บทที่ 21 ไฟโลหิตสีแดงเหลือบทอง

“ขอบใจเจ้ามาก” โหลวจวินเหยายั้งอารมณ์ไว้ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะจดจำหนี้บุญคุณในครั้งนี้ไว้”

ชิงอวี่อดหัวเราะไม่ได้ “ไม่ใช่ข้าหรือที่เป็นคนติดหนี้บุญคุณท่าน? เป็นข้าที่ชิงแก่นเพลิงเยือกแข็งของท่านมา”

“เรื่องนั้นมันคนละเรื่องกัน บุญคุณที่ช่วยรักษาชีวิตข้าไว้ สมุนไพรเพียงหนึ่งกอไม่อาจทดแทนกันได้” โหลวจวินเหยาอารมณ์ดียิ่ง รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งกดลึกขึ้น “ข้าถูกอาการนี่ฉุดรั้งมานานหลายปี ทำลายร่างกายจนอ่อนแอ หากต้องทนทุกข์ทรมานจากมันอีกหลายปี คงไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้”

ริมฝีปากชิงอวี่ยกยิ้มขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว “ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่ข้าจะสั่งยาให้ท่าน พื้นฐานร่างกายท่านค่อนข้างแข็งแรง ไม่ช้าต้องหายดีแน่นอน”

มองเพียงปราดเดียวนางก็รับรู้ได้ว่าตัวตนของบุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดา ทั้งยังต้องเป็นคนที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าร่างกายตนผิดปกติ ย่อมต้องรับไม่ได้อย่างถึงที่สุด!

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีขาวดูสง่างาม ยามไม่ยิ้มยังดูงดงามมากพออยู่แล้ว หากแต่ยามเมื่อริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นราวกับแสงตะวันส่องสว่างในห้องมืดนี้เลยทีเดียว

โหลวจวินเหยายิ้ม “เรื่องนั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

ไป๋จือเยี่ยนยืนมองคนทั้งสองอยู่ที่ด้านข้าง คนทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสงบสุข ใบหน้าไป๋จือเยี่ยนพลันแปลกไป

นายท่าน….. พิษถูกล้างออกไปหมดแล้วจริงหรือ? เหตุใดท่าทางการพูดเช่นนั้นไม่เหมือนกับท่านเลยแม้แต่นิด?

นิสัยของนายท่านคือ “สวรรค์และปฐพีแห่งนี้ ข้าคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!” ทั้งเย่อหยิ่งและไม่รู้จักความสุภาพอ่อนโยนแม้แต่น้อย ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการพูดอ้อมค้อมดั่งสุภาพชน วันนี้เขาถูกสิ่งใดเข้าสิงกันแน่?

หรือว่า…..

สายตาเขาพลันหยุดลงที่ใบหน้างดงามเย้ายวนหาที่ได้เปรียบของเจ้าเด็กตรงหน้า

หรือเป็นเพราะเจ้าเด็กนี่หน้าตาดีมากงั้นหรือ?

“ข้าสงสัยนักว่าคุณชายได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากที่ใด? อายุยังน้อย ทว่ามีความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องการแพทย์มากเท่านักปรุงยาที่มีอายุกว่าครึ่งร้อย อาจารย์ของเจ้าคงจะเป็นผู้ที่โดดเด่นมากเป็นแน่” โหลวจวินเหยาพูดอ้อมค้อมก่อนที่ในประโยคสุดท้ายจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

เจ้าเด็กคนนี้ท่วงท่าดี วิชาแพทย์เยี่ยม ทั้งยังรอบรู้เรื่องคาถาสาปแช่ง ความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ หากไม่ดึงมาเป็นพวกแล้ว ไม่น่าเสียดายพรสวรรค์หรอกหรือ?

ชิงอวี่หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนกล่าว “ข้าไม่ได้อยู่สำนักหรืออยู่ในตระกูลใดทั้งนั้น ความรอบรู้และทักษะทั้งหมดที่ข้ามี ข้าเรียนรู้มันด้วยตนเอง”

ทั้งนายท่านและลูกน้องประหลาดเหมือนกันไม่มีผิด ต่างคนต่างถามคำถามเดียวกันกับนาง ที่โลกแห่งนี้หานักปรุงยาได้ยากหรืออย่างไร? บุรุษสองคนนี้จึงพยายามค้นหาผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนาง ทันทีที่เห็นว่านางมีวิชาแพทย์อันล้ำลึก??

โชคไม่ดี นางไม่มีตระกูลหรือสำนักทรงอำนาจเช่นนั้น

“เป็นการพบกันเพียงครั้งเดียวที่ข้าได้รับการสืบทอดความรู้ด้านการแพทย์ ข้าจึงสามารถเรียนรู้มาจนถึงขั้นนี้ได้ และข้าไม่มีอาจารย์”

ก่อนหน้าที่นางเคยบอกเขา ไป๋จือเยี่ยนดูท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางจึงอยากพูดให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย เด็กคนนี้ดูแล้วไม่น่าพูดโกหก

แต่เช่นนี้ไม่โชคดีไปหน่อยหรือ? ได้รับการสืบทอดวิชาแพทย์เช่นนี้เป็นโอกาสที่เหล่านักปรุงยาทั้งหลายหวัง ว่าในชั่วชีวิตนี้จะได้รับกันทั้งสิ้น

ทว่ายังมีอีกเรื่องที่เขายังสงสัยอยู่

“เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้คุณชายเป็นนักปรุงยาระดับใด?”

ระดับของเขาน่าจะไม่ต่ำมากกระมัง

เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่ไป๋จือเยี่ยนเองก็สงสัย เขาไม่อาจล่วงรู้ถึงขั้นการบำเพ็ญเพียรหรือระดับนักปรุงยาของเด็กคนนี้ได้เลย หากระดับสูงกว่าเขามาก นั่นก็หมายความว่าเด็กคนนี้คงมีวิธีการบางอย่าง ที่ใช้ปกปิดระดับการปรุงยาของตนไว้

เมื่อถูกถามเช่นนั้น ชิงอวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นกะพริบตาหนึ่งครั้งก่อนจะเปิดปากถาม “ระดับหรือ….. เขาประเมินกันอย่างไร?”

บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบขรึมลงในทันใด

เจ้าเด็กนี่กำลังล้อเล่นอยู่หรือ?

หรือเจ้าเด็กคนนี้จะไม่ได้มาจากโลกนี้กันแน่ ไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องระดับหรือขั้นพลังเลยอย่างนั้นหรือ??

ไป๋จือเยี่ยนกระแอมออกมาสองครั้งเพื่อบรรเทาบรรยากาศน่าอึดอัดลง “คุณชายชิง….. เอ่อ….. ดูท่าจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เราประเมินกันเช่นนี้ ในฐานะที่แต่ละคนต่างก็มีความสามารถแตกต่างกัน ดังนั้นยามเมื่อเด็กทารกเกิดมาจะได้รับการยืนยันความสามารถแรกเริ่ม บางคนมีพรสวรรค์ด้านการปรุงยา บางคนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์”

“ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ในด้านการปรุงยาหรือการฝึกยุทธ์ ก็ถูกแยกระดับออกเป็นระดับสูงและระดับต่ำ อย่างเช่นนักปรุงยาก็มีระดับขั้นคือ ขั้นทองคำ ขั้นเงิน ขั้นสำริด สูงจากระดับนั้นไปอีกจะเป็น ขั้นทองคำขาว ขั้นเงินขาว ขั้นสำริดเขียว เรียงระดับสูงไปต่ำ ขั้นสำริดคือระดับต่ำสุด เมื่อปรุงยาจำต้องใช้ไฟอสูรหรือไฟที่มีความรุนแรงเท่าเทียมกัน ทว่าเมื่อฝึกปรือฝีมือถึงระดับนักปรุงยาขั้นเงิน จะสามารถรวบรวมไฟโลหิตของตนเองขึ้นมาได้”

หลังจากได้ฟังคำอธิบายแล้ว ชิงอวี่จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้

ที่โลกแห่งนี้ประเมินระดับนักปรุงยากันเช่นนี้นี่เอง

“เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่ระดับใด?” ชิงอวี่มองหน้าบุรุษตรงหน้าแล้วเอ่ยถาม นางรู้ว่าเขาเป็นนักปรุงยา

ไป๋จือเยี่ยนยิ้ม ที่ปลายนิ้วพลันปรากฏลูกไฟสีเงิน “ข้าเพิ่งถึงขั้นเงินขาว”

“เช่นนั้นก็นับได้ว่าเป็นนักปรุงยาระดับสูงได้แล้วสินะ” ชิงอวี่พูดพร้อมพยักหน้า

“ความสามารถด้านการแพทย์ของคุณชายชิงสูงกว่าข้ามากนัก ข้าคิดว่าคุณชายน่าจะอยู่ที่ขั้นทองคำขาว…..” รอยยิ้มบนใบหน้าไป๋จือเยี่ยนพลันแข็งค้าง ลูกไฟสีแดงที่ฉายสว่างโชติช่วงทำให้เขาถึงกับชะงักค้างไป

“ไฟของขั้นทองคำขาว….. หน้าตาเป็นเช่นนี้หรือ? ทว่าดูจากที่เจ้าอธิบายมา น่าจะเป็นสีทองไม่ใช่หรือ…..” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย สายตาก็มองลูกไฟสีแดงเหลือบทองที่ปลายนิ้วตน

เจ้าลูกไฟนี้อยู่กับนางมาตั้งแต่ชาติที่แล้วจนมันมีจิตวิญญาณขึ้นมา การปลดปล่อยมันออกมาเช่นนี้ก็เหมือนกับปล่อยเด็กน้อยที่ถูกขังไว้นานออกมา มันทั้งเริงร่าและมีพลังเต็มเปี่ยม ลอยหมุนวนอยู่รอบมือนาง มีกระเด้งกระดอนไปมากับมือนางเป็นระยะ

ไป๋จือเยี่ยนตกตะลึงจนไม่อาจกล่าวคำใด

“ไฟโลหิตของเจ้า หรือว่าจะมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง?” ถึงโหลวจวินเหยาจะไม่ใช่นักปรุงยา ทว่าก็เคยเห็นไป๋จือเยี่ยนบำเพ็ญและปรุงยามาหลายครั้ง ไฟโลหิตของเขาไม่ได้เต็มไปด้วยพลังชีวิตเช่นนี้ ส่วนเรื่องสีของลูกไฟนั้น….. เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย

เมื่อเห็นว่าเขามองออก ชิงอวี่จึงไม่ปิดบัง “ถูกต้อง เจ้าหนูนี่อยู่กับข้ามานานแล้ว ทั้งยังรู้จักอารมณ์เช่นเดียวกับมนุษย์ได้อีกด้วย”

เป็นอย่างที่คิด นางไม่น่าปล่อยมันออกมาเลย เจ้าลูกไฟตัวน้อยหมุนวนรอบนิ้วนางจากนิ้วหนึ่งไปอีกนิ้วหนึ่งอย่างมีความสุข

มันยังโลดแล่นต่อไปอีกสักระยะ ทว่าเมื่อสัมผัสได้ว่านายหญิงของมันเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย มันก็หยุดยั้งตนเอง ลงมานอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่า มือของนางไม่ไหวติงอีก

ไป๋จือเยี่ยนทำท่าราวกับเพิ่งรับการโจมตีอันหนักหน่วงไป ใบหน้าเขาทั้งโศกเศร้าและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก “การถูกเปรียบเทียบกับผู้อื่นเช่นนี้….. ช่างน่าขุ่นเคืองยิ่ง…..”

อย่างไรเขาก็นับเป็นอัจฉริยะในสำนักเซียนแพทย์ ทว่าเมื่อเทียบกับเจ้าเด็กนี่แล้ว เขาก็แพ้อย่างย่อยยับ

สายตาโหลวจวินเหยาลึกล้ำมากขึ้น “คุณชายชิงเองก็มาจากแดนเมฆาสวรรค์หรือ?”

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่นางได้ยินชื่อไม่คุ้นหูนี้

ชิงอวี่เหลือบมองไป๋จือเยี่ยน ครั้งแรกเป็นเขาที่ถามเช่นนี้

“ข้าไม่รู้จักแดนเมฆาสวรรค์ที่พวกท่านพูดถึง ข้ารู้เพียงว่าที่นี่คือชิงหลาน และข้าก็เกิดและเติบโตที่นี่”

“สถานที่นี้เป็นเพียงสถานที่ที่อยู่ในดินแดนระดับล่าง” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ โหลวจวินเหยาจึงอธิบายอย่างใจเย็น “สถานที่ที่เจ้าอาศัยอยู่เรียกว่าแดนมุกหยก ระดับการบำเพ็ญตนนับว่าต่ำ ดินแดนถูกแบ่งออกเป็นสามแคว้นคือ ชิงหลาน หลินยวน และอู่ชาง”

“เหนือดินแดนแห่งนี้คือแดนธาราขาว เป็นดินแดนระดับกลาง การบำเพ็ญเพียรของคนธรรมดาที่แดนนี้เทียบเท่าได้กับปรมาจารย์ของแดนมุกหยก อีกดินแดนหนึ่งที่มีระดับสูงกว่าคือแดนเมฆาสวรรค์”

ชิงอวี่พยักหน้าและเลิกคิ้วขึ้น “ดูท่าพวกท่านจะมาจากแดนเมฆาสวรรค์?”

“ถูกต้อง”

“ข้ามดินแดนมาถึงสองดินแดนในคราเดียวเช่นนี้คงจะสูญเสียกำลังในการบำเพ็ญเพียรไปไม่น้อย หรือพวกท่านกำลังหนีการตามล่าจากศัตรูอยู่งั้นหรือ?” ชิงอวี่เอ่ยถาม มือน้อยลูบคางตนสีหน้าครุ่นคิด

“จะกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้!” โหลวจวินเหยายิ้ม “ร่างกายข้าอ่อนแอลงเช่นนี้ หากเจอศัตรูเข้าย่อมหมายถึงถูกสังหาร เช่นนั้นแล้ว มาหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ห่างไกลไม่เป็นการดีกว่าหรือ?”

“อืม ยืดหยุ่นได้นับว่าไม่เลว”

ไป๋จือเยี่ยน “…..”

ย่อมหมายถึงถูกสังหาร….. แสร้งทำเป็นอ่อนแอช่วยเหลือตนเองไม่ได้เช่นนี้ ไม่มากไปหน่อยหรือ…..

แล้วยังเอ่ยคำพวกนั้นขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังอีก เกือบจะหลอกข้าไปได้อีกคน

ทว่า…..

นัยน์ตาพินิจพิเคราะห์ของไป๋จือเยี่ยนพลันละจากคนสองคนที่กำลังคุยกันอย่างออกรส จากนั้นจึงหาบทสรุปให้กับตนเอง

โหลวจวินเหยาแสดงออกถึงความชอบพอในตัวเจ้าเด็กนี่อย่างแน่นอน

เพราะเขาไม่เคยเห็นนายท่านช่างพูดกับผู้ใดเช่นนี้มาก่อน

——————-

อีกด้านหนึ่ง ณ เมืองหลวง…..

เยี่ยนหนิงลั่วและเยี่ยนซีเฉิงทะเลาะกันจนต้องแยกไปคนละทาง

ตั้งแต่ทั้งคู่ยังเล็ก เยี่ยนซีเฉิงรักและทะนุถนอมนางที่สุด ไม่เคยขึ้นเสียงกับนางเลยสักครั้ง

หากแต่ในครั้งนี้ เป็นเพราะคนสองคนที่ไม่มีความสำคัญอันใด เขากลับต่อว่านางอย่างหนัก ด้วยความโกรธ เยี่ยนหนิงลั่วจึงตัดสินใจว่าจะไม่กลับจวนอ๋อง

ถึงนางจะไม่ค่อยได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงบ่อยนัก ทว่าก็ยังมีเพื่อนสนิทอยู่บ้าง ธิดาคนสุดท้องของเสนาบดีฝ่ายซ้ายคือหนึ่งในเพื่อนสนิทของนาง

สตรีมีชื่อในเมืองหลวงนั้น นอกจากเยี่ยนหนิงลั่วที่ได้รับการขนานนามว่ามีรูปโฉมงดงามแล้ว อวี้เซียวหนิงเองก็เป็นคุณหนูคนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถและรูปโฉมงดงามเช่นกัน

รับรู้กันว่านางเป็นสตรีที่เชิดหน้าชูตาของเมืองหลวงคู่กับเยี่ยนหนิงลั่ว

อวี้เซียวหนิงมีดวงหน้าเล็กผิวพรรณงดงาม รูปหน้าดั่งเมล็ดซิ่ง (1) ที่คางแหลมมีรอยบุ๋มเล็กน้อยดูเมีเสน่ห์พริ้มพราย นัยน์ตาเป็นประกายแฝงแววฉลาดล้ำลึกที่ราวกับสามารถสื่อความรู้สึกออกมาได้ เป็นหญิงสาวที่ทั้งสง่างามและฉลาดล้ำเลิศ

ในตอนนี้ ริมฝีปากบางสีลูกอิงเถา (2) โค้งขึ้นน้อย ๆ ดูท่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกสนุกนักหนา เมื่อเห็นเพื่อนรักของตนนั่งหน้าหงอยไม่มีความสุขอยู่ตรงหน้า

“ใครกันหนอที่ทำให้โฉมสะคราญของเราโกรธเกรี้ยวได้ถึงเพียงนี้? ช่างกล้าหาญเสียจริง บอกข้ามา ข้าจะจัดการพวกเขาให้เจ้าเอง”

เยี่ยนหนิงลั่วกลอกตามองเพื่อน “ยังจะหยอกข้าเล่นอีกหรือ?”

“ข้าทำเช่นนั้นตอนไหน? ไม่ใช่ว่าข้ากำลังเป็นห่วงเจ้าหรอกหรือ!?” อวี้เซียวหนิงปิดปากหัวเราะเสียงเบา “ไอ้หยา อย่าอารมณ์เสียไปเลย หาได้ยากนักที่พวกเราจะหาเวลามานั่งรำลึกความหลังได้เช่นนี้ ตั้งแต่ที่เจ้าเข้าเป็นศิษย์หญิงสำนักละอองหมอก ข้าก็ฝึกปรือฝีมือตามเจ้าได้ยากขึ้นทุกที”

เยี่ยนหนิงลั่วพ่นลมหายใจเย้ยหยันออกมา “เจ้าอิจฉาข้าอีกแล้วงั้นหรือ ข้าจะไปมีความสามารถมากเท่าเจ้าได้อย่างไร!? แคว้นชิงหลานของเรามีแต่ต้องพึ่งพาเจ้า!”

แม้ว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเป็นขุนนางอ่อนแอผู้หนึ่ง ทว่าบุตรธิดาของเขานั้นมีฝีมือกันทุกคน คนผู้นี้คือธิดาคนสุดท้องของเขา อัจฉริยะล้ำเลิศที่เกิดมาเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยน

กิจการกว่าครึ่งในแคว้นชิงหลานอยู่ในกำมือของอวี้เซียวหนิง อาจพูดได้ว่านางเป็นผู้กุมชะตาเศรษฐกิจในแคว้นชิงหลานก็ว่าได้

ทั้งรูปงามทั้งหาเงินเก่งเช่นนี้ มีแต่สวรรค์ที่ชายหนุ่มหลายคนต้องชื่นชมนาง

“ได้ยินมาว่าแคว้นหลินยวนจะส่งองค์หญิงมาเรื่องการแต่งงานหรือ?” อวี้เซียวหนิงเลิกคุยเล่น ก่อนจะแสดงน้ำเสียงจริงจัง

“เรื่องการแต่งงาน? นั่นแค่เปลือกนอก ไม่ใช่จุดมุ่งหมายที่แท้จริง” เยี่ยนหนิงลั่วตอบพร้อมพ่นลมหายใจ “ผู้ที่มาไม่ได้เป็นเพียงองค์หญิงธรรมดา แต่เป็นองค์หญิงสุดที่รักของแคว้นหลินยวน องค์หญิงเก้าซินเหยียน เจ้าคิดว่าเยว่มู่เฉินที่ปกป้องน้องสาวตนเช่นนั้นจะยอมปล่อยให้น้องสาวตนเองแต่งออกมาแคว้นอื่นจริงหรือ? ถึงตอนนั้นพระอาทิตย์คงได้ขึ้นทางทิศตะวันตก!”

อวี้เซียวหนิงลูบคาง “นั่นก็จริง ทว่าเช่นนั้น….. พวกเขาจะมาเพื่ออะไร?”

หรือจะเป็นเพราะแคว้นสงบสุขมานานจึงว่างกันมาก คิดจะก่อสงครามงั้นรึ?

“เจ้ามัวแต่วุ่นวายหาเงิน คงไม่ได้ยินข่าวเรื่องที่ชางไห่อ๋องตื่นขึ้นแล้ว เขาจะเป็นคนมาส่งเยว่ซินเหยียนถึงที่นี่”

“ไม่….. ไม่จริงน่า!” รอยยิ้มมุกปากของอวี้เซียวหนิงพลันแข็งค้าง

เชิงอรรถ

เมล็ดซิ่ง คือ อัลมอนด์

อิงเถา คือ เชอร์รี