ตอนที่ 41 บอกทุกคนไปว่าเธอร่วมหลับนอนกันหรือยัง
ตอนที่ 41 บอกทุกคนไปว่าเธอร่วมหลับนอนกันหรือยัง
หลิวกุ้ยอิงไม่เห็นด้วยกับคำพูดของโจวลี่หรงและโต้กลับด้วยความโกรธ “ใครทำลายใคร? คุณไม่รู้หรอกว่าความบริสุทธิ์ของเด็กสาวมีความสำคัญแค่ไหน ถ้ามีการหย่าร้างตอนนี้ ชื่อเสียงลูกสาวของฉันต่างหากที่จะถูกทำลาย!”
หล่อนรู้ว่าโจวลี่หรงดูหมิ่นพวกเขาในฐานะคนในชนบท และกลัวว่าญาติที่ยากจนเหล่านี้จะลากเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยลงเหวในอนาคต
หล่อนวางแผนไว้หมดแล้วว่าวันนี้จะพูดคุยกับแม่สามีและน้องสามีให้ชัดเจนหลังจากกลับไป โดยบอกพวกเขาว่าไม่ควรพึ่งพาหลินเซี่ยในอนาคต และพวกเขาควรละทิ้งโควตาตำแหน่งงานเหล่านั้น
“ถูกต้อง หากครอบครัวของแกยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ เราจะไม่เพียงแค่นั่งเฉย ๆ โลกนี้มีกฎเกณฑ์อยู่เสมอ ครอบครัวแกมีงานที่มั่นคงในเมืองไม่ใช่หรือ? ครอบครัวของเราจะไปที่เมืองและขอพบกับผู้นำของพวกแก แม้ฉันจะไม่ได้อาศัยอยู่ในเมือง แต่หลานสาวของฉันอยู่ที่นั่น และหล่อนก็รู้เส้นทางดี เราจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ในเมืองจัดการหากว่าจำเป็น”
ในประเด็นนี้ ตระกูลหลินมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าประหลาด
แม้ว่าจุดประสงค์จะแตกต่าง แต่เป้าหมายนั้นเหมือนกัน
วัตถุประสงค์หลักของพวกเขาชัดเจน การแต่งงานครั้งนี้จะต้องไม่ถูกยกเลิกไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
หากการแต่งงานครั้งนี้ล้มเหลว มันคงเป็นเหมือนการทุบหม้อข้าวตัวเอง
โจวลี่หรงคิดว่าตัวเองเป็นคนเมืองและแตกต่างจากคนในชนบท แม้จะมีส่วนร่วมในสหพันธ์สตรี แต่หล่อนสู้กับแม่เฒ่าหลินไม่ได้เลยในเรื่องการโต้เถียง
พ่อแม่ของหล่อนล้วนเป็นคนที่ได้รับการศึกษา จนไม่ได้กลับมาอยู่ในชนบทมานานหลายปี ตอนนี้กลับถูกแม่เฒ่าหลินต่อว่า มันทำให้หล่อนเจ็บใจแทบบ้า
ครอบครัวของเฉินเจียเหอตั้งคำถามกับหล่อน แม้จะต้องการโต้แย้งเพียงใด แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าจะหักล้างข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้อย่างไร
หลินเซี่ยมองแม่เฒ่าหลินที่กำลังขุ่นเคืองและพ่นน้ำลายด้วยความโกรธ เธอก้าวออกไปปรามอีกฝ่ายทันที “คุณย่า หยุดเถอะค่ะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”
อย่างไรก็ตามแม่เฒ่าหลินเพิกเฉยต่อคำพูดของเธอโดยสิ้นเชิง แล้วยังดึงเธอเข้ามา “เซี่ยเซี่ย มานี่หน่อย”
นางกวาดตามองผู้คนในลานบ้านและพูดว่า “บอกทุกคนที่นี่ให้ชัดเจนไปเลยว่า เฉินเจียเหอได้ร่วมหลับนอนกับหลานแล้วหรือยัง?”
หลินเซี่ย “!!!”
หญิงชราแซ่หลิน ทำไมถึงได้ถามอย่างเถรตรงขนาดนี้?
หลินเซี่ยรู้สึกเขินอาย ขณะที่ใบหน้าแดงก่ำ
ผู้เฒ่าหลินเห็นว่าเธอนิ่งเงียบ จึงบีบข้อมือของเธออย่างแรง “พูดมา พวกเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันหรือยัง?”
การบีบข้อมือนี้มีเจตนาเป็นภัยคุกคามอย่างชัดเจน
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำ แต่ก็ต้องบอกไปว่าทำ
หลินเซี่ยหายใจไม่ออกด้วยความเจ็บปวด
หากผู้เฒ่าหลินบีบข้อมือเธอแบบนี้ในวันปกติ เธอคงจะโกรธแน่นอน
แต่เวลานี้แม่เฒ่าหลินมาเพื่อสนับสนุนเธอ
ไม่ว่าแรงจูงใจของนางจะเป็นอะไร แต่ท้ายที่สุดก็เพื่อปกป้องการแต่งงานของเธอ เธอจึงไม่อาจขัดแย้งกับแม่เฒ่าหลินต่อหน้าครอบครัวของสามีได้
เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินคำถามของหญิงชรา เขาก็มองอย่างประหม่าพลางกลั้นหายใจ
เขากลัวว่าเธอจะบอกความจริงต่อหน้าครอบครัวทั้งสอง
ถ้าเธอบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในฐานะสามีภรรยา มันจะทำให้แม่ของเขาใช้ข้ออ้างดังกล่าวมาทำให้สิ่งต่าง ๆ ยากขึ้นกว่าเดิม
“ค่ะ” หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างเขินอาย
เฉินเจียเหอเหลือบมองเธอด้วยความประหลาดใจ
แม่เฒ่าหลินและคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะได้เปรียบและมองฝูงชนอย่างมีชัย ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ได้ยินแล้วใช่ไหม? สิ่งที่ควรจะเกิดก็เกิดขึ้นไปแล้ว บางทีตอนนี้หล่อนอาจจะท้องแล้วก็ได้ แล้วยังมีหน้ามาพูดว่าต้องการส่งหล่อนกลับมาหาเรา พวกแกยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
ทันใดนั้นแม่เฒ่าหลินก็จับจ้องไปที่เอ้อร์เลิ่งซึ่งยืนมองความโกลาหลจากด้านหลังด้วยความตื่นเต้น ยกนิ้วชี้ไปที่เขาและพูดว่า
“ดูเจ้าคนบ้าในหมู่บ้านเราสิ หากไม่ใช่เพราะหญิงสาวในเมืองทอดทิ้งเขาไปตอนนั้น เขาจะกลายเป็นคนบ้าเหรอ? ครอบครัวของแกอยากจะทำให้หลานสาวของฉันเสียสติไปด้วยหรือไง? ฉันจะบอกอะไรให้ ครอบครัวของเราไม่ใช่คนที่พวกแกจะมาล้อเล่นด้วย ฉันไม่มีอะไรจะเสีย และฉันไม่กลัวใครทั้งนั้น หากไม่ต้องการงานที่มั่นคงพวกนั้น ก็แค่ส่งมาให้พวกเราซะสิเฉินซื่อเหม่ย”
เอ้อร์เลิ่งที่เฝ้าดูความโกลาหลอย่างตื่นเต้น จู่ ๆ ก็ถูกลากเข้ากองไฟ เมื่อเขาได้ยินแม่เฒ่าหลินเอ่ยชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงดุร้าย และยังพูดถึงการที่เขาถูก “ทอดทิ้ง” ทันใดนั้นอารมณ์ของเขาก็แปรเปลี่ยนไป
เขาเริ่มตะโกนชื่อของเสี่ยวเจิน ขณะมองไปรอบ ๆ อย่างว่างเปล่า
เมื่อเห็นว่าเอ้อร์เลิ่งถูกกระตุ้นแผลใจ เฉินเจียเหอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว เขารีบขอให้แม่ของเอ้อร์เลิ่งที่อยู่ไม่ไกลมาพาชายหนุ่มออกจากที่นี่โดยเร็ว
แม่เฒ่าหลินไม่ได้ไตร่ตรองคำพูดของตัวเองเลย แม้แต่ผู้เฒ่าโจวก็ยังรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
นอกจากพฤติกรรมก้าวร้าวของแม่เฒ่าหลินแล้ว ปัญหาสำคัญก็คือลูกชาย ลูกสะใภ้ และแม้แต่ลูกสาวและลูกเขย รวมถึงเฉินเจียเหอ ทุกคนต่างก็มีงานทำที่มั่นคง
หากสถานการณ์วันนี้ไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขาอาจจะไปที่เมืองและสร้างปัญหา ซึ่งอาจทำให้ลูกชายของเขาปวดหัวอย่างมาก
“พี่สะใภ้ โปรดใจเย็นลงก่อน ทั้งหมดเป็นเพราะลี่หรงโง่เขลาเกินไป”
ผู้เฒ่าโจวตะคอกใส่โจวลี่หรง “มาตรงนี้เพื่อขอโทษคุณอาและคนอื่น ๆ ซะ”
แต่โจวลี่หรงจะยอมขอโทษได้อย่างไร?
หล่อนหันหลังกลับและเดินตรงไปยังห้องตะวันออกด้วยใบหน้าเย็นชา
หวังอวี้เสียไล่ตามหล่อน “พี่ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพี่ถึงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเซี่ยเซี่ยกับเจียเหอล่ะ?”
“เด็กทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว พี่จะไปบ้านพ่อแม่ของเธอเพื่อยุติการหมั้นหมายได้อย่างไร? เมื่อไหร่พี่จะเลิกนิสัยดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองสักที? มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่เด็กน่ารักแบบเซี่ยเซี่ยมาแต่งงานกับเจียเหอ ผู้ชายก็เก่งผู้หญิงก็สวย เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก”
โจวลี่หรงรู้สึกหนักใจกับข้อโต้แย้งจากตระกูลหลินและต้องการเวลาสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์ ทันใดนั้นก็เห็นหญิงสาวต่างถิ่นที่แต่งหน้าจัดหนักและดัดผมลอนจนแทบจำอีกฝ่ายไม่ได้
โจวลี่หรงขมวดคิ้ว ทำไมหวังอวี้เสียถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะ?
หล่อนเดินเข้าไปในตัวบ้าน ขณะที่หวังอวี้เสียเดินตามเพื่อถามไถ่เรื่องราว
ผู้เฒ่าโจวพยายามอธิบายให้แม่เฒ่าหลินฟัง “พี่สะใภ้ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียไปเลย เป็นเพราะลี่หรงเป็นผู้หญิงโง่เขลา เราทุกคนต่างก็ชอบเซี่ยเซี่ย และเจียเหอก็ชอบเซี่ยเซี่ยมากเช่นกัน ครอบครัวของเรามีความสุขมากที่เขาแต่งงานกับเธอ แล้วเราจะต้องการส่งเซี่ยเซี่ยกลับไปได้ยังไง มันเป็นเพียงความเข้าใจผิดทั้งนั้น”
“คุณย่า อารอง หนูจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทุกคนกลับบ้านไปก่อนนะ อย่าทำให้ชาวบ้านมาหัวเราะเยาะเลย”
“กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่? เธอจะแก้ไขปัญหาใหญ่เช่นนี้ด้วยตัวเองได้อย่างไร?”
หลิวกุ้ยอิงที่อยู่เคียงข้างช่วยโน้มน้าว “แม่คะ อย่าทำให้เซี่ยเซี่ยลำบากใจเลย กลับกันก่อนเถอะ”
“ลำบากใจอะไร? เธอเป็นคนหน้าบางเช่นนี้ แล้วจะยืนหยัดเพื่อลูกสาวในช่วงเวลาวิกฤติได้ไหม? ขี้ขลาดจริง ๆ”
นางดุหลิวกุ้ยอิง ทำให้หลินเซี่ยโต้กลับ “อย่าดุแม่ของหนูนะคะ แม่ของหนูเป็นคนที่น่านับถือและไม่ใช้ภาษาข้างถนนแบบนั้น”
“น่านับถือแล้วยังไง? มันกินได้ไหม? ถ้าฉันที่เป็นย่าไม่ได้มาปกป้องแกอยู่ที่นี่ แกคงถูกไล่ออกจากบ้านไปนานแล้ว”
หลินเซี่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป และตัดสินใจไล่พวกเขากลับ “เอาล่ะ ทุกคนกลับกันไปได้แล้ว เฉินเจียเหอและฉันมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ดังนั้นไม่ต้องกังวลค่ะ และโปรดอย่ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาอีก ถ้าทำแบบนั้น แม่สามีก็จะไม่ชอบฉันแบบนี้ต่อไป”
โจวลี่หรงซึ่งพักอยู่ในห้องตะวันออกได้ยินคำพูดของหลินเซี่ยในลานบ้าน หล่อนลอบมองออกไปนอกหน้าต่าง และรู้ดีว่าสมาชิกในครอบครัวตระกูลหลินไม่สามารถพลิกมาได้เปรียบในสถานการณ์นี้
แม่เฒ่าหลินปากแห้งผากจากการสาปแช่งมานาน ท้ายที่สุดยังคงเป็นย่าของหลินเซี่ย และรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในวันแต่งงาน แต่หลินเซี่ยกลับไล่นางออกไปแบบนี้ สีหน้าของนางพลันหมองหม่น และนึกอยากสาปแช่งอีกครั้ง
แม่เฒ่าโจวจึงแสร้งทำเป็นโกรธและบ่นหลินเซี่ย
“เซี่ยเซี่ย ทำไมเธอถึงโง่เขลาขนาดนี้ล่ะ? คุณย่ากับคุณแม่มาถึงที่นี่แล้ว อย่างน้อยก็เชิญพวกเขากินมื้อค่ำด้วยกันก่อนส่งกลับสิ”
พวกเขาทุกคนรู้กฎดี เมื่อครอบครัวสะใภ้มาเยี่ยม ก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ไม่เช่นนั้นจะเสียมารยาท
“ไปกันเถอะ พี่สะใภ้ เข้าไปคุยกันด้านใน แล้วค่อยกลับหลังกินข้าวแล้ว”
แม่เฒ่าโจวดึงแม่เฒ่าหลินเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนที่หลินเอ้อร์ฝูจะเดินตามเข้าไป
หลินเซี่ยไม่มีโอกาสที่จะส่งพวกเขาออกไป
แม่เฒ่าหลินนั่งลงบนเตียงเตา ถอดรองเท้าออก และนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตาเหมือนภูเขาลูกหนึ่ง ดูน่าเกรงขามมาก
หลิวกุ้ยอิงมองดูแม่เฒ่าหลินเดินเข้าไปในบ้าน หันไปพูดกับหลินเซี่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “เซี่ยเซี่ย ขอโทษนะ แม่หยุดคุณย่าและอารองของลูกไม่ได้จริง ๆ”
“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ? ทำไมแม่สามีถึงไปบ้านของเราล่ะ?” หลินเซี่ยถาม
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่าได้เถียงสู้คนแก่ชนบทเลย ปากจัดกันแบบที่คุณแม๊ก็สู้ไม่ได้น่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)