จิ่วจิ่วส่ายหน้าอยู่บนน้ำเต้าขนาดใหญ่และบินจากไป ในไม่ช้านางก็กลับมาถึงด้านหลังของยอดเขาพิชิตสวรรค์ บินผ่านเข้าไปยังค่ายกลที่ทับซ้อนกันหลายค่ายกลก่อนที่ร่างของนางจะหายไปในนั้น
นี่เป็นสถานที่ซึ่งศิษย์ทั้งเก้าของปรมาจารย์หว่างฉิงฝึกฝนและปิดด่านบำเพ็ญเพียร มีการสร้างอาคารที่มีโถงระเบียงยาวมีหลังคา ทอดยาวต่อเนื่องไปตามแนวภูเขา
แม้เซียนจิ่วจิ่วจะเป็นเพียงศิษย์คนหนึ่งในสายของยอดเขาพิชิตสวรรค์ ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นจิ่วจิ่วเป็นผู้ที่มีฐานพลังต่ำที่สุด แต่ก็ได้เข้าร่วมบำเพ็ญสั้นที่สุดเช่นกัน ยามนี้จิ่วจิ่วก็ได้เป็นเซียนเสิ่นแล้ว แน่นอนว่านางย่อมได้รับการปฏิบัติดูแลแตกต่างจากฉีหยวนและศิษย์ของเขาเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ที่นี่จะมีค่ายกลเก็บรวบรวมพลังวิญญาณที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังมีศิษย์มากมายคอยรับผิดชอบงานจุกจิก ยังมีค่ายกลป้องกันซึ่งสำนักได้สร้างและจัดวางเอาไว้โดยรอบอาคารต่างๆ อีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ดีเลิศในอุดมคติสำหรับการฝึกบำเพ็ญเพียร
จิ่วจิ่วเป็นน้องคนสุดท้องและแน่นอนว่านางย่อมเป็นที่โปรดปรานและได้รับการเอาใจใส่จากศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงเป็นอย่างมาก ที่พำนักของนางจะอยู่ใกล้กับจิ่วอูและอยู่ในจุดที่เหมาะจะได้รับการคุ้มครองจากศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงเช่นกัน
หากจิ่วจิ่วปิดด่านบำเพ็ญเพียร แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็จะเฝ้าบ้านของนางให้อย่างระมัดระวัง
ภายใต้การดูแลสอดส่องอย่างลับๆ ของเหล่าศิษย์รับใช้หลายคน จิ่วจิ่วบินกลับเข้าไปในที่พำนักของตนเอง นางถอดรองเท้าผ้าโดยการเตะมันออกไป ก่อนที่จะกระโดดเท้าเปล่าขึ้นไปบนเตียงซึ่งแกะสลักจากศิลานิล กอดกระปุกหยกสองใบที่เพิ่งนำกลับมาแล้วก็เริ่มหัวเราะคิกคักออกมาทันที
“ครั้งนี้ข้าควรดื่มเจ้าก่อน หรือจะดื่มเจ้าก่อนดี?
เสี่ยวฉางโซ่วช่างเก่งกาจจริงๆ เขาสามารถคิดทำสิ่งดีๆ ได้เช่นนี้
สามปีกำลังจะจบลงแล้ว และ ‘สุราแห่งแม่น้ำฮวงโห’ ที่เขาฝังไว้ใต้ดินก่อนหน้านี้ก็กำลังจะถูกนำขึ้นมาในไม่ช้าแล้ว ข้าจะดื่มให้จุใจเลย! ฟู่! วันนี้ข้าจะขอเพลิดเพลินไปกับเซียนเมามายก่อนดีกว่า”
“แค่ก! แค่ก! แค่ก!”
จู่ๆ ที่ด้านนอกอาคารก็มีนักพรตเต๋าร่างเตี้ยสูงห้าฉื่อกระแอมไอออกมาครู่หนึ่ง และจิ่วจิ่วที่นอนอยู่บนเตียงก็รีบปิดกระปุกหยกทั้งสองใบในมือโดยฉับพลัน พลางจ้องมองออกไปที่ด้านนอกอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดมาเยือน
“ศิษย์พี่ห้าเข้ามาเถอะ ข้าไม่ได้เปิดค่ายกลแล้ว”
“ข้าเพิ่งจะถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่ตำหนิมาก่อนหน้านี้ว่า แม้พวกเราต่างก็สนิทสนมกันดี แต่ข้าก็ต้องไม่ลืมมารยาทด้วยเช่นกัน” จิ่วอูกล่าวพลางหัวเราะขณะที่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วหยุดกะทันหัน
เวลานี้ไม่มีที่ใดให้เขาก้าวไปได้เลยจริงๆ
เมื่อมองสำรวจไปที่ไหสุรา เสื้อผ้าชั้นในและแถบผ้าคาดเอวที่เกลื่อนกลาดกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นตรงหน้าเขา ในที่สุดจิ่วอูก็ตบหน้าผากของเขาพลางบ่น “เสี่ยวจิ่ว เจ้าอายุหนึ่งพันแปดร้อยปีแล้ว เหตุใดเจ้ายังไม่รู้จักจัดเก็บและทำความสะอาดบ้านของเจ้าเองเล่า”
จิ่วจิ่วสูดจมูกฟึดฟัดพลางโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไม่มีกลิ่นแปลกๆ ไม่เป็นไร”
นางหยิบกระปุกหยกเข้าไปเก็บไว้ในคลังเวทจัดเก็บของนางอย่างง่ายๆ แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
จิ่วอูสามารถแหวกผ่านเส้นทางที่รกไปด้วยกองข้าวของระเกะระกะด้วยความยากลำบากยิ่ง ก่อนจะนั่งข้างโต๊ะเตี้ยครุ่นคิดหลายตลบแล้วกล่าวว่า “จิ่วจิ่ว ระยะหลังๆ มานี้เจ้าไปที่ยอดเขาหยกน้อยบ่อยมาก” จิ่วอูกล่าวยิ้มๆ “แล้วเจ้าไปทำอันใดที่นั่นหรือ”
“ก็ไปเที่ยวเล่นสิ ข้าจะไปทำอันใดได้อีกเล่า” จิ่วจิ่วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “แล้วอยู่ดีๆ เหตุใดศิษย์พี่ห้าถึงถามเช่นนี้”
“ไม่มี ไม่มีอันใด” จิ่วอูรีบโบกมือไปมาแล้วเกาศีรษะ พลางคิดถึงงานที่ได้รับมอบหมายมาจากศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย แล้วจู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยวาจาใดไปชั่วขณะหนึ่ง
ข้าจะพูดอย่างไรดี ข้าไม่อาจถามศิษย์น้องหญิงเล็กของข้าตรงๆ ได้ว่า นางไปติดใจหลงใหลผู้ใดในยอดเขาหยกน้อยหรือไม่
จิ่วอูรวบรวมกำลังก่อนถามว่า “อะแฮ่ม! ข้าจำได้ว่าในช่วงสิบปีแรกหลังจากที่เจ้ามาเข้าร่วมสำนักแล้ว เจ้าค่อนข้างสนิทกับศิษย์น้องฉีหยวนจากยอดเขาหยกน้อยผู้นั้น”
“ใช่” จิ่วจิ่วพยักหน้า “ในเวลานั้น ศิษย์พี่ฉีหยวนดูแลข้าดีมาก”
จากนั้นจิ่วอูก็ลังเลก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้น เจ้า…คือเจ้า…”
จิ่วจิ่วขมวดคิ้วและถามว่า “ศิษย์พี่ห้าเป็นอันใดกัน เหตุใดวันนี้จึงดูลังเลนัก”
“ข้า…ข้า…เฮ้อ!”
จิ่วอูกระทืบเท้าเร่าๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าจะถามตรงๆ ให้ชัดเจนไปเลย! เสี่ยวจิ่ว หมู่นี้เจ้าวิ่งไปที่ยอดเขาหยกน้อยทุกวัน แม้เจ้าจะถูกลงโทษห้ามดื่มเหล้า แต่เจ้ากลับยังมีพลังกระฉับกระเฉงมากทุกวัน!
ศิษย์พี่หญิงของเจ้าจึงกำลังสงสัยว่า เจ้า…เอ่อ หากเจ้าเป็น…”
“เป็นอันใดกัน”
“เจ้า!”
“ข้า?” จิ่วจิ่วขมวดคิ้วมุ่น ในขณะนั้นดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน
จิ่วอูกล่าวเสียงเฉียบขาดขณะที่หัวใจของเขาเต้นแรงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะโพล่งถามออกไปว่า “หรือว่าเจ้า! กำลังจะทะลวงด่านพลัง!?”
“ข้าจะทะลวงด่านได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” จิ่วจิ่วกลอกตาแล้วกล่าวว่า “ท่านช่วยบอกศิษย์พี่หญิงว่าอย่าได้ห่วงไปเลย หากข้าประสบภาวะลำบากมีจุดติดขัด ข้าจะถามท่าน จะไม่ดื้อรั้นฝืนทะลวงด่านไปเอง”
“ดีแล้ว ดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็กลับก่อนนะ เจ้าฝึกบำเพ็ญต่อไปเถิด”
จิ่วอูรีบหาข้ออ้างฉับไว ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับไปถามอีกครั้งว่า “ว่าแต่…เสี่ยวจิ่ว แมงมุมสองรังที่เจ้านำกลับมาจากยอดเขาหยกน้อยเมื่อครั้งล่าสุดนั้นตายแล้ว เจ้าลองถามศิษย์หลานฉางโซ่วว่าเขายังมีอีกหรือไม่ ข้าจะขอใช้โอสถล้ำค่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับเขา”
“ได้สิ ข้าเข้าใจแล้ว คราวหน้าข้าจะถามเขาให้เมื่อข้าไปที่นั่น”
จิ่วอูพลันยิ้มกว้างออกมาทันที
อืม ตั้งแต่ที่จิ่วจิ่วนำรังแมงมุมสามหัวพลจักษ์กลับมาเมื่อสองปีก่อน ข้าก็ได้ใยแมงมุมซึ่งช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ จากระยะไกลได้ และยิ่งทำให้ชีวิตของข้าสนุกขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าวางใยแมงมุมไว้ในสระน้ำที่คู่บำเพ็ญเต๋าของข้ามักชอบไปอาบน้ำบ่อยๆ หึหึ… ทัศนียภาพเช่นนั้น…
“แค่กๆๆ” จากนั้นจิ่วอูก็ก้มศีรษะแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงกระแอมไอไปตลอดทาง
วันนี้ศิษย์พี่ห้าทำตัวแปลกมาก ฮึ ช่างมันเถอะ บางทีเขาอาจจะทะเลาะกับศิษย์พี่หญิงสี่ก็ได้
จิ่วจิ่วส่ายศีรษะ จากนั้นก็เปิดใช้งานค่ายกลด้านนอกอาคารที่พำนักของนาง ก่อนจะนอนลงบนเตียงแล้วหยิบกระปุกหยกสองใบออกมา เริ่มสานต่อที่ค้างไว้เพื่อตกไปสู่ช่วงเวลาที่มึนเมาสับสนแห่งความสุข
…
ขณะนั้นในหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย…
หลี่ฉางโซ่วกำลังยืนอยู่หน้าเตาหลอมโอสถ เขาได้เตรียมส่วนผสมที่เขาต้องใช้สำหรับการหลอมโอสถกลุ่มถัดไปเอาไว้แล้ว จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินไปทางเบาะรองนั่งด้านซ้าย
เขาถือป้ายหยกเอาไว้ในมือซ้ายขณะที่พยายามสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของค่ายกลขนาดใหญ่อย่างระมัดระวัง เมื่อเขายืนยันได้เป็นครั้งที่สามว่าไม่มีอันตรายใดๆ เขาจึงเปิดใช้กฎแห่งเตาหลอมโอสถ และเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นมาภายในนั้นทันที
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็นั่งลงบนเบาะรองนั่งด้านซ้ายของเตาหลอมโอสถ แต่เมื่อเขานั่งลงก็มีควันสีเขียวปะทุขึ้นรอบๆ ตัวเขา จากนั้นร่างของเขาก็หายไปในทันที เหลือไว้เพียงร่างตุ๊กตากระดาษเอาไว้เท่านั้น
ฉับพลันตุ๊กตากระดาษในควันสีเขียวก็กลายเป็นร่างของหลี่ฉางโซ่ว ส่วนควันสีเขียวนั้นก็ได้แทรกเข้าไปในรูเล็กๆ ข้างใต้เบาะรองนั่งของเขาและหายไปอย่างรวดเร็ว
เวทลวงตาคือ วิชาเวทพิเศษของนักพรตเต๋าชราฉีหยวน และแน่นอนว่าศิษย์คนโตของเขาย่อมจะเชี่ยวชาญมานานแล้ว
ทว่ายามนี้หลี่ฉางโซ่วรู้วิธีใช้เวทลวงตาพลิกแพลงได้มากมายหลายเท่าเมื่อเทียบกับอาจารย์ของเขา…
……………………………………………………………………………