ตอนที่ 291 – พลัดหลง

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 291 – พลัดหลง

“ข้าไม่รู้” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด โม่เทียนเกอถอนหายใจว่า “ข้ารู้สึกเสมอว่าท่านเดินเร็วเกินไป คิดอ่านก็เร็วเกินไป ข้าตามฝีเท้าท่านไม่ทันอยู่บ้าง”

ฉินซีตะลึงไป เงียบงันไร้คำพูด

ทั้งสองคนนั่งเงียบ ๆ กันสักพัก ซึมซับความรู้สึกนี้เอาไว้ในใจ

พวกเขาล้วนเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่จนเกินไป เดินบนเส้นทางฝึกเซียน ไม่เคยหยุดรั้งเพื่อผู้อื่น แล้วก็ไม่ไปปรับตัวเข้าหาวิธีคิดของผู้อื่น ตนเองตัดสินใจจะทำอย่างไรก็ดำเนินไปตามวิธีคิดของตนเอง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ต้องปรับเข้ากับฝีเท้าของอีกคนหนึ่ง นึกถึงวิธีคิดของอีกคนหนึ่ง…… เรื่องบางเรื่องจะไม่สามารถเป็นไปอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“ท่านให้ข้าคิดดูหน่อย” นางพูด

“อืม” ฉินซีตอบรับเบา ๆ

“ข้า…… ไม่ใช่ว่าไม่ตกลงหรืออะไรนะ” โม่เทียนเกอกล่าวช้า ๆ หลังผ่านไปพักหนึ่ง “ทว่า…… ยังไม่คุ้นชินกับความรู้สึกอย่างนี้ ท่านเข้าใจได้หรือไม่”

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินซีพยักหน้า “ข้าเข้าใจ” ผ่านไปพักหนึ่ง เขากุมมือของนาง ยิ้มบาง ๆ “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าข้ากระวนกระวายเกินไป ไม่ให้เวลาเจ้าค่อย ๆ ปรับตัว”

“นิดหน่อย” โม่เทียนเกอเอ่ย ใคร่ครวญความรู้สึกนี้ในใจช้า ๆ “เร็วเกินไปแล้ว ข้าปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง ยังมี ข้ารู้สึกว่าสำหรับการฝึกตน พวกเราล้วนมีวิธีคิดของตนเอง เหตุใดไม่ดำเนินตามแผนการดั้งเดิมต่อไปเล่า ท่านต้องผูกจิตวิญญาณ ดังนั้นพอกลับไปจะต้องกักตนแน่นอน ส่วนข้าต้องหลอมสร้างอาวุธเวทคู่ชีพ แล้วยังต้องศึกษาวิชาเวทของก่อเกิดตาน ค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับสิ่งเหล่านี้ของระดับชั้นก่อเกิดตานนี้ พวกเราตอนนี้ล้วนไม่ใช่เวลาจะไร้ห่วงไร้กังวล หากว่า…… หากว่าเร่งร้อนปรับเปลี่ยนชีวิตในตอนนี้เกินไปจะทำลายจังหวะก้าวเดินของตนเองหรือไม่”

“……”

เห็นว่าใบหน้าของฉินซีในที่สุดก็มีความสดใสแล้ว นางเผยรอยยิ้มออกมา “ท่านบอกว่าฝึกวิชาเวทประเภทเดียวกัน ข้ารู้สึกว่าปัญหาที่ต้องแก้ไขยังมีมากมาย หนึ่งคือความความห่างชั้นของระดับการฝึกตนข้ากับท่าน หากพวกเราฝึกตนร่วมสัมพันธ์หลังจากท่านผูกจิตวิญญาณ สำหรับข้าย่อมมีประโยชน์มาก แต่สำหรับท่านกลับไม่ได้เป็นทางเลือกที่ดีมากนัก แต่หากเพราะเหตุนี้ ท่านไม่ผูกจิตวิญญาณ นั่นยิ่งไม่ได้ ท่านก่อเกิดตานขั้นเต็มแล้ว ถ่วงช้าต่อไปก็ได้แต่เสียเวลาเท่านั้น”

นางหยุดลง มองดูสีหน้าของฉินซี

“อืม” ฉินซีพยักหน้า “ที่เจ้าพูดมิผิด”

“สองคือ ร่างกายและรากวิญญาณของพวกเราต่างมีความพิเศษ วิชาเวทที่เลือกมาฝึกตนร่วมสัมพันธ์จะสามารถแสดงออกถึงคุณลักษณะของพวกเราแต่ละคนได้หรือไม่ ถ้าไม่อย่างนั้น นี่จะมิใช่ว่าไร้ความหมายหรอกหรือ”

ฉินซีพยักหน้าต่อไป “นี่ก็ถูก”

แต่สีหน้าเขาสงบนิ่งเกินไปแล้ว เห็นแล้วโม่เทียนเกอก็งุนงงอยู่บ้าง “เช่นนั้นท่านคิดเช่นไร”

ฉินซียิ้ม กอดเอวนาง เอนไปพิงไหล่ของนาง ไม่พูดจาเป็นครึ่งค่อนวัน

“นี่ ๆ!” โม่เทียนเกอมุดออกมาอย่างไม่เต็มใจ “รู้อยู่ว่าข้ากระวนกระวายอยากจะรู้ ยังไม่พูดอีกหรือ”

“อืม ที่แท้เจ้าก็กระวนกระวาย!” ฉินซีพยักหน้าพูด

“ท่าน – รู้อยู่ว่าข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้!“ บรรยากาศที่เดิมทีหนักอึ้งอยู่บ้างถูกเขาพูดอย่างนี้จนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ฉินซียิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะอิ่มอกอิ่มใจหรือว่ารู้สึกสนุก ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “สิ่งที่เจ้าพูดล้วนมีเหตุผล แต่ข้าเป็นคนที่ไม่มีแผนการขนาดนั้นเลยหรือ”

“……”

ฉินซีตีหน้านิ่ง เอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้ามิได้พูดไปตามลมปาก รอหลังจากกลับไปแล้วจะค่อย ๆ บอกเจ้าโดยละเอียดว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร”

มองดูสีหน้าของเขาแล้วฟังคำพูดของเขา โม่เทียนเกองุนงงแล้ว “หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้”

ฉินซีเม้มปากยิ้ม แต่ไม่ตอบ

“ทำไมไม่พูด” โม่เทียนเกอไม่ยอมแพ้ เร่งถาม

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะพูด” ฉินซีจู่ ๆ ก็หันเหสายตาออกไป

“ท่าน……” กำลังอยากจะถามต่อ จู่ ๆ ก็พบเห็นจากหางตาว่าจิ่งสิงจื่อเดินมาทางนี้ นางรีบปล่อยมือ ในใจแอบนึกเสียดาย นางพบว่าความตื่นตัวของตนเองลดลงแล้ว เห็น ๆ อยู่ว่าจิตหยั่งรู้สังเกตการณ์บริเวณโดยรอบ จิ่งสิงจื่อเข้ามาใกล้ขนาดนี้นางกลับไม่รู้สึกเลย – หรือว่าจิ่งสิงจื่อมีวิธีการพิเศษอะไร นี่ก็ไม่แปลกประหลาด เขาอยู่ก่อเกิดตานขั้นปลายแล้ว แข็งแกร่งและทรงพลัง ไม่แน่ว่าจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้จิตหยั่งรู้ของนางไม่มีทางสังเกตเห็นเขา

ถึงจะปล่อยมือไปแต่แรก แต่จิ่งสิงจื่อก็มองเห็นตั้งนานแล้ว ขณะนี้เขากลับมา สายตาวนสลับบนร่างของพวกเขาหนึ่งรอบ จู่ ๆ ก็พูดกับฉินซีว่า “มิน่าเล่าครั้งนี้ท่านถึงได้หยาบคายต่อข้าขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง……”

ฉินซีร้องหึคำหนึ่ง “ท่านรู้ก็ดีแล้ว”

จิ่งสิงจื่อยิ้ม ดวงตาดอกท้อเหลือบไปทางโม่เทียนเกอ “ท่านพูดแต่แรกสิ ถ้าท่านพูดมาข้าย่อมจะไม่ทำให้ท่านหงุดหงิด – ท่านทำไมไม่พูดเล่า หรือว่าเขิน”

ฉินซีหน้าตึง “พักผ่อนพอแล้วก็ไปต่อเถอะ!”

“ฮิ……” จิ่งสิงจื่อลอบหัวเราะ เสร็จแล้วก็ตีหน้านิ่ง “ข้ายังอยากจะพูดประโยคนี้มาก : ฉินโส่วจิ้ง ท่านก็มีวันนี้!” พูดจบแล้วก็ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ

“เดี๋ยว!” ฉินซีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้าจะเดินข้างหน้า”

จิ่งสิงจื่อพยักหน้าอย่างไม่หือไม่อือแล้วถอยไปข้างหลัง ถ้าเผชิญกับสถานการณ์อย่างเมื่อครู่นี้อีกครั้ง หากเขาไม่ระวังตกหลุมพรางก็ไม่มีทางช่วยเหลือ หากเป็นฉินซี….. เขาพูดไว้เองว่าจัดการได้ดีกว่าหน่อย

กลุ่มสามคนเดินหน้าต่อไปอย่างเงียบงัน

จิ่งสิงจื่อก็สำรวมขึ้นมาจริง ๆ ไม่ได้ยั่วเย้าโม่เทียนเกออย่างจงใจแต่เหมือนไร้เจตนาอีก โม่เทียนเกอก็โล่งอก

เดินไปได้สักพัก จู่ ๆ โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “เดี๋ยว”

อีกสองคนหยุดลง ฉินซีหมุนตัวมา “ทำไมหรือ”

โม่เทียนเกอมองดูทิวทัศน์โดยรอบอย่างละเอียด ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกท่านรู้สึกหรือไม่ว่า…… บริเวณโดยรอบคล้ายจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิดเดียว”

ฉินซีและจิ่งสิงจื่อล้วนขมวดคิ้วขึ้นมา มองดูไปทั่ว

โม่เทียนเกอกล่าวช้า ๆ “ก็ไม่ถูก บริเวณโดยรอบมีความเปลี่ยนแปลง แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้มันเล็กน้อยมาก แทบจะไม่สามารถจำแนกได้” ว่าแล้วนางก็หันหน้ามองไปอีกครั้งแต่กลับตีสีหน้าเคร่งขรึม “พวกท่านสามารถแยกแยะเส้นทางที่มาได้ไหม”

ฉินซีและจิ่งสิงจื่อมองกลับไป ล้วนหน้าเปลี่ยนสี

เพียงเห็นว่าตลอดแนวสายตาทั้งหมดเป็นทิวทัศน์ที่แทบไม่แตกต่าง เมื่อครู่เพิ่งจะมาจากที่ไหนถึงกับแยกแยะได้ไม่ชัดเจน

ทั้งสามคนหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จิ่งสิงจื่อถามว่า “ฉินโส่วจิ้ง ที่นี่มีม่านพลังไหม”

ฉินซีส่ายหน้า “ไม่รู้”

“ไม่รู้?” จิ่งสิงจื่อไม่เชื่อถือนัก “ท่านถึงกับไม่รู้หรือ หรือว่าซือฟุท่านไม่เคยบอกท่าน”

ฉินซีเก็บสายตากลับมา เอ่ยว่า “ซือฟุข้าเคยพูดว่า ซากโบราณสถานเหล่าเซียนจะปรากฏอะไรขึ้นล้วนไม่แปลกประหลาด ถึงแม้ว่าครั้งนี้ไม่พบเจอ ทุก ๆ ครั้งที่เข้ามา ที่นี่ล้วนจะมีความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อน” พูดจบแล้วเขาก็หันหน้าไปถามโม่เทียนเกอ “เจ้าค่อนข้างเชี่ยวชาญวิชาม่านพลัง เจ้าเห็นเป็นอย่างไร”

ชั่วครู่นี้ โม่เทียนเกอได้จับสังเกตความเปลี่ยนแปลงโดยรอบมาตลอด ดวงตา, จิตหยั่งรู้, ใบหู ล้วนมิได้ผ่อนคลาย ได้ยินคำถามของเขากลับเพียงส่ายหน้า พูดว่า “นี่มิใช่ม่านพลัง”

“อะไรนะ” จิ่งสิงจื่อและฉินซีล้วนไม่กล้าเชื่อถือ ทิวทัศน์ที่คล้ายคลึง ภาพที่ชวนสับสน พวกนี้มิได้เกิดขึ้นจากม่านพลังวงกตหรือ

โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ม่านพลังจะต้องมีตำแหน่งขับเคลื่อน แต่พวกท่านใช้จิตหยั่งรู้สังเกตดู บริเวณใกล้ ๆ นี้มีการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณอะไรหรือไม่”

ทั้งสองคนได้ยินแล้วล้วนปล่อยจิตหยั่งรู้ออกไปตามคำบอกเล่า ผ่านไปครู่หนึ่ง สีหน้ายิ่งมายิ่งเคร่งขรึม ถึงพวกเขาจะไม่เก่งม่านพลังแต่ก็พบว่าไม่ถูกต้อง บริเวณใกล้ ๆ นี้การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณถึงกับอ่อนขนาดนี้เลย!

ต้องทราบว่าที่นี่คือซากโบราณสถานเหล่าเซียน! ท้องฟ้าเหนือซากโบราณสถานเหล่าเซียนมีปราณเซียนมากขนาดนั้นปกคลุม จะมีพลังวิญญาณอ่อนขนาดนี้ได้อย่างไร

“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นอะไรได้”

“ข้าไม่รู้” โม่เทียนเกอเผยสีหน้าสับสน “ประหลาดมาก พูดตามเหตุผลแล้ว นี่ไม่เข้ากับเต๋าแห่งม่านพลัง ไม่ใช่ม่านพลัง แต่รอบบริเวณก็ไม่มีสิ่งที่สร้างมายา…… ข้าก็ถูกทำให้งุนงงแล้ว”

ฉินซีพยักหน้า “สิ่งของของซากโบราณสถานเหล่าเซียนอยู่เหนือขอบเขตระดับการฝึกตนของพวกเราเกินไป เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก”

ทั้งสามคนต่างเงียบงันไป

ผ่านไปพักหนึ่ง จิ่งสิงจื่อถามว่า “เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไร จะยืนอยู่ที่นี่ตลอดก็ไม่ได้รึเปล่า สรุปว่าจะเดินหรือไม่เดิน”

ฉินซีคิดดูแล้วว่า “เดินต่อ” สมมติไม่เดินก็จะถูกขังอยู่ที่นี่จริง ๆ แล้ว

“ได้” จิ่งสิงจื่อไม่มีความเห็น เขาก็เป็นคนที่ขวัญกล้าหาญ

โม่เทียนเกอก็ย่อมจะไม่คัดค้าน

แต่เดินต่อไปได้พักหนึ่ง ยิ่งเดินยิ่งไม่ถูกต้อง

“แค่ก ๆ ทำไมหมอกมากขนาดนี้” โม่เทียนเกอถามอย่างประหลาดใจ หมอกนี้ไม่เพียงยิ่งมายิ่งหนา กลิ่นก็ยิ่งมายิ่งฉุนมาก

ไม่มีคนตอบนาง

นางไม่ได้ใส่ใจ ถูจมูกเดินต่อ

แต่เดินไปอีกไม่กี่ก้าว นางก็หยุดอยู่กับที่ทันที

ไม่ถูกต้อง นี่มันไม่ถูกต้องจริง ๆ – ข้างหน้าหลังซ้ายขวาของนางถึงกับไม่มีคน!

เมื่อค้นพบจุดนี้ โม่เทียนเกอก็แผ่ขยายจิตหยั่งรู้ออกไปทันที แต่หมอกนี่ไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงกับสะท้อนจิตหยั่งรู้ของนางกลับมาแล้ว!

โม่เทียนเกอยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อสงบสติอารมณ์พักหนึ่ง จากนั้นเพิ่มน้ำเสียงร้องตะโกนออกมาว่า “ซือเกอ? ซือเกอ?!”

ยังคงไม่มีคนตอบนาง ถึงขนาดที่ว่าในที่ไกล ๆ มีเสียงสะท้อนก้องกลับมา

ณ ขณะนี้ โม่เทียนเกอรู้สึกขนลุกขนพอง

นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!

นางบังคับตัวเองให้สงบนิ่งลงไป เรื่องราวนี้ไม่ถูก้ตอง ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งยวด นางต้องคิด……

จริงสิ! ตอนที่นางถาม มีอยู่พริบตาหนึ่งที่ความสนใจไปอยู่ที่หมอกหนารอบบริเวณ หลังจากพริบตานั้น พลังสองก้อนนั้นก็หายไปไม่เห็นแล้ว ส่วนนางไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอันใด – หมอกที่นี่!

คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอล้วงกระเป๋าเอกภพทันที ดึงเอาขวดหยกหนึ่งใบออกมา กลืนโอสถหนึ่งเม็ด

นี่คือยากระจ่างใจ มีผลสงบสติ พูดโดยทั่วไป ตอนที่จิตใจปั่นป่วนกินไปหนึ่งเม็ดจะช่วยให้จิตใจนิ่งขึ้น คิดแล้วนางก็กลืนเม็ดยาน้ำแข็งกระจ่างไปอีกเม็ดเผื่อว่าหมอกนี้จะมีพิษ จากนั้นนั่งขัดสมาธิบนพื้นสงบจิตสงบปราณ

หมอกนี้มีปัญหาแน่นอน มันสามารถทำให้จิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนชาไปอย่างไม่รู้สึกตัว ถ้าไม่อย่างนั้น ด้วยระดับความเฉียบคมของจิตหยั่งรู้ของนางไม่มีเหตุผลที่จะสัมผัสไม่ได้ถึงการหายตัวไปของฉินซีและจิ่งสิงจื่อ แต่ตอนนี้พวกเขาสองคนจู่ ๆ ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางถึงกับสัมผัสไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

ตอนนี้นางจำเป็นต้องฟื้นฟูระดับความเฉียบคมของจิตหยั่งรู้จึงจะสามารถหาคนสองคนที่หายตัวไปได้

เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ –

มือข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของนาง โม่เทียนเกอสะดุ้งตื่น

“ท่านเป็นอย่างไร” ผู้ที่ขมวดคิ้วมองนางคือจิ่งสิงจื่อ

นางตะลึง หันหน้าเสาะหาฉินซี กลับได้ยินจิ่งสิงจื่อเอ่ยว่า “ไม่ต้องหาแล้ว ข้าหามาครึ่งค่อนวันก็เห็นท่านนั่งอยู่ตรงนี้ ฉินโส่วจิ้งอยู่ไหนข้าก็ไม่รู้”

…………………………………