‘อาจารย์อาจิ่วจิ่วช่าง…สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง’

บัดนี้หลี่ฉางโซ่วกลายเป็นควันสีเขียว บิดร่างและเลี้ยวผ่านช่องว่างแคบๆ แล้วพุ่งลงไปด้วยความเร็วสูง เขาได้ผ่านค่ายกลต่างๆ มากมายไปเรื่อยๆ แต่ละค่ายกลทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกพึงพอใจสุดๆ

เหตุใดเขาถึงกล่าวว่า ‘สมบูรณ์แบบ’

จิ่วจิ่วรู้เรื่องค่ายกลเพียงเล็กน้อย นางเป็นเซียนเสิ่นที่กำลังเข้าใกล้เซียนเทียน ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งมั่นคง มีพลังเซียนบริสุทธิ์ และยังสามารถควบคุมพลังเซียนของนางได้แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ นางสามารถยอมรับการควบคุมจากคนรุ่นหลังได้!

บอกว่า ‘การควบคุม’ นั้นอาจจะมากเกินไปสักหน่อย หลี่ฉางโซ่วยอมรับว่าแท้จริงแล้วมีองค์ประกอบของกลอุบายแฝงอยู่เล็กน้อยด้วย ทว่าเมื่อคนหนึ่งเต็มใจที่จะขับเคี่ยว และอีกคนหนึ่งเต็มใจจะทนลำบากเพื่อความสำเร็จ นี่ย่อมเป็นเรื่องของการตกลงกันได้อย่างสวยงาม

ในครั้งนี้อาจารย์อาจิ่วจิ่วช่วยข้าได้มากจริงๆ

คงต้องขอบคุณบรรดาผู้อาวุโสหอลงทัณฑ์ที่ลงโทษอาจารย์อาจิ่วเช่นนี้

ต้องขอบคุณอาจารย์ลุงจิ่วอูที่โยนอาจารย์อาจิ่วลงไปในถังสุราเพื่อจะอาบน้ำให้นางเมื่อครั้งที่นางยังเยาว์

และก็ต้องขอบคุณม้วนหนังแกะที่ขาดสองสามชิ้นซึ่งข้าไปพบในชั้นตำราตรงหัวมุมของหอพระสูตรเต๋าชั้นนอก นั่นช่วยให้ข้าประสบความสำเร็จในการ ‘ทดลอง’ โอสถหลักที่ ‘ต่อต้านกัน’ เฉกเช่น เซียนเมามายและผงยาเซียนระทวย…

จากนั้นควันสีเขียวก็ลดระดับลงมาราวหนึ่งร้อยจั้งก่อนจะหยุดอยู่ตรงกลางรอยแยกเล็กๆ แล้วคืนกลับสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง

หลี่ฉางโซ่วพลันหยิบป้ายหยกที่ใช้ควบคุมค่ายกลออกมา ก่อนจะใช้นิ้วลากไปมาบนป้ายเบาๆ สองสามครั้ง ลวดลายแผนภาพบนป้ายหยกเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกันนั้นก็เกิดระลอกคลื่นพลังปรากฏขึ้นตรงก้อนหินที่อยู่ต่อหน้าเขาราวกับสายน้ำ หลี่ฉางโซ่วเดินเข้าไปในหินก่อนที่ก้อนหินนั้นจะกลับคืนสู่สภาพเดิมในทันที

หลี่ฉางโซ่วเดินไปไม่กี่ก้าวในหินก้อนใหญ่นี้โดยปราศจากสิ่งขวางกั้น พลันมีประตูไม้เล็กๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา หลังจากผลักเปิดมันออกแล้ว ก็เดินเข้าไปในห้องลับซึ่งมีขนาดด้านละสามจั้งก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะไม้

เขาหยิบป้ายหยกที่ใช้ควบคุมค่ายกลออกมาแล้วหมุนมันเบาๆ จากนั้นค่ายกลภายนอกก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย และห้องลับใต้ดินนี้ก็หายไปในช่องว่างระหว่างค่ายกลต่างๆ ในทันที

แม้กระทั่งเซียนเทียน ก็ยังไม่อาจค้นหาตำแหน่งของห้องลับนี้ได้ เว้นแต่พวกเขาจะสามารถทำลายค่ายกลภายนอกได้เท่านั้น…

นี่คือจุดประสงค์หลักของการสร้างหอโอสถ

ผู้ชาย…อย่างไรเสียก็ต้องมีพื้นที่ลับ

ภายในห้องลับมีชั้นวางตำราอยู่สองชั้น ซึ่งเต็มไปด้วยตำราโบราณแบบเล่มและม้วนตำรา

หลี่ฉางโซ่วนั่งลงหลังโต๊ะ หยิบหนังแกะออกมาหลายสิบชิ้นก่อนจะศึกษาพวกมันอย่างใกล้ชิด แล้วจึงหยิบป้ายหยกออกมาถือไว้ในมือของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หลับตาลง แล้วโครงสร้างสามมิติที่ซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา

โครงสร้างสามมิตินี้ดูเหมือนอาคารที่เขาเคยเห็นในเมืองจากชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา แต่ ‘อาคาร’ นี้ถูกสร้างไว้ภายในยอดเขาหยกน้อย

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก

เป็นเวลานานมากแล้วนับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้ารู้สึกมั่นคงปลอดภัย…

“อา” มุมปากของหลี่ฉางโซ่วยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “มันคงจะดีถ้าได้อาบน้ำที่นี่…

ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ช่วงเวลานี้ข้าไม่อาจผ่อนคลายได้ ข้ายังต้องตรวจสอบส่วนต่างๆ ของค่ายกลใหญ่นี้ต่อ”

โชคดีที่อาจารย์อาจิ่วจิ่วครองขอบเขตพลังในระดับสูงเช่นนี้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ข้าสามารถเปลี่ยนความคิดที่เตรียมการมาเป็นเวลาหลายสิบปีให้กลายเป็นความจริงได้

นั่นคือ…ค่ายกลทับซ้อนสามมิติขนาดใหญ่!

ด้วยความช่วยเหลือของจิ่วจิ่ว หลังจากที่ใช้เวลาสองปี หลี่ฉางโซ่วก็สามารถรวบรวมความคิดของตัวเองเกี่ยวกับวิธีการสร้างมันขึ้นมาทีละขั้นตอนได้

ตามความเข้าใจของจิ่วจิ่ว นางได้ช่วยหลี่ฉางโซ่วจัดการค่ายกลขนาดเล็กและขนาดกลางหลายร้อยค่ายกล นอกจากนี้ ยังจัดค่ายกลเหล่านี้ให้ซ้อนทับกันเพื่อสร้างค่ายกลที่เหมือนธรรมชาติ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่โดยรอบหอโอสถภายในรัศมีสามสิบลี้

การร่วมมือกันของหลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่วนั้นทำให้เกิดค่ายกลที่ยอดเยี่ยมนี้ด้วยฝีมือของเซียนเสิ่น ซึ่งแม้กระทั่งผู้เป็นเซียนเทียน ก็ยังไม่อาจทำลายได้

บางทีอาจมีเพียงเซียนเทียนผู้มีความเข้าใจค่ายกลอย่างลึกซึ้งเท่านั้นจึงจะสามารถทำลายมันได้

ทว่าจิ่วจิ่วก็รู้เพียงขั้นตอนแรกนี้เท่านั้น แต่นางไม่รู้ขั้นตอนที่สอง สามและสี่…

แกนหลักของค่ายกลใช้สมบัติเวทต่างๆ ศิลาวิญญาณและวัตถุเวทล้ำค่าที่ได้รับการหล่อหลอมขึ้นมาเป็นพิเศษ ฐานของค่ายกลทั้งหมดเชื่อมต่อถึงกัน พลังแห่งสวรรค์และปฐพีถูกเปิดใช้งานเพื่อสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ที่ส่งผลลัพธ์ต่างกัน

ค่ายกลเต๋านั้นยิ่งใหญ่และลึกซึ้งยิ่ง หลี่ฉางโซ่วรู้ตัวว่าเขายังไม่ได้เรียนรู้เรื่องค่ายกลมากพอและเขาก็ไม่ได้เป็นผู้เปรื่องปราดขนาดนั้น จึงไม่นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

คนเราควรต้องตระหนักถึงด้านที่แข็งแกร่งของตัวเองเสมอ

ทว่าในสมองของเขามักมีความคิดแปลกๆ อยู่เสมอ และเขาสามารถเข้าใจแนวคิดเหล่านี้ทีละอย่าง ผ่านการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจะทำให้ความคิดเหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นความจริง

ราวหกสิบถึงเจ็ดสิบปีก่อน หลี่ฉางโซ่วได้ใช้เวลาในช่วงที่ว่างจากการฝึกบำเพ็ญของเขาเพื่อสำรวจและศึกษาค่ายกลที่วางไว้โดยรอบสำนักตู้เซียน ซึ่งเขาบังเอิญได้ค้นพบว่ารากฐานของค่ายกลปกติทั่วไปในยุคบรรพกาลและรากฐานของค่ายกลส่วนใหญ่จะวางอยู่ในระนาบแนวนอนแบบเดียวกัน

ในเวลานั้นเขาพลันคิดว่า แล้วจะเกิดอันใดขึ้นหากรากฐานค่ายกลถูกวางกระจายในแนวตั้งได้ ผลของมันจะเหมือนกันหรือไม่

ยกตัวอย่างเช่น ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาในรูปทรงกลมขนาดใหญ่ หากวางรากฐานในแนวตั้ง ครึ่งวงกลมที่ปรากฏนั้นย่อมจะสามารถหมุนได้หนึ่งในสี่รอบของมันเช่นกัน

แน่นอนว่าค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้พลังงานจากเส้นชีพจรปฐพีซึ่งไม่อาจจัดวางในแนวตั้งได้

อย่างไรก็ตามหากไม่ใช่ค่ายกลพิทักษ์ อาทิ ค่ายกลเขาวงกต ค่ายกลกับดัก และค่ายกลสังหาร ย่อมสามารถพลิกหมุนไปได้ตามต้องการ

ด้วยพื้นฐานนี้ แล้วจะเกิดอันใดขึ้นหากข้าวางรากฐานค่ายกลในแนวเฉียง

แล้วถ้าเกิดข้าวางรากฐานของค่ายกลขนาดใหญ่หลายแห่งในลักษณะของรูปกากบาทล่ะ

ยกตัวอย่างเช่น ระหว่างค่ายกลขนาดใหญ่สองค่ายกล วางรากฐานของค่ายกลหนึ่งในแนวนอนและวางรากฐานของอีกค่ายกลหนึ่งในแนวตั้ง มีการแบ่งส่วนรากฐานของค่ายกลออกมาหนึ่งในสามของรากฐานของพวกมัน และเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแนวนอน ค่ายกลแนวตั้งก็จะถูกปิดใช้งาน และในทางกลับกันเมื่อเปิดใช้ค่ายกลแนวตั้ง ค่ายกลแนวนอนก็จะถูกปิดใช้งาน ด้วยเหตุนี้จะเป็นการสลับใช้ค่ายกลขนาดใหญ่ ‘โดยไม่มีการแทรกแซง!’

ตามที่หลี่ฉางโซ่วสำรวจอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาการหมุนเวียนของพลังวิญญาณภายในค่ายกล ตลอดจนสามารถนำหลักการนี้ไปใช้กับรากฐานของค่ายกลต่างๆ ได้

มาจนถึงวันนี้…

แผนงานสร้าง ‘ค่ายกลทับซ้อนสามมิติขนาดใหญ่’ ของยอดเขาหยกน้อย คือการทดลองตามแนวคิดของเขาที่ประสบความสำเร็จ!

หากแบ่งค่ายกลขนาดใหญ่บนระนาบแนวนอน ค่ายกลแห่งนี้แบ่งออกได้เป็นสามชั้น สิ่งที่จิ่วจิ่วรู้เป็นเพียงชั้นบนสุดเท่านั้น

ค่ายกลที่อยู่รอบๆ หอโอสถเป็นค่ายกลกับดักและค่ายกลเขาวงกตมากกว่าหนึ่งร้อยค่ายกล

สิ่งที่จิ่วจิ่วไม่รู้ก็คือมันลึกเข้าไปในภูเขาหนึ่งร้อยจั้ง รวมถึงมีชั้นกลางและชั้นล่างอยู่ข้างใต้สุด

และก็เป็นจิ่วจิ่วที่ช่วยฝังรากฐานและแกนกลางของค่ายกลขนาดใหญ่ในชั้นกลางและชั้นล่าง

ทว่านี่เป็นเพียงสถานการณ์เมื่อค่ายกลปฏิบัติการในระนาบแนวนอน ค่ายกลเหล่านี้ยังซ่อนรูปแบบปฏิบัติการอีกหลายรูปแบบที่วางในแนวตั้งและแนวเฉียงซึ่งมีค่ายกลสังหารอยู่เป็นจำนวนมาก…

ห้องลับที่หลี่ฉางโซ่วอยู่ในขณะนี้เป็นศูนย์กลางของค่ายกลทั้งหมด ห้องลับนี้จะปรากฏขึ้นในหินก้อนนี้เมื่อค่ายกลแกนกลางแนวตั้งทั้งหมดถูกเปิดใช้งาน และค่ายกลในแนวนอนทั้งหมดปิดการใช้งาน

ในเวลานี้ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวแม้แต่เหล่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเวทหลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย เพราะหากไม่มีป้ายหยกและวิธีการควบคุมพิเศษที่อยู่ในมือของหลี่ฉางโซ่ว ก็มีเพียงวิธีเดียวที่จะค้นพบห้องลับนี้ได้ก็คือ ต้องทำลายยอดเขาหยกน้อยเท่านั้น

ซึ่งหากถึงวันที่ยอดเขาหยกน้อยถูกทำลายจริง คาดว่าถึงเวลาที่แม้แต่สำนักตู้เซียนก็อาจพินาศ และก่อนหน้านั้นมีโอกาสเก้าสิบเก้าในหนึ่งร้อยส่วนที่หลี่ฉางโซ่วได้…

แค่กๆ มันไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ร่วมกับสำนักและพินาศไปพร้อมกับสำนัก มันย่อมเป็นการดีกว่าที่จะรักษาชีวิตเอาไว้เพื่ออยู่ล้างแค้นให้กับสำนัก!

อย่างไรก็ตามหน้าที่หลักของค่ายกลชั้นล่างความจริงแล้วคือการดูดซับพลังของเส้นชีพจรปฐพี

เพื่อหลีกเลี่ยงการดูดซับพลังงานจากเส้นชีพจรวิญญาณและเส้นชีพจรปฐพีมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ผู้บำเพ็ญจากยอดเขาอื่นค้นพบได้ หรือถูกสังเกตโดยเหล่าผู้อาวุโสในสำนัก หลี่ฉางโซ่วจึงต้องหลีกเลี่ยงเส้นชีพจรวิญญาณทั้งหมด และเลือกดูดซับพลังที่ขุ่นมัวมากที่สุดในปฐพีโดยตรง จากนั้นใช้ค่ายกลเวทชำระล้างที่เผยแพร่จากชนเผ่าอู๋เพื่อกรองพลังงานให้บริสุทธิ์

แม้การทำเช่นนี้จะลดพลังของค่ายกลสังหารเล็กน้อย แต่ก็เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น แม้เหล่าปรมาจารย์ในสำนักจะสังเกตเห็นกลุ่มค่ายกลบนยอดเขาหยกน้อย ทว่าหากเขาไม่ได้เปิดใช้งานค่ายกลแนวตั้งและแนวเฉียง ก็จะเห็นเพียงค่ายกลกับดักและเขาวงกตเท่านั้น ย่อมไม่อาจกล่าวโทษได้ว่าเป็นการละเมิดกฎของสำนัก

ก่อนหน้านี้เขาทำตัวธรรมดาเพื่อเป็นการอำพรางตัวเอง นี่เป็น ‘การอำพรางแบบอยู่เฉยๆ ไม่เคลื่อนไหว’

อย่างไรก็ตามเวลานี้เขาต้องการหอโอสถเพื่อหลอมโอสถ เขาจึงต้องเปลี่ยนมาใช้ ‘การอำพรางแบบพร้อมปฏิบัติการ’ จนถึงขีดสุดแทน

ส่วนแนวทางที่เขาจะดำเนินการหลังจากนี้…

เขาจะใช้รากฐานของค่ายกลทั้งหมดภายใต้หอโอสถเป็นฐานของเขาก่อนจะค่อยๆ ขยายออกไปด้านนอกเพื่อทำให้ยอดเขาหยกน้อยกลายเป็นป้อมปราการในสำนักซึ่งไม่มีใครสังเกตเห็น

เขามีเพียงชีวิตเดียวเท่านั้น และในยุคบรรพกาลก็วิเศษมาก

สำหรับผู้บำเพ็ญในรุ่นของข้าควรแสวงหาการมีอายุขัยยืนยาว และประพฤติมั่นคงในวิถีแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ และจากนั้นก็ยังไม่สายเกินไปที่จะชื่นชมความสวยงามอันวิจิตรของทั่วทั้งมหาตรีสหัสโลกธาตุ

“ในที่สุด” หลี่ฉางโซ่วถูมือแล้วนำม้วนหนังแกะและป้ายหยกรวมถึงถุงเก็บสมบัติหลายถุงออกมา จากนั้นก็เทคลังเวทจัดเก็บที่อยู่ภายในนั้นออกมาหลายชิ้น

หลังจากรอมาสองปี ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะได้ตรวจดูสิ่งของซึ่งได้มาอย่างไม่คาดคิดจากการเดินทางไปยังดินแดนเทวะอุดร

“ก่อนอื่นมาดูกันว่า สิ่งของของเซียนอวี่เหวินหลิงจะอัตคัดเพียงใด”

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ ในขณะที่หยิบตุ๊กตากระดาษสองตัวออกมาแล้วเปลี่ยนให้เป็นร่างจำแลงของเขา จากนั้นบรรดาร่างจำแลงของเขาก็หยิบคลังเวทจัดเก็บไปสองชิ้น ก่อนจะค่อยๆ เข้ายึดมุมหนึ่งของห้องแล้วเริ่มหลอมมัน

ครึ่งวันต่อมา…พลังในตัวตุ๊กตากระดาษที่กำลังเฝ้าดูแลเตาหลอมโอสถก็แทบจะหมดเกลี้ยง หลี่ฉางโซ่วจึงเก็บของที่ริบมาแล้วลุกขึ้น ก่อนเดินออกจากห้องลับไป

ในมือของเขาถือกล่องผ้าปักหนึ่งใบ ซึ่งภายในกล่องมี ‘แมลง’ นอนหลับอยู่สองตัว

หากเขาคาดไม่ผิด พวกนี้น่าจะเป็น…

หนอนกู่พิษรัก!

“ของดี” หลี่ฉางโซ่วอุทาน “แต่น่าเสียดายที่ในยามนี้มันไม่มีประโยชน์ ข้าจะเก็บมันเอาไว้ก่อน ในอนาคต หากสัตว์วิญญาณและสัตว์อมตะที่ข้าเลี้ยงไว้ไร้ความปรารถนาจะผสมพันธุ์ ข้าก็จะใช้มันเพื่อกระตุ้นซึ่งจะช่วยเพิ่มการขยายพันธุ์และรักษาสายพันธุ์หายากเหล่านี้เอาไว้ได้”

……

เมื่อถึงวันที่ตกลงกันว่าจะช่วยหลอมโอสถ

จิ่วจิ่วหาวหวอดๆ ขณะที่กำลังสวมเสื้อผ้าป่านซึ่งนางไม่รู้ว่าเป็นศิษย์พี่หญิงคนใดที่ช่วยซักให้นาง จากนั้นก็นั่งบนน้ำเต้าใหญ่พร้อมด้วยดวงตาสะลึมสะลือขณะที่บินตรงไปที่ยอดเขาหยกน้อยอย่างง่วงงุน

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเซียนเสิ่นหลักซึ่งเป็นกำลังหลักในสำนัก จิ่วจิ่วจึงมีผู้สนับสนุนที่ทรงพลังแข็งแกร่งมากมายอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นนางเลยสามารถบินได้โดยไร้ข้อจำกัดและสามารถไปได้ทุกที่ตามต้องการ ยกเว้นพื้นที่ต้องห้าม

“วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบใช่หรือไม่”

จิ่วจิ่วเริ่มนับนิ้วมือแล้วสับสนอยู่พักหนึ่ง

ก่อนหน้านี้นางได้ลองลิ้มรสเซียนเมามายแบบเข้มข้นเพราะอยากรู้สึกตื่นเต้น ในท้ายที่สุดนางก็จบลงด้วยอาการง่วงนอน และผล็อยหลับไปเป็นเวลาห้าหรือหกวันติดต่อกัน…

ในขณะที่นางเร่งรีบไปข้างหน้า นางก็เผลอไผลจนละเลยการแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจจับสิ่งต่างๆ รอบตัว ดังนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นเมฆที่ลอยอยู่ในป่าเบื้องล่าง

เมื่อจิ่วจิ่วมาถึงยอดเขาหยกน้อย ก็มีสองศีรษะโผล่ออกมาจากเมฆที่ลอยอยู่ด้านล่าง คนทางซ้ายคือนักพรตเต๋าร่างเตี้ยนามจิ่วอู ส่วนคนทางขวานั้นดูเหมือนจะเป็นสตรีน้อยที่มีวัยไม่เกินสิบหกหรือสิบเจ็ดปี

แม้นางจะดูเหมือนสตรีเยาว์วัยที่มีหน้าตางดงาม รูปร่างสวยงามพร้อมด้วยส่วนโค้งมนเต็มที่ และยังเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของวัยเยาว์ แต่แท้จริงแล้ว พวกเขาทั้งสองคนล้วนมีอายุใกล้เคียงกันคือ มากกว่าสองพันปีแล้ว

นามเต๋าของสาวน้อยผู้นี้คือจิ่วซือ นางเป็นศิษย์คนที่สี่ของปรมาจารย์หว่างฉิงและเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของจิ่วอู ซึ่งเป็นผู้ที่จิ่วอูมักชอบใช้ใยแมงมุมสามหัวพลจักษ์เพื่อเฝ้าแอบดูนั่นเอง…

จิ่วอูเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “มันดูไม่ค่อยเหมาะที่พวกเราจะทำเช่นนี้ เพราะอย่างไรเสียนี่ก็คือยอดเขาหยกน้อย”

“กลัวอันใดกันเล่า หากพวกเขาไม่พอใจเรา เราก็แค่ต้องต่อสู้กับปรมาจารย์ผู้นำของยอดเขานี้!”

สาวน้อยโต้กลับอย่างหงุดหงิด จากนั้นนางก็หรี่ตาราวผลซิ่งคู่นั้นลงเล็กน้อยกล่าวว่า “นางวิ่งมาที่นี่ทันทีที่ตื่น จะต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ เจ้าเคยเห็นเสี่ยวจิ่วขยันขันแข็งเยี่ยงนี้เมื่อใดกัน

วันนี้ข้าต้องการดูให้รู้ว่าศิษย์น้องฉีหยวนผู้นี้มีสามเศียรหกกรหรือไม่ เขาดึงดูดเสี่ยวจิ่วของเราให้มาที่นี่ทุกวันทั้งที่เขายังไม่บรรลุเซียนได้อย่างไรกัน”

จิ่วอูฝืนยิ้มขื่น และทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วสั้นหนาขึ้นแล้วกล่าวว่า “มีค่ายกลที่นี่หรือ ข้าสัมผัสกลิ่นอายลมปราณของเสี่ยวจิ่วไม่ได้แล้ว”

“กลัวอันใดกัน พวกเราทุกคนล้วนเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาแล้วไม่ใช่หรือ”

จิ่วซือเม้มปากพลางคว้าคอเสื้อของจิ่วอู จากนั้นพวกเขาก็ปกปิดร่างและกลิ่นอายของตนโดยไม่เอ่ยวาจาใดอีกก่อนจะกลายเป็นร่างเงาสองสาย แล้วบินตรงไปที่ป่าของยอดเขาหยกน้อย

“พวกเราทั้งคู่ล้วนเป็นกึ่งเซียนเทียน แล้วยังต้องกลัวค่ายกลซึ่งผู้ที่ยังไม่บรรลุเซียนสร้างขึ้นด้วยหรือไร”

…………………………………………………………………………………………………………………