บทที่ 30 อบรมสั่งสอนน้อง ๆ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 30 อบรมสั่งสอนน้อง ๆ

บทที่ 30 อบรมสั่งสอนน้อง ๆ

เมื่อเห็นใบหน้าหวาดกลัวและตกประหม่าของเด็กทั้งสาม กู้เสี่ยวหวานจึงรู้สึกว่าควรจะต้องมีเวลาสำหรับการศึกษาที่บ้าน “ข้าจะบอกพวกเจ้าทุกคน สิ่งที่เราเอ่ยออกมาล้วนเหมือนกับสายน้ำหลั่งรินที่ไม่อาจหวนคืน เข้าใจหรือไม่? ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะพูดสิ่งใดออกมา จะต้องคิดอย่างรอบครอบ สิ่งที่เราพูดไปจะทำให้คนอื่นเจ็บปวดหรือไม่ ทำให้ผู้อื่นลำบากใจหรือไม่ ถ้าหากทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายใจ พวกเราจะต้องไม่พูดมันออกมา เข้าใจหรือไม่?”

ครั้นเห็นเด็กทั้งสามพยักหน้าพร้อมเพรียง กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกว่าบทเรียนนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก อย่างน้อยที่สุดนางไม่อาจปล่อยให้น้องชายและน้องสาวของตนเองพูดจาไร้สาระได้

“แต่ว่า!” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยเสริมสองสามประโยค นางไม่ต้องการให้น้องชายและน้องสาวของตนเองเป็นคนซื่อตรงเกินไป จำเป็นต้องโต้ตอบในยามที่สมควรต้องโต้ตอบ “ถ้ามีคนทำร้ายพวกเรา พวกเราต้องสู้เพื่อ ปกป้องตัวเอง ต้องไม่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายพวกเรา เข้าใจหรือไม่?”

“อือ รู้แล้ว พวกเรารับทราบแล้วท่านพี่!” กู้หนิงผิงมองยังทิศทางที่สองแม่ลูกเดินไป และกล่าวออกมาอย่างเข้มแข็ง

กู้เสี่ยวอี้พยักหน้า เอ่ยเสียงออดอ้อน “อย่าถูกรังแก!”

กู้หนิงอันกำหมัดอย่างเงียบ ๆ จ้องมองพี่สาวของตนเองด้วยสายตาเลื่อมใส

ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานในใจของกู้หนิงอันเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน ในอดีตกู้เสี่ยวหวานนั้นอ่อนแอ ขี้ขลาด หวาดกลัวผู้คน เมื่อถูกแม่เฉากล่าววาจาเยาะเย้ย นางก็จะร้องไห้เสียใจ โศกเศร้าจากการเสียพ่อและแม่ไปตั้งแต่เนิ่น ๆ เด็กน้อยทั้งสี่คนถูกรังแก ความคับข้องใจในก้นบึ้งของหัวใจล้วนถูกส่งต่อไปยังน้องทั้งสามคน เด็กทั้งสี่จึงร้องไห้กอดกันและกันไว้

กู้หนิงอันคิดตั้งแต่หลังจากบิดามารดาจากไป เวลานั้นหัวใจของเด็กทุกคนในตระกูลกู้ล้วนเปราะบางราวกับฟางข้าว เมื่อพบเจอปัญหาเพียงเล็กน้อยก็สั่นไหว แม้กระทั่งสายตาหรือคำพูดของคนนอกก็สามารถกดถึงแนวต้านทานในหัวใจของพวกเขาได้แล้ว

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มันแตกต่างกันเพียงนี้?

กู้หนิงอันจ้องมองกู้เสี่ยวหวานอย่างตะลึงงัน แม้นางจะแบกตะกร้าที่หนักหลายสิบชั่ง ทว่าไหล่ผอมบางของนางก็ยังคงตั้งตรง

ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานในใจของกู้หนิงอันเปรียบดั่งแสงสว่างที่ส่องแสงให้กับชีวิตในอนาคตของเขา

กู้เสี่ยวหวานเดินตามอยู่ด้านข้างกู้หนิงผิง จูงมือกู้เสี่ยวอี้ไว้ ทั้งสามก้าวเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็พบว่าหนึ่งในขบวนหายไป กู้เสี่ยวหวานหันศีรษะไปกลับไปทำให้เห็นกู้หนิงอันยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ใบหน้าเรียบเรียบง่ายไม่โดดเด่นตอนนี้เปล่งประกายสดใส “หนิงอัน ตามมาเร็ว!”

กู้หนิงอันตอบรับโดยไม่รู้ตัว ก้าวขาเดินเข้าหาพี่น้องทั้งสามอย่างมั่นคง หลังจากวิ่งไปสองก้าวก็ตามทุกคนทัน สี่คนพี่น้องจับมือกันแน่นขณะที่พวกเขาก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น

กู้หนิงผิงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านพี่ มีหัวไชเท้ามากมายเช่นนี้ เราจะได้กินอิ่มทุกวันแล้วใช่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานมองดูน้องสามคนมองมาด้วยสายตาคาดหวัง นางลูบมือด้วยอารมณ์ตื่นเต้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่า “ใช่แล้ว มีหัวไชเท้าเหล่านี้ หลังจากนี้เราจะกินอิ่มได้ทุกวันและทุกมื้อ!”

ในความทรงจำของกู้เสี่ยวอี้ พวกเขาสี่คนมีประสบการณ์หิวจนแสบกระเพาะมาแล้ว ที่บ้านไร้ซึ่งเสบียงอาหาร ทั้งสี่หิวจนท้องร้องโครกคราก ทำได้เพียงดื่มน้ำไม่หยุด หลังจากดื่มน้ำจนเต็มกระเพาะกลับหิวยิ่งกว่าเดิม

กู้เสี่ยวหวานไม่กล้าหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านพ้นเหล่านั้น สายตามองน้องทั้งสามคน มองดูแขนขาอันเรียวผอมของตนเอง นางขอสาบานว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องการกินให้อิ่มท้องคือจุดหมายสำคัญที่สุดที่ต้องแก้ไข

มีหัวไชเท้าจำนวนมากมาย หากว่าตามหลักการแล้ว มันก็จะไม่ทำให้ท้องหิวอีกต่อไป

ตอนนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปสำรวจบนภูเขาอีกรอบแล้วกันว่ามีสิ่งใดกินได้อีกหรือไม่ กู้เสี่ยวหวานคิดใจ

“พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะเป็นคนทำกับข้าวเอง พวกเจ้ารอกินได้เลย” กู้เสี่ยวหวานพูดอย่างเจ็บปวดหัวใจ

วันนี้เด็กทั้งสามคนทำงานหนัก ต่างเหน็ดเหนื่อยกันหมดแล้ว

“ท่านพี่ พวกเราไม่เหนื่อย ข้าจะช่วยท่านพี่ทำอาหารเย็น” กู้หนิงอันสงสารพี่สาว เรื่องราววันนี้พี่สาวลงมือหนักที่สุด แถมยังไม่เคยเอ่ยว่าเหนื่อย เขาที่เป็นเด็กผู้ชายจะพูดว่าเหนื่อยได้อย่างไร

“ท่านพี่ ข้าก็ไม่เหนื่อย ข้าจะช่วยพี่เอง!” กู้หนิงผิงไม่ยอมแพ้

แม้แต่กู้เสี่ยวอี้ที่เด็กที่สุดเองก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ท่านพี่ ช่วย เสี่ยวอี้ช่วย!”

กู้เสี่ยวหวานตอบด้วยรอยยิ้ม กู้หนิงอันเป็นลูกชายคนโต และนางไม่หวังให้เด็กชายคนโตที่มีหน้าที่สืบทอดตระกูลกู้มีความนิ่มนวล นางผู้เป็นเด็กหญิงอายุแปดขวบสามารถทำได้ ดังนั้นเด็กชายอายุหกขวบก็สามารถทำได้ด้วยความพยายามและด้วยความคิดอันเล็กน้อยเช่นกัน

ทั้งสี่คนนำหัวไชเท้ามายังห้องครัวเล็ก ๆ เหมือนตอนกลางวัน กู้หนิงอันรับผิดชอบงานบ้าน กู้เสี่ยวหวานโยนหัวไชเท้าไว้ที่มุมครัว กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้นั่งยอง ๆ คัดหัวไชเท้าอยู่ตรงมุมห้อง

กู้เสี่ยวหวานเปิดฝาหม้อที่กู้หนิงผิงล้างแล้วอย่างคล่องแคล่ว นางใช้กระบวยไม้ตักน้ำเติมลงในหม้อใบเล็กจนเต็ม กระทั่งถึงเวลาหุงข้าว หม้อใบนี้ก็สามารถใช้การได้แล้ว น้ำที่ต้มไว้นี้เหลือเอาไว้ใช้ล้างหน้าและล้างเท้าในตอนกลางคืน

ในวันที่อากาศหนาวเย็น การแช่เท้าในน้ำร้อนไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพที่ดีเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความอบอุ่นอีกด้วย

กู้เสี่ยวหวานทำความสะอาดหม้อ ใช้กระบวยตักน้ำใส่เข้าไปสองสามกระบวย ภายในบ้านไม่มีน้ำมัน ไม่สามารถทำเนื้อกระต่ายตุ๋นน้ำแดงได้ จึงทำได้แค่เนื้อกระต่ายตุ๋นหัวไชเท้าเหมือนตอนเที่ยงเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานปิดฝาหม้อ กลับไปที่ห้องโถงใหญ่ นำอ่างไม้ที่วางอยู่ด้านในออกมา ในอ่างไม้มีเนื้อกระต่ายที่จับได้เมื่อเช้า เมื่อกลางวันกินไปเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น จึงยังมีเหลืออยู่บ้าง

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าวันนี้ทุกคนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต้องการกินอาหารดี ๆ ครั้งนี้ใส่เนื้อกระต่ายให้น้อยลง ใส่หัวไชเท้าให้เยอะสักหน่อย แบบนี้ก็จะสามารถทำอาหารคาวเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งอย่าง และเก็บเนื้อกระต่ายเหล่านี้กินได้อีกหลายวัน

กู้เสี่ยวหวานวางแผนไว้ว่าถ้าพรุ่งนี้อากาศดี นางจะขึ้นภูเขาอีกครั้งเพื่อดูว่าจะหาสิ่งใดได้อีกบ้าง

สี่คนพี่น้องทำงานร่วมกัน กู้หนิงอันรับผิดชอบในการจุดไฟ กู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงรับผิดชอบในการทำความสะอาดหัวไชเท้า ส่วนใบหัวไชเท้าที่เหลือ กู้เสี่ยวอี้ก็ทำเลียนแบบเมื่อตอนกลางวัน คือการหอบพวกมันไปวางตากแดดไว้ตรงลานตาก จากนั้นก็รีบกลับไปยังครัวเล็ก ๆ และช่วยกู้หนิงอันจุดไฟอยู่ข้าง ๆ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เสี่ยวหวานเป็นเดอะแบกสุด พาน้อง ๆ พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นให้ได้นะ

ไหหม่า(海馬)