บทที่ 29 แรงมาแรงกลับ

บทที่ 29 แรงมาแรงกลับ

หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเข้าใจกระจ่างแจ้ง คาดว่ายามปกติอาสะใภ้คนนี้มักจะหาเรื่องพวกเขาอยู่บ่อยครั้งเมื่ออยู่บ้าน ตอนนี้แม้แต่ลูกของนางยังรังเกียจครอบครัวของตนเอง

“อาสะใภ้สาม….” กู้เสี่ยวหวานขานเรียกเสียงเรียบหากแต่ไม่เย่อหยิ่ง

“อุ๊ยตาย ผ่านไปไม่นานก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นนะ” วาจาแม่เฉากระแหนะกระแหน นางขยับตัวเล็กน้อยลอบมองในตะกร้าของกู้เสี่ยวหวานก็พบว่าในตะกร้าสานอัดแน่นด้วยใบไม้สูงพะเนิน จึงเอ่ยเย้ยหยัน “อุ๊ย จะกลับไปตุ๋นใบไม้กินอย่างนั้นหรือ? เป็นญาติกับยาจกรู้สึกเหมือนโชคร้ายไปแปดชั่วอายุคนเสียจริง”

กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงด้านข้างยืดตัวตรง ราวกับลูกธนูพร้อมพุ่งชนทิ่มแทงสองแม่ลูกได้ทุกเมื่อ

กู้เสี่ยวหวานมองสองแม่ลูกอย่างเย็นชา กระทั่งเห็นแววตาดุร้ายจ้องเขม็งของสองพี่น้อง นางก็รู้สึกประหลาดใจ ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับอาสามและอาสะใภ้สามของตน แต่ก็ไม่ควรอยู่ในลำดับเดียวกับศัตรู

กู้เสี่ยวหวานยังคงพินิจพิจารณา กู้ถิงถิงจึงเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “ท่านแม่ พวกเรารีบไปกันเถอะ เหม็นสาบคนจน เหม็นจะแย่แล้ว”

กู้เสี่ยวหวานตะลึงงัน เมียงมองกู้ถิงถิงตรงหน้าที่เพิ่งจะอายุห้าขวบ แต่กลับพ่นวาจาหยาบคายออกมา กระนั้นผู้เป็นแม่ก็ยังไม่สนใจ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ!

แม่เฉาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่เบนสายตาไปยังกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงที่เปรียบเหมือนลูกธนูสองลูก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มแสแสร้ง ปริปากพ่นคำผรุสวาทเสียงดัง “ไอ้เด็กเวรสองคนนี้ มองข้าทำไม!”

ขณะนั้นเอง ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็นึกขึ้นมาได้ ครั้นเมื่อตอนที่เธอนอนหมดสติอยู่บนพื้น เสียงโวกเหวกด่าทอสาปแช่งนางและครอบครัวคงจะเป็นอาสะใภ้สามคนนี้

เวลานี้กู้เสี่ยวหวานจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดสองแม่ลูกถึงได้ขุ่นเคืองเพียงนี้ อาสะใภ้สามผู้ไม่เคยเป็นห่วงเป็นใย ตอนที่กู้เสี่ยวหวานกำลังจะตาย ยังคงด่านางไม่หยุด สาปแช่งแม้กระทั่งบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว เช่นนี้จะไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นชาโกรธเคืองได้อย่างไร

นางลูบหลังของน้องชายอย่างแผ่วเบาและส่งสัญญาณให้ว่าอย่าโกรธเคือง เมื่อเห็นสายตาของน้องชายทั้งสองผ่อนคลายลงจึงเงยหน้าจ้องมองคนที่ตนทึกทักเองว่าคืออาสะใภ้สาม และกล่าวเสียงหนักแน่น “อาสะใภ้สาม ข้ายังเคารพท่านในฐานะอาสะใภ้สามอยู่นะ โปรดระมัดระวังคำพูดด้วย”

น้ำเสียงของกู้เสี่ยวหวานลดลงต่ำ ดวงตากลมโตฉายแววดุร้าย จ้องแม่เฉาเขม็ง

แม่เฉาเห็นท่าทางดุร้ายของกู้เสี่ยวหวาน ไม่รู้ว่าเหตุใดท่าทางของเด็กหญิงคนนี้จึงแตกต่างจากทุกวัน แววตาที่ตื่นตระหนกยามปกตินั้นกลับเปล่งประกายแวววาว

แม่เฉาไม่ยอมแพ้ ดูเหมือนว่านางจะไม่พอใจกับคำพูดของเมื่อครู่ ทั้งยังก้าวเท้าขึ้นหน้าสองก้าว ชี้หน้ากู้เสี่ยวหวาน “เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาสั่งสอนข้า”

“อาสะใภ้สาม ท่านบอกว่าข้าคือยาจก ใครได้เป็นญาติกับข้าจะโชคร้ายไปแปดชั่วอายุคน เกรงว่าท่านคงจะลืมไปแล้วกระมังว่าท่านแต่งงานเข้าบ้านตระกูลกู้ได้อย่างไร” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยเสียงเขร่งครึม “อย่าลืมสิว่าบิดาของข้าจ่ายหนี้สิบตำลึงเพื่อสู่ขอท่านมาเข้าบ้าน”

กู้เสี่ยวหวานไม่หวาดหวั่น ครั้นเมื่อนางยังเป็นเด็กก็เคยได้ยินบิดามารดาพูดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้พวกท่านจากไปแล้ว หากแม่เฉายังกระทำตัวไร้ยางอายอีก นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจ

“เจ้าพูดอะไรของเจ้า!” คำพูดของกู้เสี่ยวหวานแทงใจดำ แม่เฉาตวาดกลับทันใด

กู้เสี่ยวหวานไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้มากนัก เพราะว่าตอนนั้นนางยังเด็กเกินไป ไม่รู้เหตุและผลของเรื่องราวในตอนนั้น ไม่รู้ว่าต่อให้จะได้รู้ความจริงจากปากของพ่อและแม่มาเล็กน้อย หากแต่มันเกิดสิ่งใดกันแน่นางก็ยังไม่ชัดเจน

“อาสะใภ้สาม รู้หรือไม่ว่ามีหลายสิ่งที่ไม่ควรเอ่ยบนโลกมนุษย์ สตรีที่มีนิสัยพูดจาเรื่อยเปื่อย ตายไปจะต้องตกนรกดึงลิ้น” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยวาจาข่มขู่แม่เฉา และเห็นแม่เฉาไม่ได้มีท่าทีอวดดีเหมือนเมื่อครู่ ดูเหมือนว่านางจะเสียขวัญกับเรื่องนรกดึงลิ้น

เมื่อเห็นท่าทางตะลึงงันของแม่เฉา กู้เสี่ยวหวานจึงกล่าวต่อว่า “อาสะใภ้สาม ท่านรู้หรือไม่ว่านรกดึงลิ้นคืออะไร มันเป็นนรกขุมที่ปีศาจตัวน้อยจะใช้นิ้วแยกปากผู้คนที่ลงมา ใช้คีมเหล็กหนีบลิ้นเอาไว้ จากนั้นก็ดึงมันออกมา หากแต่ไม่ได้ดึงกระชากออกมาทีเดียว แต่ค่อย ๆ ดึงออกมาอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งยาวขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ค่อยตัดลิ้นให้เลือดไหลออกมาทั้งหมดในคราวเดียว สุดท้ายแล้วคนผู้นั้นก็จะเสียชีวิตจากความเจ็บปวดและการเสียเลือด”

“แก … แก!” แม่เฉาตกใจตะลึงงัน นางไม่เคยได้ยินเรื่องนรกดึงลิ้น จึงมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความตื่นตระหนก และเมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของกู้เสี่ยวหวาน หัวใจของนางก็พลันตื่นกลัวอีกครั้ง

แม่เฉาครุ่นคิดถึงกิจวัตรประจำของตนเองที่ยามว่างมักเที่ยวเตร่ซุบซิบนินทาผู้อื่น สร้างข่าวลือพูดลับหลังผู้อื่นมาไม่น้อย ยิ่งแม่เฉาคิดมากเท่าไรก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น ใบหน้าโพกแป้งหน้าขาวหนาเตอะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง กึ่งโกรธกึ่งกลัว “แก แกกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร”

แม่เฉาบิดผ้าเช็ดหน้าด้วยใบหน้ามืดมน ตะโกนใส่หน้ากู้เสี่ยวหวาน หลังจากนั้นนางก็เมินเฉยต่อกู้ถิงถิงที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ส่งเสียงฟึดฟัดจ้องกู้เสี่ยวหวานเขม็ง และสะบัดก้นเดินจากไป

ใบหน้าเล็กของกู้เสี่ยวถิงถิงเองก็ซีดเซียว นางคงจะตกใจกับเรื่องนรกดึงลิ้นที่กู้เสี่ยวหวานพูดเมื่อครู่ เมื่อเห็นมารดาเดินออกไปไกลแล้ว แววตาของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความสับสนจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยความรังเกียจและหวาดกลัว แล้วจึงสับขาวิ่งหนีไปไกล

กู้เสี่ยวหวานมองสองแม่ลูกเดินจากไป นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าบางคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ประพฤติตัวเช่นนี้กับนาง หากนางแรงมา ข้าก็แรงกลับ ถ้าไม่อย่างนั้น วันนี้คงจะถูกแม่เฉาด่าอย่างรุนแรงอย่างแน่นอน

“ท่านพี่ นรกดึงลิ้นมีจริง ๆ หรือ?” กู้หนิงอันถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

กู้เสี่ยวหวานเพิ่งค้นพบว่าเด็กทั้งสามคนกำลังจ้องมองนางด้วยตาเป็นประกาย ดูเหมือนว่าจะสนใจกับเรื่องที่ตนใช้ขู่แม่เฉาเมื่อครู่

“มีแน่นอน คนที่สร้างปัญหาและพูดสิ่งไม่ดี หลังจากพวกเขาตายไปจะตกสู่ขุมนรกดึงลิ้น ท่านพญายมจะลงโทษพวกเขา” กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยใบหน้าเขร่งครึม

คำพูดไพเราะเพียงประโยคเดียวทำให้ชาวาบไปทั้งใจ วาจาเสียดแทงเจ็บปวดถึงฤดูหนาวหน้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนที่ปล่อยข่าวลือเพื่อสร้างทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น ทำครอบครัวคนอื่นแตกร้าว จะต้องถูกเพิ่มโทษอีกหนึ่งขั้น

“ท่านพี่ หลังจากนี้เสี่ยวอี้จะไม่ด่าคน ด่าคนไม่ดี” กู้เสี่ยวอี้เข้าใจคำพูดของกู้เสี่ยวหวาน และปฏิญาณตนกับพี่สาวเสียงออดอ้อน

“ใช่แล้ว ท่านพี่ หลังจากนี้พวกเราจะไม่พูดจาเรื่อยเปื่อย” กู้หนิงผิงไม่ต้องการเข้าไปในขุมนรกดึงลิ้นนั้น แค่ฟังก็รู้สึกกลัวจนขนลุก

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ปากแซ่บมาก็เจอปากแซ่บกลับแบบนี้แหละ เสี่ยวหวานคนนี้ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มแล้วน้า

ไหหม่า(海馬)