ตอนที่ 292 – ศัตรูบนทางคับแคบ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 292 – ศัตรูบนทางคับแคบ

นางเดินพลัดหลงกับฉินซีแล้ว

เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็ถอนหายใจออกมา

ที่ซากโบราณสถานเหล่าเซียนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีสิ่งของพิสดารมากน้อยเท่าไร ทุก ๆ ย่างก้าวล้วนต้องคิดแล้วคิดอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้างกายไม่มีคนที่สามารถไว้วางใจมันยากที่จะคืบหน้าไปแม้แต่หนึ่งชุ่นจริง ๆ

ถึงจิ่งสิงจื่อจะเป็นคนที่ฉินซีรู้สึกว่าเชื่อใจได้พอประมาณ แต่สำหรับนางแล้วกลับไม่จำเป็น คนผู้นี้เป็นผู้ถือผลประโยชน์เป็นใหญ่ อย่าได้เห็นว่าเขามักจะเอาใจใส่ต่อสตรีเสมอ ตลอดทางมานี้ก็ไม่รู้ว่าขยิบตาให้นางมาเท่าไหร่แล้ว แต่ลึก ๆ ในใจเพียงใช้ความแข็งแกร่งอ่อนแอมาชั่งน้ำหนัก ถ้านางอาจจะถ่วงแข้งถ่วงขาเขาก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ

คิดถึงตรงนี้แล้ว โม่เทียนเกอก็ปลุกสติขึ้นมา ไม่ว่าจะอย่างไร นางจะต้องยืดหยัดต่อไป หาฉินซีให้เจอ

“สหายเต่าจิ่ง ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นไรต่อสถานการณ์ในขณะนี้”

เมื่อได้ยินคำถามของนาง จิ่งสิงจื่อยังคงมีท่าทางเกียจคร้าน พูดว่า “หมอกนี้มีปัญหา”

วาจาไร้สาระ นางก็รู้ว่ามีปัญหา! เมื่อเห็นว่าจิ่งสิงจื่อปฏิบัติต่อนางอย่างขอไปที โม่เทียนเกอเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิดว่า “ด้วยความรอบรู้ของสหายเต๋าจิ่งน่าจะไม่ได้รู้เพียงจุดนี้รึเปล่า”

จิ่งสิงจื่อกลับยิ้มแล้ว เหลือบมองนาง เอ่ยว่า “ข้ายังรู้ว่า หมอกนี้มีผลกระทบต่อจิตหยั่งรู้มาก สหายเต๋าชิงเวย จิตหยั่งรู้ของท่านใช้ประโยชน์ที่นี่ไม่ได้แล้ว”

โม่เทียนเกอสายตาขยับเขยื้อน ไม่ได้พูดอะไรอีก ทัศนคติของจิ่งสิงจื่อตอนนี้ชัดเจนมาก ก็คือคิดจะดูว่านางมีหนทางอะไร สมมติว่านางมีหนทาง เขาอาจจะพยายามสุดกำลัง สมมติว่าไม่มี เขาก็คงไม่คิดที่จะแบกภาระ

เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอก้มหน้าลงครุ่นคิด

หมอก จิตหยั่งรู้ การหายไปอย่างกะทันหัน

นางถามว่า “สหายเต๋าจิ่ง เมื่อครู่ตอนที่พวกเราเดินพลัดหลง ท่านสัมผัสอะไรได้”

จิ่งสิงจื่อคิดดู เอ่ยว่า “สัมผัส…… ก็ไม่ได้สัมผัสอะไร คล้ายกับว่าเดินไปสักพัก หันหน้ากลับมาก็พบว่าพวกท่านล้วนไม่อยู่แล้ว”

โม่เทียนเกอพยักหน้า “ดูท่าหมอกนี้จะทำให้จิตหยั่งรู้ของพวกเราด้านชา ทำให้สัมผัสของพวกเราผิดพลาด”

จิ่งสิงจื่อพยักหน้าเห็นด้วย

โม่เทียนเกอเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าจะไม่เพียงเท่านี้ ถึงจะทำให้จิตหยั่งรู้ของพวกเราด้านชาก็ไม่มีเหตุผลที่ตอนพวกเราเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาคนก็หาไม่เจอแล้ว คาดว่ายังชักจูงสัมผัสของพวกเราไปอย่างผิด ๆ ด้วย”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ จิ่งสิงจื่อเพียงมองนางเพิ่มขึ้นอีกหลายที

โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสายตานี้ของเขามีความหมายอะไร เอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จิตหยั่งรู้และสัมผัสของพวกเราล้วนไม่สามารถเชื่อถือได้”

จิ่งสิงจื่อยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ สหายเต๋าชิงเวยมีวิธีการแก้ไขอะไรหรือ”

ทัศนคติของเขาเรื่อยเฉื่อยมาก เห็นชัดว่าไม่เชื่อว่าโม่เทียนเกอจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้

โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หยิบกระบี่บินออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ ก้มหน้าลงเริ่มขีดเขียนอะไรบางอย่างบนพื้น

อันที่จริงจิ่งสิงจื่อรู้ดีอยู่แก่ใจว่าฉินซีนัยน์ตาสูงส่ง ซือเม่ยผู้นี้ของเขาในเมื่อสามารถถูกประมุขเต๋าจิ้งเหอรับเข้าสำนักอาจารย์แล้วยังทำให้เขามองด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ย่อมจะมีอะไรที่เหนือผู้คน เขาไม่เชื่อหรอกว่าฉินโส่วจิ้งคนนี้จะชมชอบหุ่นยัดฟาง แต่เขาก็ไม่ได้ยึดถือโม่เทียนเกอเป็นจริงเป็นจังนัก เพราะนามอัจฉริยะที่ว่ากันเป็นการยกย่องเกินจริงจนเกินไป แต่หลังจากเขาเห็นสิ่งที่โม่เทียนเกอวาดบนพื้นกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมแล้ว “นี่คือ……”

โม่เทียนเกอเก็บกระบี่บิน ล้วงเครื่องรางหยกสื่อสารออกมาจากอกเสื้อ เครื่องรางหยกนี้คือเครื่องรางสื่อสารพันลี้ เดิมเป็นสิ่งที่เตรียมไว้ใช้ตอนที่พลัดหลงกัน เพียงแต่บนตัวนางไม่ได้มีมากมายนัก ดังนั้นตอนที่พลัดหลงไม่ได้ใช้ทันทีเพื่อเลี่ยงไม่ได้เสียหายไปอย่างเปล่าประโยชน์ในหมอกหนา

เครื่องรางหยกสื่อสารลุกไหม้ด้วยเพลิงสีแดง กำลังจะบินขึ้นกลางอากาศ แต่เพียงบินไปได้หลายจ้างกลับตกลงมาอย่างคาดไม่ถึง

จิ่งสิงจื่อผิดหวัง “แม้แต่เครื่องรางสื่อสารก็ล้มเหลวหรือ”

โม่เทียนเกอเพียงตะลึงไปชั่วขณะ แล้วเอากระบี่บินออกมาวาดบนพื้นต่อไป

สิ่งที่นางวาดเป็นแผนผังยันต์ปากั้วโบราณชนิดหนึ่ง คัดลอกมาจากหนังสือม่านพลังเสวียนจี ในหมอกหนาขณะนี้ตาเปล่าเห็นได้เพียงหลายจ้าง หากเดินไปมั่ว ๆ ก็แค่เป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวที่แยกแยะทิศทางไม่ออก ถ้าหากเดินไปตามแผนผังยันต์ปากั้วนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จะรู้ว่าตนเองเดินไปในทิศทางไหน จะไม่เดินเบี้ยว ถึงจะเป็นทางตันก็สามารถย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิม

วาดแผนผังเสร็จแล้ว โม่เทียนเกอจำแนกทิวทัศน์รอบด้านโดยละเอียดให้แน่ใจว่าไม่มีภัยอันตรายแล้วจึงเลือกทิศทางหนึ่งก้าวนำออกไปก่อน

จิ่งสิงจื่อก้มหน้ามองแผนผังที่นางวาด ไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินตามไป

ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่ได้พลัดหลงกัน ในเมื่อรู้ว่าหมอกหนานี้ทำให้จิตหยั่งรู้ด้านชา ทั้งสองคนล้วนระมัดระวังรอบคอบ

เดินไประยะทางหนึ่ง โม่เทียนเกอวาดแผนผังออกมาอีกครั้ง ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ในเมื่อเครื่องรางสื่อสารไม่สามารถใช้ได้ เช่นนั้นก็ได้แต่ทิ้งรอยประทับเอาไว้ ถึงฉินซีจะไม่ถือว่าเชี่ยวชาญวิชาม่านพลัง แต่น่าจะจดจำตัวหนังสือของนางได้ หากเห็นแล้วเดินตามแผนผังมาหา ทั้งสองคนก็จะสามารถกลับมารวมตัวกัน

การวาดพลางเดินพลางนี้ นางกับจิ่งสิงจื่อยิ่งเดินยิ่งไกล……

ฉินซีค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตนเองหลงทางแล้ว อีกทั้งพอหันหน้าไป โม่เทียนเกอกับจิ่งสิงจื่อล้วนไม่เหลือร่องรอย

ในใจเขาไม่ได้ตื่นตระหนก กระบี่อัคนีสามพลังหยางวาดออกคลุมทั้งร่าง หลับตาลงขยายจิตหยั่งรู้

แต่เขาค้นพบอย่างรวดเร็วมากว่าจิตหยั่งรู้ถึงกับไม่มีทางแผ่ขยายออกไป แม้แต่เครื่องรางสื่อสารยังไม่ได้สามารถใช้ออกได้

เมื่อตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเอง ฉินซีขบคิดอยู่สักครู่ ทำแบบเดียวกับโม่เทียนเกอ – กินโอสถ นั่งสมาธิ แต่น่าเสียดายที่ในช่วงเวลาที่เขาสงบจิตระงับปราณนี้ไม่มีคนมาตบไหล่เขา

ผ่านไปเนิ่นนาน เขาลืมตาขึ้นมา พบว่าจิตหยั่งรู้ของตนเองยังคงไม่สามารถแผ่ขยายในหมอกหนา ดูท่าเป็นตัวหมอกนี้เองที่ขวางกั้นจิตหยั่งรู้ ไม่ใช่ว่าจิตหยั่งรู้ถูกหมอกรุกรานจนเกิดปัญหา

เขานั่งอยู่สักพัก วิธีการแก้ไขที่เลือกแตกต่างกับโม่เทียนเกอโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้เก่งกาจด้านวิชาม่านพลังเลย ดังนั้นไม่ได้คิดไปถึงการใช้ม่านพลังมาเป็นเครื่องหมาย ทว่าสะบัดแขนเสื้อ แสงกระบี่ของกระบี่อัคนีสามพลังหยางร่ายระบำเผาผลาญไปทางหมอกหนา

ภายใต้แรงขับเคลื่อนของแสงกระบี่แดงเพลิง หมอกหนากระจัดกระจาย แต่พอเขาหยุดเพียงเล็กน้อยก็แผ่ปกคลุมลงมาใหม่

ฉินซีหยุดลง หมอกหนานี้คล้ายคลึงกับควันเบาบางเมื่อครู่นี้มาก ถึงจะไม่มีคุณสมบัติกัดกร่อน แต่กลับไม่กลัวแสงกระบี่ของเขาเช่นเดียวกัน เขาคิด ๆ แล้วยกกระบี่ขึ้นมา วางสองนิ้วบนมือขวาไว้บนตัวกระบี่ โลหิตหลั่งออกมาส่งรัศมีอันเจิดจ้า

เขาไม่ได้พูดความจริงกับจิ่งสิงจื่อ ไฟแท้สุดหยางสามารถใช้ต่อต้านศัตรู

กระบี่อัคนีสามพลังหยางแผ่แสงกระบี่ออกมาอีกครั้ง ภายใต้ไฟแท้สุดหยาง หมอกหนาในที่สุดก็ถูกเผาผลาญไปทีละเล็กละน้อย ปรากฏทัศนวิสัยอันกระจ่างชัด

ฉินซีหยุดไฟแท้สุดหยาง เดินไปช้า ๆ อย่างระแวดระวัง

เดินไปได้ไม่ไกลนัก จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง “ครืน” ดังสนั่น

ฉินซีเงี่ยหูฟัง สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน นี่เป็นเสียงของการต่อสู้! อีกทั้งความเคลื่อนไหวยังมิใช่เล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดคือผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่ขึ้นไป

เขาครุ่นคิดเพียงพริบตาเดียวก็ใช้วิชาท่าร่างรีบไปยังที่มาของเสียง พลัดหลงกับโม่เทียนเกอแล้ว แต่เขาสามารถยืนยันได้ว่าระยะทางไม่ได้ห่างไกลจนเกินไป ความเคลื่อนไหวนี้ใหญ่โตนัก เทียนเกอก็จะต้องได้ยิน ถึงเวลาทั้งสองคนสามารถไปพบกันในที่ที่เกิดเสียง

ก้มหน้าก้มตาบินไปช่วงหนึ่ง หมอกหนารอบกายยิ่งมายิ่งจางลงในตอนที่เขาไม่ได้ตระหนัก ในที่สุดก็วิ่งออกมาจากระยะของหมอกหนา

แต่นี่ไม่ได้ทำให้เขาโล่งอกเลย เพราะว่าพอเขาออกมาจากหมอกหนาก็ถูกจิตหยั่งรู้หลายสายจับเอาไว้

สถานที่แห่งนี้เป็นปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมา ว่ากันว่าปล่องภูเขาไฟนี้เป็นมนุษย์เซียนปฐมกาลใช้ทักษะเวทไฟสะเทือนฟ้าสะท้านดินอะไรสักอย่างแล้วเหลือทิ้งเอาไว้ หลายล้านปีมาแล้ว เปลวเพลิงไม่เคยมอดดับ และยิ่งมีตำนานว่า ไฟในภูเขาไฟนี้เทียบได้กับไฟแท้สมาบัติในสามไฟแท้ยิ่งใหญ่ สิ่งที่น่าเสียดายคือ หลายปีขนาดนี้ไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนที่สามารถเก็บไฟแท้ในนี้ไปได้

ตอนนี้ที่ขอบปล่องภูเขาไฟแห่งนี้ยืนไว้ด้วยผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สี่คนแยกเป็นสองฝั่ง ฝ่ายหนึ่งในนี้มีสามคน อีกฝ่ายหนึ่งกลับมีเพียงผู้ฝึกตนที่ทั้งร่างปกคลุมไปด้วยปราณมืดผู้หนึ่ง

ฉินซีกวาดมอง หัวคิ้วขมวดขึ้นมา เพราะว่าผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ที่ยืนอยู่โดดเดี่ยวนั้นเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ซงเฟิงซ่างเหริน!

ถึงสีหน้าเขาจะสงบนิ่ง ในใจกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนอื่นเขาล้วนไม่กลัว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ชั้นสูงของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ระดับการฝึกตนก็ไม่ย่ำแย่ คนอื่นจะไว้หน้าเขาอยู่หลายส่วนเสมอ ถึงจะไม่ไว้หน้า สู้ไม่ไหวก็หนีได้เสมอ แต่ซงเฟิงซ่างเหรินกลับเป็นตัวประหลาด คนผู้นี้ไม่ว่าจะต่อซือฟุหรือว่าตัวเขาล้วนมีแต่ความเคียดแค้นเต็มร่าง อีกทั้งความสามารถก็ดียิ่ง ครั้งก่อนที่ออกจากเขาไท่คัง เขาแทบจะดับชีวิตในมือของซงเฟิงซ่างเหริน ถ้าไม่ใช่ว่าเขาใช้ทักษะลับได้ทันท่วงทีแล้วก็มีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ในสำนักมาต้อนรับ ชีวิตน้อย ๆ ก็คงจะต้องจ่ายออกไปแล้ว ตอนนี้ดันมาพบเจอคนผู้นี้ในภูเขามารอีก…… เขาเพียงหวังว่าเทียนเกอจะไม่มา ถ้าไม่อย่างนั้น คนสองคนยิ่งยากจะหลบหนี

“โอ๊ะ!” ซงเฟิงซ่างเหรินเห็นเขาแล้ว น้ำเสียงค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นหัวเราะฮี่ ๆ “วันนี้สวรรค์ดีต่อข้าไม่น้อยเลย ฉินโส่วจิ้ง เจ้าทารกน้อยถึงกับส่งตัวมาถึงหน้าประตูเสียได้!”

พริบตานี้ฉินซีกวาดสายตาไปที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามคนตรงกันข้ามกับซงเฟิงซ่างเหริน ใจนิ่งลงได้บ้าง ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามคนนี้ล้วนเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลาง ผู้ฝึกตนสตรีเยาว์วัยหนึ่งคน บัณฑิตวัยกลางคนหนึ่งคน พรตเต๋าสะโอดสะองหนึ่งคน

สามคนนี้เขาล้วนรู้จัก ผู้ฝึกตนสตรีเยาว์วัยและบัณฑิตวัยกลางคนสวมชุดสีขาวงามสง่าชายเสื้อปักไว้ด้วยปิ่นเขียวและลายเมฆ เป็นคู่เต๋าฝึกตนร่วมสัมพันธ์คู่หนึ่งของสำนักปี้อวิ๋น ผู้ฝึกตนสตรีนามติงหลวน บัณฑิตเรียกว่าเฟิ่งเซียว พวกเขาสองคนได้รับการเรียกขานว่าคู่เซียนหลวนเฟิ่ง เป็นคู่เต๋าฝึกตนร่วมสัมพันธ์หนึ่งเดียวของเทียนจี๋ที่มีระดับการฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางขึ้นไป ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่สุด พรตเต๋าสะโอดสะองนั้นแซ่จี้ ขนานนามว่าจี้เต้าจ่าง มาจากสำนักเทียนเต้า

สามคนนี้ล้วนมีมิตรภาพกับซือฟุอยู่บ้าง ความสัมพันธ์ยังพอไปได้ ดูจากท่าทีขณะนี้ พวกเขากับซงเฟิงซ่างเหรินแตกหักกันแล้ว หากเป็นเช่นนี้จะมากจะน้อยก็จะคุ้มครองเขาสักหน่อย

คิดถึงตรงนี้ เขายิ้มบาง ๆ ไม่สนใจซงเฟิงซ่างเหริน ทว่าคารวะไปทางผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่สามท่านอย่างสุภาพเรียบร้อย “ผู้อาวุโสติง ผู้อาวุโสเฟิ่ง ผู้อาวุโสจี้ มิได้พบกันเสียนาน ผู้อาวุโสทั้งสามสบายดีนะขอรับ”

เห็นเขามีมารยาทเยี่ยงนี้ ติงหลวนผู้นั้นก็ยิ้มกว้างเอ่ยว่า เด็กน้อยบ้านฉิน เจ้าก็มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ซือฟุเจ้าเล่า”

จะว่าไปฉินซีก็อายุจะสองร้อยไปเข้าไปแล้ว ถึงในหมู่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานจะเรียกว่าอ่อนเยาว์ แต่ก็ไม่ใช่อายุที่จะเรียกว่าเด็กน้อยกันเล่น ๆ อย่างนี้ แต่เผอิญว่าติงหลวนนี้ถึงจะดูแล้วอ่อนเยาว์ อายุแท้จริงกลับเจ็ดแปดร้อยปีแล้ว เรียกเขาว่าเด็กน้อยยังเป็นการให้เกียรติเขาแล้ว

ฉินซีเอ่ยว่า “ผู้เยาว์มาภูเขามารครานี้พอดีเป็นคำสั่งของท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ตอนนี้อยู่ไม่ห่างไกล ไม่นานก็จะเร่งมาถึง” คำพูดนี้ย่อมเป็นวาจาไร้สาระของเขา ก็คือจะบอกซงเฟิงซ่างเหรินว่าซือฟุของเขาอยู่นะ!

ได้ยินคำพูดนี้แล้วซงเฟิงซ่างเหรินกลับร้องหึเสียงเย็น “ฉินโส่วจิ้ง เจ้านึกว่าเจ้าพูดเรื่อยเปื่อยแล้วเหล่าฟูจะเชื่อหรือ วันนี้เจ้าส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูดีที่สุดแล้ว หลังจากส่งพวกเขาสามคน เหล่าฟูก็จะส่งเจ้าไปด้วยอย่างไม่เปลืองแรง ใช้เจ้ามาแก้แค้นให้ศิษย์ผู้น่าสงสารของข้าคนนั้น!”

ฉินซียังไม่ได้ตอบ เฟิ่งเซียวนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมาแล้ว “ตาแก่ซงเฟิง เจ้าก็ไม่กลัวว่าพูดจาใหญ่โตแล้วลมจะบาดลิ้นขาดเอาเสียเลยนะ! เจ้านึกจริง ๆ หรือว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ ไร้เทียมทานแล้ว? เจ้ามันแค่คนเดียว ถึงพวกเราสามคนระดับการฝึกตนจะต่ำกว่าเจ้าแต่ก็มิใช่ว่าจะตอแยกันได้ง่ายดาย!”

“ฮา ๆ!” ปราณมืดบนร่างซงเฟิงซ่างเหรินปั่นป่วน น้ำเสียงดูแคลน “คู่เซียนหลวนเฟิ่งอะไรกัน เหล่าฟูไม่เห็นในสายตาจริง ๆ! ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครที่จะลิ้นขาด”

………………………………