หลังจากเรียนผู้ฝึกสามารถทำอะไรก็ได้ตามต้องการ บางก็ไปหาคนงานเพื่อขอดูตารางเรียน บางก็ไปสำรวจหอคอย ส่วนที่เหลือก็นำหนังสือกลับไปที่ห้องของพวกเค้าและเริ่มศึกษา
บอห์ลตัดสินใจที่จะไปห้องสมุดที่ชั้น15 เค้ากระตือรือร้นที่จะเห็น ‘ห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ ที่พิควิทพูดถึง บันไดของหอคอยทั้งสูงและกว้างและขณะที่เค้ากำลังขึ้นบันไดเค้ารู้สึกเหมือนขาของเค้ากำลังไหม้ เค้าคิดว่าเค้าอาจจะตายบนบันไดนี่ก็ได้ ตอนนี้เค้าไปถึงที่ชั้น15พร้อมกับหอบหนักมาก ในทันทีที่เค้าก้าวขึ้นมาบนชั้น15เค้าก็รู้สึกสบายใจ เหงื่อไหลเต็มหน้าของเค้าและเค้ารู้สึกเหมือนจะทรุดลงบนพื้น
ต่อหน้าเค้าทางเดินไปสู่ห้องสมุดมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ สัตว์ประหลาดนอนอยู่บนพื้นขว้างทางเดิน ร่างกายเป็นสิงโตและมีปีกขนาดใหญ่อยู่บนหลัง มันมีกรงเล็บและฟันที่แหลมคม ร่างกายของมันผอมและแข็งแรงซึ่งนั่นจะทำให้มันรวดเร็วมาก มันชัดเจนว่ามันเป็นผู้ล่าสูงสุด ภายหลังเค้าก็รู้ว่าชื่อของมันชื่อ ‘กริฟฟิน’
กริฟฟินจ้องมองเค้าและยืนขึ้น ขณะที่มันเข้าใกล้เค้าบอห์ลก็จำสิ่งที่ลูซีหยูบอกได้ “ตั้งแต่ชั้น15ขึ้นไปจะมีสัตว์วิเศษปกป้องอยู่ คุณต้องมีเข็มกลัดผู้ฝึกไม่อย่างงั้นสัตว์วิเศษจะโจมตีคุณ ฉันจะไม่มาช่วยถ้าคุณถูกกิน!”
บอห์ลรีบหาเข็มกลัดและหยิบมันขึ้น “ฉันมีเข็ดกลัด ฉันเป็นผู้ฝึกใหม่ ฉัน..”
กริฟฟินอยู่ตรงหน้าเค้า หัวของบอห์ลอยู่ใต้คางของมัน เค้ารู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆที่มาจากจมูกของมันบอห์ลรู้สึกเหมือนขาอ่อนแรง แต่กริฟฟินเดินรอบเค้าและเดินกลับไป มันไปนอนบนพื้น หลับตาลงและนอนต่อ
บอห์ลรู้สึกเหมือนจะล้มลง เค้าเดินโดยใช้มือช่วยประคองไปกับผนัง เค้าเดินไปตามทางทางเดินที่ยาว ในที่สุดเค้าก็พบประตูขนาดใหญ่ที่สิ้นสุดทางเดิน เค้าผลักประตูและเดินเข้าไปในห้องสมุดชั้น15 ทันทีที่เค้าเห็นด้านในของห้องสมุดเค้าก็อ้าปากค้าง
มีชั้นวางหนังสือ4ชั้นสูงเท่าประตู เค้าไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุดของมัน ทุกช่องว่างในห้องสมุดถูกเติมเต็มด้วยหนังสือ ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นของกระดาษและหมึก
เค้าเดินผ่านพรมแดง แสงอาทิตย์ตอนเที่ยงส่องเข้ามาในห้องสมุดผ่านหน้าต่างแก้วที่อยู่ด้านข้างของห้อง บอห์ลรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆที่เข้ามาในโลกของยักษ์โดยบังเอิญ ที่ว่างเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือและความรู้เค้ารู้สึกตัวเล็กและกระจอก
“พระเจ้า สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างงี้นี่เอง!”
ลูซีหยูออกจากหอคอยพ่อมดหลังจากการสอนครั้งแรกและกลับไปที่ปราสาทมิติเพื่อไปทำการทดลองต่อ เค้าไม่สนใจว่าพ่อมดฝึกหัดเรียนหนักหรือไม่ มดครึ่งคนและคนงานที่อยู่ในหอคอยจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและความต้องการของผู้ฝึก หากพวกเค้าล้มเหลวในชั้นเรียนหลังจาก3เดือนพวกเค้าจะถูกโยนเข้าไปในป่าแห่งความมืด ลูซีหยูไม่ได้สนใจว่าพวกเค้าจะเจอทางของตัวเองหรือไม่ เค้าเป็นครูของพวกเค้าไม่ใช่ผู้ปกครอง เค้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบในการดูแลพวกเค้า
เค้าสร้างสัตว์วิเศษหลายสายพันธุ์ตามความคิดของเค้า เช่น อีกาลมที่สามารถควบคุมลมและงูน้ำแข็งที่สามารถควบคุมน้ำได้ อื่นๆรวมถึงหมาป่าวิเศษที่สามารถใช้ปืนใหญ่อากาศได้ หมีโลกที่สามารถควบคุมโลกและสร้างหนามโลกขนาดยักษ์ และกริฟฟินที่สามารถใช้โซนิคบูมเป็นอาวุธได้
นอกจากนี้เค้ายังสร้างสัตว์วิเศษอื่นๆที่มีรูปร่างแปลกประหลาด สัตว์วิเศษบางตัวสามารถควบคุมสีผิวของพวกมันและหายตัวได้ อื่นๆสามารถเปลี่ยนเพื่อเลียนแบบสิ่งมีชีวิตอื่นได้ สฟิงซ์ซึ่งสามารถทำลายพันธะโมเลกุลของสารประกอบด้วยพลังของการสลายตัวเป็นการสร้างที่เค้าภาคภูมิใจ เค้าสั่งให้สฟิงซ์คุมชั้น12ของหอคอยซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องเค้า
ลูซีหยูสร้างสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เค้าเก็บสัตว์วิเศษที่เค้าชอบไว้และปล่อยตัวที่เหลือเข้าไปในป่า ปล่อยให้พวกมันทำตามที่มันต้องการ เค้าค่อยๆหาข้อจำกัดของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการแก้ไข เซลล์ของพวกมันทั้งหมดมาจากสัตว์ในตำนานเวล1 เช่น ลูซีหยูและสากูน พลังถูกจำกัดอยู่ที่ระดับโมเลกุลและดังนั้นการพัฒนาของพวกมันจะเกี่ยวข้องแค่ระดับโมเลกุล
ลูซีหยูค้นพบสิ่งที่น่าสนใจจากสัตว์เหล่านี้และได้รับแรงบันดาลใจจากมัน ในขั้นต้นเค้าคิดว่ารุ่นที่2ของสัตว์วิเศษจะไม่สามารถสืบทอดเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขได้ เค้าคิดว่าพวกมันจะสามารถสืบทอดได้เฉพาะยีนและความสามารถพิเศษของรุ่นก่อน
ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นการรุกรานของเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขนั้นมีพลังมากกว่าที่เค้าคิด นอกจากเซลล์พวกมันยังรุกรานเข้าไปในจิตใจอีกด้วย เริ่มจากรุ่นแรก รุ่นที่สองของสัตว์วิเศษจะหลอมรวมกับเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขอย่างงสมบูรณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือรุ่นที่2จะเป็นสัตว์วิเศษที่แท้จริง พวกมันรวมกับเซลล์ที่ได้รับการแก้ไข รอยประทับของเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขถูกรวมเข้ากับจิตใจของสัตว์อย่างสมบูรณ์ พวกมันยังกลืนพลังจิตของพวกมันเพื่อที่จะเติบโต
ดังนั้นการวางไข่จึงสามารถส่งต่อได้เนื่องจากอิทธิพลของเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขบนสายเลือดนั้นไม่อาจต้านทานและหลีกเลี่ยงได้ รอยประทับจะถูกส่งผ่านจิตใจไปยังรุ่นต่อไปผ่านยีน สายเลือดอาจจะเบาบางลงแต่มันจะไม่สูญพันธุ์ ตราบใดที่การปรากฏลักษณะของบรรพบุรุษที่ขาดหายไปยังเกิดขึ้นและเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขยังตื่นขึ้น สัตว์ก็จะสามารถเรียนรู้ได้อีกครั้ง!
“น่ากลัว พลังนี้น่ากลัวมาก!”
เซลล์ที่ได้รับการแก้ไขเหล่านี้เพิ่งแตกหน่อจากความคิดแปลกๆแต่ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกตกใจและประทับใจมากขึ้นเท่านั้น นี่เค้าพัฒนาสิ่งนี้จริงๆหรอ?
เค้ายังสนใจการผสมผสานระหว่างจิตใจและเซลล์ที่ได้รับการแก้ไขอย่างมาก เค้าต้องการสร้างวิธีที่แตกต่างของการเพิ่มระดับสำหรับพ่อมด
พ่อมดฝึกฝนพลังจิตซึ่งลูซีหยูแบ่งออกเป็น3ขั้นตอน ขั้นแรกต้องอาศัยพลังจิตอย่างน้อย7SFUอย่างน้อยซึ่งบุคคลนั้นจะถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่าพ่อมด เมื่อพวกเค้ามาถึงขั้นตอนนี้พวกเค้าจะถูกปล่อยออกนอกหอคอย พวกเค้าจะสามารถใช้เทคนิคบางอย่าง พวกเค้าสามารถใช้พลังจิตในการร่ายคาถาระดับน้ำหรือดัดแปลงร่างกายด้วยความช่วยเหลือของอุปกรณ์บางอย่าง ในระดับนี้ชีวิตปกติก็จะไม่มีความหมายอะไรกับเค้า แม้แต่อัศวินสายเลือดจะไม่สามารถต่อต้านเค้าได้ ผู้ที่มีระดับพลังจิตภายใต้7SFUจะยังเป็นพ่อมดฝึกหัดอยู่
พ่อมดที่มีพลังจิตตั้งแต่7-129SFUสามารถแบ่งออกเป็น3ระดับ พ่อมดระดับ1-3จะมีความแตกต่างอย่างมากในความแข็งแกร่งของพลังจิตและความแม่นยำของการควบคุมสิ่งของแต่คุณสมบัติของพวกเค้าจะไม่เปลี่ยน
ระดับ4จะเริ่มที่ขั้นที่2 พ่อมดเหล่านี้มีพลังจิตมากกว่า129 พวกเค้าสามารถปรับปรุงจิตใจของพวกเค้าและสร้างพื้นที่คาถาของตัวเองได้(ลูซีหยูเรียกมันว่ามิติแห่งจิตใจและมิติแห่งวิญญาณมาก่อน) ที่นี่พวกเค้าจะเป็นอิสระจากข้อจำกัดของสิ่งมีชีวิตธรรมดา พวกเค้าจะสามารถเปลี่ยนรูปร่างของร่างกาย ขจัดตำหนิของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการแก้ไขอื่นๆ และสืบทอดความสามารถเหนือธรรมชาติ ปัจจุบันลูซีหยูอยู่ระดับที่6
ระดับ7จะถือเป็นขั้นตอนที่3 พ่อมดในระดับนี้จะสามารถแก้ไขทั้งร่างกายของเค้าได้ ลูซีหยูเรียกพวกเค้าว่า พ่อมดในตำนาน พวกเค้าเป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติและมีร่างกายอมตะ พวกเค้าจะมีต้นแบบของสิ่งมีชีวิตในตำนานเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามพ่อมดเหล่านี้ไม่มีความสามรถด้านจิตใจของลูซีหยูที่สามารถส่งข้อมูล พวกเค้าสามารถเลือกได้จากต้นแบบของสิ่งมีชีวิตในตำนานที่ลูซีหยูสร้างหรือดัดแปลงกลายพันธุ์เพื่อสืบทอด พวกเค้าไม่มีความสามารถในการสร้างตัวเอง!