บทที่ 23 ตัดไม้ข่มนาม

คนทั้งคู่ไม่มีอารมณ์หลีสาวงามอีกต่อไป มือของคนทั้งสองคนจับอาวุธแน่น “คนสวย อย่าโทษพี่ชายว่าใจดำเลย โทษความซวยของตัวเองเสียจะดีกว่า”

ชิงอวี่มองชายทั้งสองที่มีสีหน้าชั่วร้ายนิ่ง ก่อนจะส่ายหัวด้วยความสงสาร “เฮ้อ พวกเจ้าช่างเลือกมาที่นี่ได้ถูกเวลาเสียจริง”

สิ่งที่นางปลูกไว้ในสวนสมุนไพรไม่ได้มีเพียงสมุนไพรธรรมดา ทว่ายังมีเหล่าดอกตรึงจันทร์ที่แสนสวยงามทว่าแฝงความดุร้ายรวมอยู่ด้วย

ดอกไม้ชนิดนี้เป็นชนิดเดียวกับดอกไม้กินคน ทว่ามันจะบานแค่ตอนกลางคืน ยิ่งเมื่อได้อาบแสงจันทร์ ความดุร้ายจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า สวนของนางไม่ค่อยมีแขกมาเยือนมากนัก ดังนั้นเมื่อนางไม่มีอะไรทำจึงปลูกพวกมันไว้เฝ้าสวน

ส่วนเจ้าคนชั่วสองคนนี้ดันรนหาที่ตาย ในมือถืออาวุธที่ส่องล้อแสงจันทร์เช่นนั้นมาอีก

ดอกตรึงจันทร์ชอบแสงจันทร์มาก แต่เกลียดแสงอื่น ๆ มากเช่นกัน เจ้าโง่สองคนนี้ยืนแกว่งอาวุธในมือไปมาอยู่นาน นางคิดว่าเหล่าดอกไม้ของนางคงใกล้ฉุนเฉียวเต็มทนแล้ว

เป็นไปดังคาด ภายใต้รัตติกาลอันเงียบสงัด ใต้ผืนดินราวกับมีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ ทันใดนั้นเงามืดสีดำก็พุ่งขึ้นมาล้อมบุรุษสองคนนั้นไว้

เป็นดอกไม้ขนาดยักษ์สีขาวดั่งหิมะทั้งต้น มันอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมเต็มปาก ลิ้นยาวสีแดงที่แลบออกมาเต็มไปด้วยแง่งปลายแหลม ลำต้นมันเอนไหวไปมา ปล่อยลมหายใจที่ทั้งชื้นทั้งอุ่นออกมาใส่ทั้งสองคน

“นี่มัน….. นี่มันตัวอะไรกัน!?” คนทั้งสองมองเจ้าดอกไม้ยักษ์ด้วยนัยน์ตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง ร่างทั้งร่างแข็งค้างไม่กล้าเคลื่อนไหว

“มีดอกไม้พวกนี้อยู่ด้วย พวกเจ้าว่าดูมีประโยชน์ดีนะว่าไหม? ขอบคุณพวกเจ้าสองคนที่ช่วยมาเป็นปุ๋ยบำรุงดอกไม้ของข้า” ชิงอวี่ยิ้มหวาน

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร? เจ้ากล้า…..”

“อ๊ากกกกกกกกกกกก…..”

คนผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบประโยค ร่างกายครึ่งท่อนก็ถูกดอกกลืนจันทร์กัดกินเข้าไปในคำเดียวแล้ว เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นทั่วทิศทาง เปรอะชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้างเต็มไปหมด ทำให้เขาหวาดกลัวสุดขีดจนกรีดร้องออกมาเสียงโหยหวน

วินาทีต่อมา ชายอีกคนก็ถูกดอกกลืนจันทร์อีกต้นกลืนลงท้องไป ดูท่าเจ้าดอกไม้จะหิวไส้กิ่วมานาน มันไม่เพียงกินคนผู้นั้นเข้าไปไม่เหลือซาก แต่ยังใช้ลิ้นสีแดงสดเลียเอาคราบเลือดที่เปรอะบนพื้นจนไม่เหลือสักหยด

หลังจากอิ่มหมีพีมันแล้ว มันก็เรอออกมาด้วยความพอใจหนึ่งที หลังจากนั้นก็หดกลับลงไปที่ใต้ดิน เหลือเพียงแง่งหนึ่งที่โผล่เหนือดินขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนบุรุษที่นอนกองอยู่กับพื้นไม่อาจทนพิษได้อีกต่อไป หมดสติไปในที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นภาพฉากเมื่อครู่ ไม่เช่นนั้นอาจจะตกใจจนสิ้นสติไปแทนก็เป็นได้

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

คนผู้นี้สูงมาก จะให้นางลากร่างเขาเข้าไปด้านในงั้นหรือ? หากนางทิ้งเขาไว้ที่นี่คงไม่ดีแน่ เพราะร่างเขายังทับสมุนไพรและพืชพันธุ์ของนางอยู่

“นี่ ตื่นได้แล้ว เลิกแกล้งตายเถอะ ไม่งั้นข้าจะทิ้งท่านให้เน่าตายอยู่ตรงนี้” นางป้อนยาถอนพิษให้เขาอย่างขอไปที จากนั้นเอานิ้วจิ้มหน้าส่วนที่ช้ำจนบวมเป่งสองครั้ง

บุรุษผู้นั้นนอนมึนอยู่กับพื้นแทบคงสติไว้ไม่อยู่ ทว่าหลังจากได้รับยาถอนพิษแล้วก็รู้สึกตื่นเต็มตามากขึ้น ยิ่งโดนนางใช้นิ้วจิ้มหน้าที่ช้ำอยู่เช่นนี้ ความเจ็บปวดส่งผลให้เขากัดฟันแน่น ก่อนจะร้องขึ้น “เจ้า!”

“ข้า? ข้าอะไรหรือ?” ชิงอวี่ถาม มองต่ำลงไปยังบุรุษเบื้องล่าง “รีบพาคนมาลากท่านออกไปจากที่นี่โดยเร็วเถอะ อย่ามานอนเกะกะอยู่ในเรือนข้า อย่าลืมด้วยว่าท่านติดค้างข้าหนึ่งล้านตำลึงทอง”

“เจ้าวางใจ ข้าพูดไม่เคยกลับคำ ข้ากลับไปได้จะให้คนส่งทองมาให้” ชายหนุ่มกัดฟันพูดด้วยความโกรธ

“เช่นนั้นก็ดี ท่านจะไปไหนก็ไป ข้าจะกลับไปนอนแล้ว” นางหาวออกมาท่าทางเกียจคร้าน จากนั้นหันหลังกลับเดินเข้าห้องไปในทันที

ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้….. ทิ้งเขาให้นอนอยู่เช่นนี้น่ะหรือ? นางไม่เห็นหรือไงว่าเขาถูกพิษ??

เดี๋ยวก่อน….. ดูเหมือนว่า….. ร่างกายเขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกไม่สบายเนื้อตัวอีกต่อไป

เป็นตอนนั้นเองที่เขานึกขึ้นได้ว่านางเพิ่งป้อนยาให้เขา…..

“ผู้หญิงประหลาด…..” เขาพึมพำกับตนเองเสียงเบา จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ

เมื่อยืนขึ้น เห็นว่าตนล้มทับต้นไม้ที่นางปลูกไปตั้งมาก ใบหน้าของเขาก็พลันมีสีหน้าอับอายที่ไม่ค่อยได้เห็นปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็กระโดดข้ามกำแพงด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ย

หลังจากทะลวงด่านแล้ว ชิงอวี่สบายตัวขึ้นมาก นางหลับสบายทั้งคืนจนกระทั่งลืมตาตื่นในเช้าวันต่อมา

นางเหยียดแขนด้วยความเกียจคร้าน จากนั้นลุกไปเปิดหน้าต่าง หน้าต่างบานนี้เปิดไปจะมองเห็นสวนสมุนไพรได้อย่างชัดเจน

“หือ?” ชิงอวี่ กะพริบตาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าสมุนไพรที่ถูกทับจนแบนเมื่อคืน ตอนนี้กลับดูเหมือนใหม่ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรเกิดขึ้น ร่องรอยของการถูกทับก็ไม่มีแม้แต่น้อย

เกิดอะไรขึ้น? เห็นภาพหลอนกันตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้เลยหรือ??

“โอ๊ย….. นี่มันอะไรกัน?” มีเสียงอู้อี้ดังขึ้นมาจากด้านนอก

เด็กหนุ่มที่ตัวชุ่มน้ำค้างเพิ่งจะกลับมาถึงเรือน ก่อนที่จะเดินเข้าประตูมาก็เดินเตะเข้ากับอะไรบางอย่างแข็ง ๆ ดังนั้นเขาจึงเบิกตามองด้วยความตกใจ

อะไรเนี่ย? เหตุใดถึงมีของมาวางอยู่หน้าประตูได้??

“มีอะไรหรือเสี่ยวเป่ย?” ชิงอวี่ถามจากด้านใน นางกำลังจะเปิดประตูออกไปดู

ชิงเป่ยรีบเอ่ยห้ามในทันที “พี่ อย่าเพิ่งเปิดประตู!”

หลังจากนั้น เขาก็ค่อย ๆ เข้าใกล้มันอย่างช้า ๆ จ้องประเมินว่าห่อผ้าสีดำห่อนี้มีของอันใดอยู่ภายใน เขาใช้เท้าเขี่ยอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเขี่ยถุงให้ออกห่างประตูไปอีกหน่อย

ชิงอวี่ได้ยินเสียงกุกกักด้านนอกจึงเปิดประตูออกไปดู “มีอะไรหรือ?”

ชิงเป่ยจึงชี้ห่อผ้าสีดำที่อยู่กับพื้น “กลับมาข้าก็เห็นถุงนี่วางอยู่บนพื้นหน้าประตูแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสิ่งใด แต่ด้านในคงไม่ใช่ของอันตราย”

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองห่อสีดำ ก่อนจะเอื้อมมือไปหมายจะยกมันขึ้น หือ? ไม่ขยับหรือ??

ดังนั้นนางจึงใส่แรงเข้าไปอีกหน่อย จากนั้นจึงสามารถยกห่อนั่นขึ้นมาได้

นางแหวกห่อผ้าออก ก่อนที่แสงแสบตาจากทองคำจะส่องออกมา เป็นก้อนทองขนาดเท่าหนึ่งกำมือวางเรียงกันอยู่ด้านใน ยังมีกระดาษแลกเงินที่แต่ละใบมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงกองอยู่อีก

ชิงเป่ยหรี่ตามองถุงผ้า “เงินเยอะขนาดนี้เชียว!!?”

ด้านในกองเงินยังมีจดหมายแนบมาหนึ่งฉบับ ชิงอวี่หยิบมันขึ้น ฉีกตัวปิดออก ก่อนจะเห็นลายมือเขียนหลายบรรทัดด้านใน

[นี่คือทองคำหนึ่งล้านตามสัญญา ตอนนี้ข้านำทองคำออกมาได้เพียงเจ็ดแสนตำลึง ดังนั้นจึงใช้กระดาษแลกเงินแทนอีกสามแสนที่เหลือ ไม่ขาดไม่เกิน]

[บุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าได้จดจำเอาไว้แล้ว]

[ส่วนเรื่องที่ข้าทำลายสวนของเจ้า ต้องขออภัยด้วย ข้าได้จัดหาคนฝีมือดีมาปรับปรุงสวนสมุนไพรของเจ้าให้กลับคืนสภาพเดิมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หวังว่าจะสามารถบรรเทาความโกรธของเจ้าได้]

ชิงอวี่ยกยิ้ม คนผู้นี้ซื่อตรงดี! กระทั่งช่วยซ่อมสวนสมุนไพรให้นาง ทองคำหนึ่งล้านแลกกับยาหนึ่งขวด ไม่ว่าจะคิดคำนวณอย่างไรก็รู้สึกว่าลาภลอยยิ่ง!

เป็นคนโง่งมที่มีเงินมากมายจริง ๆ

“พี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” ตั้งแต่เกิดมาชิงเป่ยไม่เคยเห็นทองมากมายขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตนควรทำหน้าตาท่าทางเช่นไร

เขาไม่กลับเรือนเพียงคืนเดียว เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

ชิงอวี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะลูบคางตน “เปล่า เมื่อคืน….. อืม จู่ ๆ ก็มีลาภลอยตกลงมาในสวนก็เท่านั้น”

“จริงหรือ?” ใบหน้าชิงเป่ยดูยังไม่เชื่อ

“เรื่องจริงสิ ข้าจะโกหกเจ้าทำไม?” นางจุปากทีหนึ่งก่อนจะห่อทองทั้งหมดกลับดังเดิม จากนั้นห่อผ้าทั้งห่อก็หายไปไม่เหลือร่องรอยใด

ชิงเป่ยรู้อยู่แล้วว่านางมีมิติส่วนตัว ดังนั้นเมื่อเห็นเช่นนี้จึงไม่แปลกใจ

“เจ้ากลับมาเร็วเชียว?” ชิงอวี่ถามยิ้ม ๆ มือขยี้หัวที่ชุ่มน้ำค้างของเด็กหนุ่มเล่น

ชิงเป่ยยืนนิ่งให้นางขยี้หัวเล่นอย่างว่าง่าย ปล่อยให้นางลูบหัวเขาไปมาราวกับสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง ใบหน้าเขาทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน

“พี่ กลับมาเมื่อครู่ ข้าได้ยินเรื่องบางอย่างเข้า” ชิงเป่ยพลันนึกเรื่องน่าขันบางอย่างขึ้นได้ มุมปากเขายกยิ้ม “ดูท่าพระชายาเอกจะเลิกเก็บตัวในเรือนแล้ว”

“พระชายาเอกหรือ?” ชิงอวี่กะพริบตา “นางเก็บตัวอยู่ในเรือนมานานหลายปี ไม่สนใจเรื่องภายนอกไม่ใช่หรือ?”

จู่ ๆ นางกลับเผยตัวออกมาเช่นนี้ หมายถึงจะมีปัญหาตามมาใช่หรือไม่?

“เป็นเพราะเมื่อวานท่านพ่อบอกกับหัวหน้าคนงานว่าเขาต้องการปรับปรุงเรือนสงบเงียบเสียใหม่ เรือนมีอายุมากเริ่มชำรุดทรุดโทรม พวกเราสองคนอาศัยอยู่ที่นี่อาจไม่ปลอดภัย ท่านพ่อตั้งใจจะย้ายพวกเราไปอยู่เรือนรับรองด้านหน้า” ชิงเป่ยค่อย ๆ เล่าสิ่งที่เขารับรู้เมื่อคืนวานให้ชิงอวี่ฟัง

“หา?” ชิงอวี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกพอใจยิ่ง “เป็นข่าวที่สามารถทำให้เหล่าพระชายารองกับอนุทั้งหลายออกมาโวยวายเลยไม่ใช่หรือ?”

“แน่นอน!” เมื่อเห็นชิงอวี่ดูมีความสุขบนความโชคร้ายของผู้อื่น ชิงเป่ยก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ทว่าเช่นนั้นแล้ว พวกนางต้องออกมาหาเรื่องพวกเราแน่ แต่เหตุใดจึงยังเงียบสงบเช่นนี้…..”

“ข้าถึงได้เล่าให้ท่านฟังอย่างไรว่าพระชายาออกจากเรือนแล้ว หากหัวหน้ายังไม่ออกคำสั่ง มีหรือคนอื่น ๆ จะกล้าลงมือ?”

‘ก๊อก ๆ’

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันสนุกสนานนั่นเอง ที่ด้านนอกก็มีเสียงคนเคาะประตูดังติดต่อกัน

ชิงอวี่เลิกคิ้ว ส่งสัญญาณให้ชิงเป่ยกลับเข้าไปในห้อง จากนั้นนางจึงเดินไปเปิดประตู เห็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลแดง บนใบหน้าส่งยิ้มน่ารักมาให้

นางโค้งคำนับอย่างนอบน้อม จากนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณหนูหก บ่าวเป็นข้ารับใช้ส่วนตัวของพระชายาเอก ชื่อว่าเหยียนเฟย พระชายาสั่งให้บ่าวมาเชิญคุณหนูหกกับคุณชายรองเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันครบกำหนดการถือศีลไม่กินเนื้อสัตว์ของพระชายา ดังนั้นจึงจัดงานเลี้ยงขึ้นมาเป็นพิเศษ คุณชายและคุณหนูทั้งหลายในจวนอ๋องต่างก็ได้รับเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารเจ้าค่ะ”

ชิงอวี่ยิ้ม “ขอบใจเจ้ามาก เรารับรู้แล้ว”

เหยียนเฟยยืนชะงักค้างไป ไม่คิดว่านางพูดไปตั้งเยอะจะได้รับการตอบกลับมาสั้นเพียงเท่านั้น ข้ารับใช้ที่ปกติเจ้าสำนวนพูดเก่งนัก ในตอนนี้กลับพูดอะไรไม่ออก

“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” ชิงอวี่ถามเมื่อเห็นแม่นางน้อยยืนนิ่งไป มองดูแล้วน่าขันเล็กน้อย

เหยียนเฟยพลันได้สติ “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ เหยียนเฟยขอลา”

ในเมื่อทำหน้าที่จบแล้ว นางจึงรีบเดินจากไป

“เพื่ออะไร?” ชิงเป่ยโผล่หน้าออกมาจากด้านใน มองร่างที่เดินจากไปไกลแล้วด้วยความสงสัย

ชิงอวี่ดึงตัวเขาเข้าเรือนไป “พระชายาเอกจัดงานเลี้ยง แล้วยังเชิญทุกคนไปร่วมงานเช่นนี้ ดูท่านางจะทำไปเพื่อแสดงอำนาจในมือ ให้ทุกคนไม่แตกแถว และไม่กล้าคิดเพ้อฝันไปไกล”

“ดูท่าการที่ท่านพ่อใส่ใจพวกเราครั้งนี้คงทำให้นางโกรธเข้าจริง ๆ” นัยน์ตาชิงเป่ยพลันหม่นแสง “ถือศีลไม่กินเนื้อสัตว์หรือ? หึ! ข้ออ้าง”

สตรีชั่วร้ายนางนั้นจะดำเนินรอยตามพระพุทธองค์จริงหรือ? ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมายเช่นนี้ หากไม่ถูกส่งตัวไปนรกก็ดีมากแล้ว

“หากพวกเราไม่ไปร่วมงาน นางคงกล่าวหาว่าเราดูหมิ่นพระชายา ไม่อาจได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกต่อไปแน่” ชิงเป่ยส่ายหัว หัวเราะขมขื่น

“ที่เจ้าว่ามาฟังดูมีเหตุผล” ชิงอวี่กล่าว เคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอเป็นฝ่ายลงมือตัดไม้ข่มนาม[1] ก่อนก็แล้วกัน”

นางเป็นฝ่ายที่ชอบลงมือก่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบปล่อยให้ตนต้องตกที่นั่งลำบาก

ดังนั้น เมื่อเวลาอาหารกลางวันมาถึง ภายในเรือนใหญ่ก็เต็มไปด้วยผู้คนนั่งอยู่มากมาย

พระชายารองสองคนนั่งต่ำลงมาจากที่นั่งหลักซ้ายและขวา ตามมาด้วยอนุทั้งสี่คนนั่งเรียงกันตามลำดับฐานะ ถัดมาเป็นนางบำเรออีกสามคน และมีคุณหนูอีกห้าคนในจวนหย่งอันอ๋องนั่งปิดท้าย

เชิงอรรถ

[1] ข่มขวัญให้เกรงกลัว