บทที่ 22 ซวย ซวย ซวยจริง!

จะมีความซวยเช่นนี้เกิดขึ้นจริงหรือ?

นางยังจำครั้งที่นางเปิดเหลาอาหารครั้งแรกได้ ร้านแห่งนั้นถูกชางไห่อ๋องทำลายเสียไม่มีชิ้นดี

ความเสียหายในครั้งนั้นมูลค่าสูงมากจนนางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เพราะเหลาอาหารแห่งนั้นเป็นกิจการขนาดใหญ่มาก สิ่งของด้านในทุกอย่างนางเลือกสรรจัดแต่งด้วยมือตนเองด้วยความยากเย็น หลังจากทุ่มเททำกิจการมาได้จนมีชื่อถึงขีดสุด แคว้นชิงหลานกับแคว้นหลินยวนกลับมาทำสงครามกันเสียได้

เทพสังหารนั่นชั่วร้ายยิ่งนัก ทำลายร้านอาหารนางเสียสิ้น แล้วเขาว่าอย่างไรรู้หรือไม่?

หรูหราเช่นนี้สิ้นเปลืองยิ่ง?!

คิดว่านางนำเงินตระกูลมาถลุงเล่นงั้นหรือ!? ชั่วร้ายนัก!!

แม้แต่ตอนนี้เมื่อนึกย้อนกลับไปนางยังคงเจ็บปวดอยู่ทุกครา

เยี่ยนหนิงลั่วไม่คิดอะไรมาก เพียงพยักหน้า “ได้ยินว่าเดือนหน้าจะมาถึงชิงหลาน ตรงกับเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญของชิงหลานที่จัดขึ้นทุกสามปีพอดี”

อวี้เซียวหนิงพยักหน้าเห็นด้วย ดูท่านางต้องหาทางป้องกันไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว หากเทพสังหารนั่นมาทำลายร้านรวงของนางอีก นางได้อารมณ์เสียอีกแน่

“เอ๋? นั่นองค์รัชทายาทไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงออกมาข้างนอกเช่นนี้?” เมื่อมองผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็เห็นบุรุษร่างผอมสูงผู้หนึ่งในชุดสีเขียวเข้มกำลังเดินผ่านไป ใบหน้าที่ทั้งสง่างามและอ่อนโยน จึงทำให้เขาดูโดดเด่นยิ่ง

ได้ยินดังนั้น เยี่ยนหนิงลั่วก็เปิดเปลือกตาขึ้นมอง จากนั้นละสายตากลับมา ทำท่าไม่สนใจนัก

อวี้เซียวหนิงไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจึงหันหลับมา “หนิงเอ๋อร์ เจ้าไม่คิดจะลงไปหาองค์รัชทายาทหน่อยหรือ?”

“ไม่จำเป็น ในสำนักก็ได้เห็นหน้ากันมากพออยู่แล้ว”

“ชิ อย่ามาหลอกกันเลย คิดว่าข้าไม่รู้จักเจ้าดีงั้นหรือ? เจ้าต้องกำลังหลบหน้าเขาเป็นแน่” อวี้เซียวหนิงเอ่ยเปิดโปงนาง

เยี่ยนหนิงลั่วตวัดสายตามองนาง “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่าข้าหลบหน้า? คิดว่าเขาอยากเจอหน้าข้าขนาดนั้นเลยหรือ?”

ดูท่าตัวอักษรสักตัวในวันเกิดของสองคนนี้ต้องขัดแย้งกันเป็นแน่ เป็นที่รู้กันว่าคนคู่นี้ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่เด็ก หากต่อไปต้องแต่งงานกันจะอยู่กันอย่างไร?

อวี้เซียวหนิงกุมหน้าผากตน นางเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ของนางเสียจริง!

— จวนหย่งอันอ๋อง —

ชิงอวี่กลับออกจากด้านนอก เพิ่งจะเปิดประตูมาก็พบกับชิงเป่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างประตู หน้าตาดูตกใจลนลานยิ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถาม เลิกคิ้วขึ้น

“พี่” เมื่อเห็นว่านางกลับมาแล้ว เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจโล่งอก “เมื่อครู่ท่านพ่อมา ยืนอยู่หน้าประตูนานมาก ข้าตกใจเกือบตาย”

“งั้นหรือ?” ชิงอวี่ยกยิ้ม “เจ้าจะกลัวทำไม? กลัวว่าเขาจะเห็นว่าเจ้าสามารถยืนได้แล้วน่ะหรือ?”

“อืม” ชิงเป่ยพยักหน้า พูดเสียงเบา “ข้ากลัวว่าหากท่านพ่อรู้เข้า จะทำให้ผิดแผนท่าน”

“โง่จริง” ชิงอวี่ยื่นมือออกไปยีผมเจ้าเด็กคนนี้อย่างเอ็นดู “ถ้าเห็นแล้วอย่างไร? จะเกิดอันใดขึ้นได้เล่า? อย่างมากเจ้าก็บอกเขาว่าเจ้าบังเอิญได้พบปรมาจารย์ที่สามารถรักษาขาพิการของเจ้าได้ เขาจะได้จำไปเช่นนั้น แล้วยังอาจจะสนใจเจ้ามากขึ้นก็เป็นได้!”

“ข้าไม่สนเรื่องพวกนั้น” ชิงเป่ยหัวเราะเยาะ “ท่านไปที่หอเมฆาเคลื่อนเพื่อไปดูอาการของบุรุษผู้นั้นหรือ?”

“อือ ข้าไปตรวจร่างกายเขามา ไม่มีปัญหาใดมากแล้ว หากเขาหายดีเมื่อไหร่ก็ไม่มีเรื่องใดต้องเกี่ยวข้องกับพวกเราอีก” ชิงอวี่พูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะเข้าไปพักผ่อนก่อน เจ้าอย่าได้ขี้เกียจสันหลังยาว ไปบำเพ็ญเพียรต่อเสีย ข้าวางเกราะป้องกันไว้ที่ด้านนอกไม่ให้ผู้ใดมารบกวนเจ้าได้แล้ว”

“อืม เข้าใจแล้ว”

ชิงอวี่เดินกลับมายังห้อง หลังจากปิดประตูก็เดินมานั่งลงบนเตียงตนเองแล้วตั้งจิตนั่งสมาธิ วินาทีที่นางหลับตาลง ภาพรอบกายนางพลันไม่ชัดเจน กายนางเบาดั่งขนนก ราวกับนางได้ก้าวผ่านมาอีกโลกหนึ่ง

ที่แห่งนี้คือมิติส่วนตัวของนาง ยามต้องการบำเพ็ญเพียรนางจะมายังที่แห่งนี้ พลังวิญญาณที่นี่ทั้งหนาแน่น และมีมากกว่าด้านนอกถึงร้อยเท่า

ยามนางกลับเข้ามาถึงเรือน นางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ในร่างนางส่งสัญญาณแผ่วเบาว่านางกำลังจะถึงจุดทะลวงขั้น ดังนั้นจึงรีบเข้าห้องมาทำสมาธิในทันทีที่มาถึง

เมื่อชาติที่แล้ว นางบำเพ็ญวิชาฝังวิญญาณจนถึงแก่นแท้ ตอนนี้นางกลับต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ทว่าเป็นเพราะนางเคยผ่านมันมาแล้ว การบำเพ็ญเพียรใหม่ในครั้งนี้จึงไม่ยากเย็นนัก ทำให้นางบำเพ็ญเพียรได้อย่างรวดเร็ว

พูดเช่นนี้นับว่าน่าขันนัก ตระกูลชิงในชาติที่แล้วของนางเป็นตระกูลที่รักสันโดษมาก เร้นกายจากใต้หล้า เป็นศูนย์รวมเหล่าผู้มีคุณธรรมที่รักษาคนใกล้สิ้นใจและเยียวยาบาดแผลผู้คน มีจิตใจที่โอบอ้อมให้กับทุกคนในใต้หล้า

ทว่าสมบัติลับล้ำค่าสองชิ้นที่ส่งผ่านกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หนึ่งในนั้นคือ ‘วิชาฝังวิญญาณ’มันไม่ใช่วิชาที่ถูกศีลธรรมนัก ในวิชามีสิ่งชั่วร้ายแฝงอยู่มาก ส่วนอีกชิ้นหนึ่งคือ ‘ตำราแพทย์แดนเซียน’ คือตำราแพทย์ที่รวบรวมทุกสิ่งอย่าง ตำนานกล่าวว่าเนื้อหากว่าครึ่งนั้นเกี่ยวกับวิชาหนอนกู่พิษที่ใช้ในการสาปแช่ง

เห็นได้ชัดว่าผู้คนในใต้หล้าถูกหลอกเสียแล้ว เป็นเพราะไม่มีใครเคยเห็นสมบัติลับสองชิ้นนี้มาก่อน

ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องจริง

ในวิชาฝังวิญญาณ มีวัตถุโบราณศักดิ์สิทธิ์อยู่ เมื่อบำเพ็ญเพียรมาหลายพันปีเข้า มันจึงมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง

และในตอนนี้ มันก็กำลังนอนขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งในมิติส่วนตัวของชิงอวี่

เป็นงูสีทองเหลือบเงินตัวหนึ่งกำลังขดเป็นวงกลม ที่ผิวมีลวดลายโบราณนับไม่ถ้วนดูสลับซับซ้อน มันนอนแน่นิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย

ชิงอวี่ถูนิ้วที่หว่างคิ้วตน ก่อนจะเดินไปเคาะหัวเจ้างู

เจ้าก้อนงูพลันสั่นสะท้าน ก่อนที่แสงสว่างจะวาบขึ้น มันค่อย ๆ ลืมตา นัยน์ตาเรียวยาวของมันมีสองสีเช่นกัน คือสีเงินและสีทอง ดูดีทีเดียว

“นายหญิง?” เจ้างูน้อยกะพริบตาปริบ ๆ ดูท่ายังคงไม่ตื่นเต็มตา ก่อนที่มันยิ้มออกมา “นายหญิง ท่านแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!”

ชิงอวี่พ่นลมหายใจออกทางจมูก “เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เจ้ายังไม่ได้ร่างมนุษย์คืนอีก ข้าเริ่มคิดอยากทิ้งเจ้าจริง ๆ แล้ว”

“หวา! ไม่เอา! อย่าทำเช่นนั้นเลยนายหญิง! ข้าพยายามคืนร่างวิญญาณอย่างสุดความสามารถแล้วนะ!” งูน้อยคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร นัยน์ตาสีเงินและทองเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา เป็นภาพที่จี้ใจคนมองนัก

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จู่ ๆ ชิงอวี่ก็ถามขึ้น เจ้างูน้อยไม่อาจตอบกลับได้ทัน “ท่านว่าอย่างไรนะ?”

“เจ้าเป็นจิตวิญญาณอาวุธของข้า ข้าทะลวงด่านแล้วเจ้าไม่สามารถสัมผัสได้เลยหรือ?”

ทันใดนั้น ร่างของมันก็สว่างวาบขึ้น มันหมุนหัวมองซ้ายขวาเล็กน้อย ก่อนที่ร่างของมันจะขยายใหญ่ขึ้น จากขนาดเท่าหนึ่งหัวแม่โป้งผู้ใหญ่ กลายเป็นนิ้วหัวแม่โป้งที่เรียงกันหลายนิ้ว

“หือ? ข้าตัวโตขึ้นหรือ?!” ใบหน้าเจ้างูน้อยดูตกใจ มันบิดตัวไปมา สะบัดหางซ้ายทีขวาที จากนั้นเลื้อยขึ้นมาบนมือชิงอวี่ แล้วใช้หัวถูที่หลังมือนาง “นายหญิงดูสิ! ข้าตัวใหญ่ขึ้นแล้ว ฮ่า ๆ…..”

“ปัญญาอ่อน” ชิงอวี่พูดแล้วกลอกตา “พอกลับร่างจริงแล้ว ดูท่าสติปัญญาของเจ้าจะลดลงจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนด้วยเช่นกัน”

“ฮึ่ม! ข้าฉลาดจะตาย! ท่านมองอย่างไรว่าข้าปัญญาอ่อน!?” เจ้างูน้อยส่งเสียงไม่พอใจ มันหันหน้าหนีนางด้วยความขุ่นเคือง

ชิงอวี่ลูบร่างที่เย็นเฉียบของมัน “ข้าไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรั้งเจ้าอยู่ ข้าจะปรุงยาสักหนึ่งชุดให้เจ้าคืนร่างวิญญาณ มิเช่นนั้นหากผมข้าหงอกทั้งหัวแล้ว เจ้าก็คงยังเป็นงูน้อยอยู่เช่นนี้!”

“จริงหรือ? ขอบคุณนายหญิง!”

เจ้างูน้อยนี่กำลังถดถอยลงไปอย่างที่นางคิด เมื่อได้ยินว่าจะมียาให้กิน มันก็ดีใจร่าเริงในทันที ใช้ตัวถูเข้าที่มือนางราวกับเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง

นัยน์ตาชิงอวี่พลันโศกเศร้า เด็กหนุ่มผมสีทองที่เคยมองว่าตนเก่งกาจเหนือผู้ใดในใต้หล้า มีชีวิตชีวาและความกล้าเหลือล้น หากไม่ใช่เพราะนาง เขาก็คงยังใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องใด

ทว่าตอนนี้ เขากลับไม่สามารถคงร่างมนุษย์ที่เป็นร่างพื้นฐานของตนเองไว้ได้ด้วยซ้ำ…..

“นายหญิง ท่านอารมณ์ไม่ดีอีกแล้วหรือ?” ถึงสติปัญญาของเจ้างูน้อยจะมีไม่สมบูรณ์นัก ทว่าความสามารถในการจับความรู้สึกของมันว่องไวมาก มันชูหัวน้อย ๆ ของมันขึ้น ใช้ดวงตาเรียวยาวของมันจ้องมองเข้าไปในนัยน์ตานางอย่างใสซื่อ

“เปล่า” ชิงอวี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ นางส่ายหน้าก่อนกล่าว “เจ้าไปพักผ่อนให้ดีเถอะ อีกสักพักข้าจะมาหาเจ้าใหม่ เอายาที่ปรุงแล้วมาให้เจ้า”

“อือฮึ ได้เลยนายหญิง” เจ้างูน้อยแลบลิ้นเลียมือนาง จากนั้นกระโจนลงจากมือนางอย่างว่าง่าย กลับไปขดตัวเป็นวงอยู่ที่มุมเงียบ ๆ อีกครั้ง

ชิงอวี่เพิ่งจะทะลวงด่าน กลิ่นอายของนางยังไม่มั่นคงนัก นางอยู่ในมิติของนางอีกสักพักก่อนที่จะออกมา

นางอยู่ในมิตินั้นไม่นาน ทว่าด้านนอกกลับมืดเสียแล้ว ชิงเป่ยไม่ได้อยู่ในห้องอีกต่อไป เด็กคนนั้นมีความคิดเป็นของตนเองตั้งแต่ยังเด็ก เรื่องต่าง ๆ ของชิงเป่ย ชิงอวี่มักไม่คิดจะยื่นมือเข้ายุ่ง

คืนนี้พระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ส่องแสงสีเงินเหลือบขาวอ่อน ๆ ลงมา สวยงามจับตายิ่งนัก

มุมปากชิงอวี่ยกขึ้นเล็กน้อย จู่ ๆ อารมณ์นางพลันดีขึ้น นางกำลังคิดจะออกไปเดินเล่น ทว่าทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งลอยข้ามท้องฟ้ายามค่ำคืนมาด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะร่วงลงมาในสวนดังโครม

ที่ไหนมีให้ร่วงลงมาไม่ร่วง กลับมาร่วงบนสวนสมุนไพรของนางที่นางรักและดูแลเป็นอย่างดี คนผู้นั้นทับสมุนไพรกว่าครึ่งของนางจนแบนราบไปกับพื้นดิน

รอยยิ้มนางยังคงค้างอยู่บนริมฝีปาก ยามได้ยินเสียงฝีเท้า นัยน์ตานางพลันตวัดไปมองทันที

เงาร่างนั้นหล่นตุ้บลงมาไม่มีแม้แต่เสียงร้องโอดโอย ทว่ากลับนอนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับศพที่เย็นชืด

ในที่สุดชิงอวี่ก็ทนไม่ได้ นางเอ่ยขึ้น บนใบหน้ามีรอยยิ้มเศร้าแข็งค้าง “พี่ชาย ลุกขึ้นเถอะ ท่านจะนอนอยู่ตรงนั้นอีกนานแค่ไหน?”

ไร้เสียงตอบรับ

นางจึงยกเท้าก้าวไปยังร่างที่นอนนิ่งอยู่ ลองใช้เท้าเขี่ย ๆ ร่างนั้นอยู่หลายคราแล้วยังไร้เสียงตอบรับ ดูท่าจะไม่ได้แกล้งเสียด้วย

“สลบไปแล้วหรือ?” ชิงอวี่แหวกผมที่ยุ่งปรกหน้าของคนผู้นั้นออก ก่อนจะพบว่าบนใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว บวมเป่งไปหมด เพียงแค่มองก็เจ็บแทนแล้ว

นางยืดตัวขึ้นยืนนิ่งอยู่พักหนึ่ง เอาเถอะ รอให้มีคนมาเจอพรุ่งนี้แล้วพาตัวออกไปก็ได้ นางไม่อยากหาเรื่องเข้าตัว

นางมองสวนสมุนไพรที่ถูกทับจนราบด้วยสายตาเจ็บปวด ซวยแท้…..

“อะฮ่า! มีผู้สมรู้ร่วมคิดหรือนี่!” ทันใดนั้นน้ำเสียงวิตถารก็ดังเข้าหูนาง

ชิงอวี่หันไป พบว่ามีคนสองคนกำลังเดินตรงเข้ามา อาวุธในมือพวกเขาส่องประกายจ้าเสียจนแทบทำคนตาบอด

“ฮี่ ๆ เป็นสาวงามเสียด้วย? ให้ข้าผู้นี้…..” เมื่อเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาถึงเพิ่งเห็นว่านางไม่ใช่เพียงสาวงามเท่านั้น ทว่าเป็นโฉมสะคราญงามราวเทพเซียน นาง….. งามเกินไปแล้ว!

มุมปากชิงอวี่พลันแข็งค้าง มารดามันเถอะ คืนนี้นางต้องซวยถึงปานไหนกัน?

“พวกท่านตามคนผู้นี้มางั้นหรือ? รบกวนพวกท่านรีบพาตัวเขาออกไป อย่ามาทำให้บ้านของข้าต้องแปดเปื้อน” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ

ชายสองคนนั้นไม่ได้หน้าตาย่ำแย่มาก ทว่ากลับแสดงสีหน้าต่ำช้าไปสักหน่อย ทำให้มีกลิ่นอายคนชั่วติดตัว

“สาวงามกล่าวได้ถูกต้อง เจ้านี่ทำให้นัยน์ตาน้องสาวต้องแปดเปื้อนแล้ว สมควรตาย” หนึ่งในนั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย “รอข้าจัดการเจ้านี่เสร็จเมื่อไหร่จะมาปลอบใจน้องสาวเอง”

“ช่วย….. ด้วย….” เสียงบุรุษอ่อนแรงดังขึ้นจากร่างที่ใบหน้าถูกตีช้ำจนมองไม่เห็นเค้าเดิม เขาพยายามเปิดเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาสีดำมุ่งมั่นแสดงให้เห็นว่าเขาพยายามกดความเจ็บปวดไว้อย่างกล้าหาญเพียงไร เขาถูกพิษ ทว่ายังสามารถคงสติไว้ได้ เห็นได้ชัดว่ามีจิตใจเข้มแข็งมาก

ชิงอวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย นั่งลงมองเขา “แต่ท่านทำลายสวนสมุนไพรของข้า และข้าโกรธมาก”

ที่ข้าพูดไปหมายความว่า แท้จริงแล้วข้าช่วยท่านได้ ทว่าในเมื่อท่านทำเรื่องที่ไม่อาจยกโทษที่ทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้นลงไป ข้าจึงไม่มีอารมณ์อยากช่วยเหลือท่าน

“ข้า….. ชดใช้ให้เจ้าได้…..”

“เช่นไร?”

“หนึ่งล้าน….. พอหรือไม่?”

“ท่านคิดว่าข้าขาดแคลนเงินตรางั้นหรือ?”

“เป็นทอง!”

“เช่นนั้นตกลง”

ชิงอวี่พยักหน้าอย่างเสียมิได้ จากนั้นยกมือขึ้นสกัดจุดบนร่างเขาเพื่อหยุดพิษไม่ให้แล่นไปทั่วร่างเป็นการชั่วคราว

ทันใดนั้น ชายหนุ่มสองคนที่ยืนยิ้มชั่วร้ายอยู่พลันสัมผัสได้ว่าสาวงามตรงหน้าไม่ใช่แค่สาวงามธรรมดาเสียแล้ว