว่านางกลับหยิบหนังสติ๊กและผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา

ฉะนั้น ฉินปู้เข่อคนนี้ฉลาดหรือโง่กันแน่

คิดจริง ๆ หรือว่าหน้าไม้ยิงนกเล็ก ๆ นั่นจะจับองครักษ์ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างหนักในตำหนักได้

“แหะ ๆ ท่านอ๋องรอดูเถอะเพคะ” ฉินปู้เข่อยกหนังสติ๊กเล็งไปที่กลุ่มคนชุดดำด้านล่าง

เพียงพริบตา สายตาอันอ่อนโยนของฉินปู้เข่อที่แสดงออกมาตลอดพลันเปลี่ยนเป็นมาดมั่น ดูองอาจ รอยยิ้มมุมปากนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ

นัยน์ตาของหมี่โม่หรู่วูบไหว ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ

หากเทียบกับความน่าสงสาร อ่อนโยนเรียบร้อยที่นางแสดงมาตลอดก่อนหน้านี้ สายตาที่กล้าหาญนี้ไม่อาจทำให้เขาละสายตาได้

แม้ว่าเขาจะคิดว่าหน้าไม้แค่นั้นไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่ท่าทางสง่างามนี้ก็น่ามองกว่าความบอบบางน่าสงสารที่นางเสแสร้งขึ้นมาเยอะ

ฟิ้ว

นางยิงผ้าเช็ดหน้าออกไป และตกลงไปบนหัวของคนชุดดำคนหนึ่ง ผงบ๊วยกระจายไปรอบ ๆ ในทันใด

สายลมที่พัดผ่านรอบ ๆ บริเวณรถม้าเต็มไปด้วยผงบ๊วยที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

“แค่กๆ ๆ ๆ…” เหล่าคนชุดดำพากันใช้มือพัดโบกไปมาตรงหน้าไม่หยุด น้ำตาก็ไหลอาบหน้าในพริบตา

อย่าว่าแต่พลังรบเลย ตอนนี้แค่ให้พวกเขาเดินออกจากตรอกนี้ก็ยากลำบากจนแทบทำไม่ไหวแล้ว น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาได้บดบังการมองของพวกเขาทุกคน

ฉินปู้เข่อยักคิ้วอย่างดีใจ และเหลือบมองหมี่โม่หรู่ “ท่านอ๋อง ดูสิเพคะ”

เดิมทีแล้วนางเป็นหญิงสาวที่รูปงาม สายตาที่มองจึงเปล่งประกายราวกับดวงดาวบนฟากฟ้ายามกลางคืน สวยงามจนหัวใจของหมี่โม่หรู่ใจสั่นหวั่นไหว

กว่าเขาจะได้สติกลับมา ฉินปู้เข่อก็เข็นเขาออกจากหอน้ำชาแล้วทั้งคนทั้งเก้าอี้

“เรารีบไปกันเถอะเพคะ ไม่แน่อาจจะจับคนสองคนที่หนีได้เพคะ” ฉินปู้เข่อพูดอย่างตื่นเต้น

“ปู้เข่อ (มิได้)” หมี่ม่อหรู่รีบส่งเสียง

“ท่านอ๋องเรียกหม่อมฉันหรือเพคะ” ฉินปู้เข่อไม่ได้หยุดฝีเท้าลงแต่อย่างใด

“ข้าหมายถึงไปมิได้” หมี่โม่หรู่กระแอมเบา ๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ

อ่า…ที่แท้เข้าใจผิดเพราะชื่อนี่เอง ฉินปู้เข่อแลบลิ้นนางนึกว่าหมี่โม่หรู่เรียกชื่อนางจริง ๆ เสียอีก

หมี่โม่หรู่มองสีหน้าซุกซนของอีกฝ่าย เขาเม้มปากและเบนสายตาไปทางอื่น เอ่ยอธิบายช้า ๆ ว่า “ตอนนี้มีนักฆ่าหนึ่งกลุ่มกำลังเคลื่อนไหว หากเจ้ากับข้าไปแล้วมีนักฆ่าโผล่มาอีกกลุ่มใหญ่ ชายามั่นใจหรือไม่ว่าจะปราบพวกเขาได้”

“ไม่เพคะ” ฉินปู้เข่อลูบคางไปมา “ท่านอ๋องเพคะ ท่านพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มากกว่าหม่อมฉัน ความคิดจึงรอบคอบกว่าหม่อมฉันเพคะ”

หมี่โม่หรู่หลุบตาลง คนที่ส่งมาวันนี้ล้วนแต่เป็นองครักษ์ของตำหนักทั้งนั้น แม้กระทั่งอู๋เยว่และซวงหวนก็อยู่ในนั้นด้วย หากไปแล้วในตรอกยังเหลือคนของตำหนักอยู่ เช่นนั้นการทดสอบครั้งนี้นอกจากจะไม่บรรลุเป้าหมายแล้ว ยังเปิดเผยตัวตนอีกต่างหาก

เขาคิดไม่ถึงว่าฉินปู้เข่อจะใช้หนังสติ๊กและผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนในการจัดการพวกเขาทั้งหมด

ในผ้าเช็ดหน้ามีผงพิษหรือ?! ในขณะที่หมี่โม่หรู่หลุบตาใช้ความคิด ฉินปู้เข่อย่อตัวลงตรงหน้าเขา “ท่านอ๋อง ขี่หลังหม่อมฉันกลับไปเถิดเพคะ”

“ว่าอย่างไรนะ?!” หมี่โม่หรู่ผงะไป

————————————————————————————————

[1] ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 – 14.59 น