ตอนที่ 35

รายรับเดือนที่แล้วของหลินเยวียนรวมทั้งสิ้นราวเจ็ดแสนหยวน

เดิมทีก็ควรได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ถึงอย่างไรนอกจากค่าคอมมิชชันแล้ว ตอนนี้หลินเยวียนก็มีสองเพลงที่ต้องได้รับส่วนแบ่งรวมกัน

หลังจากปล่อยเพลงออกไปได้สองเดือน แม้ว่าจะไม่มีโบนัสจากชาร์ตดาวรุ่ง รายได้ที่เพลงชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์นำพามาให้เขาก็ยังไม่น้อย

ตอนนี้ยอดดาวน์โหลดของเพลงนี้แตะถึงเจ็ดแสนเป็นที่เรียบร้อย จะทะลุหนึ่งล้านในเวลาไม่กี่เดือนย่อมไม่ใช่ปัญหา

และยังมีเพลงปลายักษ์ ที่เพิ่งปล่อยออกไปเมื่อกลางเดือนอีก

แต่ยิ่งได้เงินมากก็ยิ่งถูกหักภาษีมาก ภาษีไม่กี่หมื่นหยวนกับภาษีที่ต้องจ่ายจากรายรับไม่กี่แสนหยวนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

ยังดีที่เงินเจ็ดแสนนั้นมากพอที่จะคลี่คลายความลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันได้

เวลาสามทุ่มครึ่ง

หลินเยวียนโทรหาพี่สาว

พี่สาวของหลินเยวียนชื่อว่าหลินเซวียน เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ตอนนี้ยังเป็นเด็กฝึกงานของบริษัท ดังนั้นโดยทั่วไปเวลาเลิกงานจึงค่อนข้างดึก

“ฮัลโหล เสี่ยวเยวียน”

เมื่อต่อสายติด เสียงของหลินเซวียนพี่สาวทั้งแหบพร่าทั้งอ่อนล้า “พี่เพิ่งเลิกงานแล้วกลับถึงบ้านน่ะ”

หลินเยวียนพูดว่า “งั้นพี่ไปกินข้าวก่อนก็ได้”

หลินเซวียนหัวเราะ “กำลังต้มน้ำอยู่ เดี๋ยวกินบะหมี่ก็ได้แล้ว ไม่กี่วันก่อนแม่บอกพี่ว่าเธอมีเซอร์ไพรส์จะบอกพี่เหรอ”

ดูท่าแม่จะยังไม่ได้พูดอะไร

หลินเยวียนเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “พี่รู้จักเซี่ยนอวี๋มั้ย”

“เซี่ยนอวี๋?”

หลินเซวียนชะงักไปชั่วขณะ “รู้จัก พี่ฟังเพลงบ่อย เขาเขียนเพลงดีมาก ทำไม เธอรู้จักเขาเหรอ”

หลินเยวียนพูด “ผมคือเซี่ยนอวี๋”

หลินเซวียนพึมพำโดยไม่รู้ตัว “เธอคืออะไรอวี๋นะ”

“เซี่ยนอวี๋”

“เซี่ยนอะไรนะ”

“เซี่ยนอวี๋”

“ดะเดี๋ยว…เดี๋ยวๆ…พี่ขอตั้งสติก่อน” หลินเซวียนเป็นวัยรุ่น ความสามารถในการยอมรับนั้นดีกว่าแม่เล็กน้อย แต่อยู่ๆ ได้ยินข้อมูลเช่นนี้ก็ชะงักกันไปเหมือนกัน

ผ่านไปนานโขกว่าหลินเซวียนจะตั้งสติได้ “เซี่ยน…อวี๋?”

หลินเยวียนตอบ “อืม”

“เซี่ยนอวี๋!”

“อืมๆ ”

“เซี่ยนอวี๋!?”

น้ำเสียงของพี่สาวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่คนนิ่งๆ อย่างหลินเยวียนฟังแล้วก็แทบพลอยตกใจไปด้วย “ใช่ เซี่ยนอวี๋คือผม ผมก็คือเซี่ยนอวี๋…แต่ว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือผมจะซื้อโทรศัพท์ให้พี่”

“เธอใจร้ายจริงๆ เลย!”

หลินเซวียนโมโหขึ้นมาทันที “ซื้อแค่โทรศัพท์? เมื่อก่อนพี่ดีกับเธอขนาดไหน เมื่อก่อนไม่ต้องพูดถึง ทั้งเสื้อผ้ารองเท้าตอนเธอเข้าเรียน ก็เป็นพี่ที่ใช้เงินค่าฝึกงานทั้งเดือนจ่ายไปจนหมด!”

หลินเยวียนหลุดหัวเราะ “พี่จะเอาเท่าไหร่ล่ะ”

ความสัมพันธ์ของเขากับพี่สาวและน้องสาวแน่นแฟ้นมาก ไม่เคยรู้สึกห่างเหินกัน ถึงขั้นที่เขาเองก็ยังชอบวิธีการพูดคุยกันแบบนี้

“ต้องอย่างนี้สิ”

พี่สาวพูดอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ นักแต่งเพลงรายได้ดี แถมเพลงของเธอก็ดังขนาดนั้น แค่ซื้อโทรศัพท์ไม่พอหรอก ต้องแถมเงินอีกสักห้าพันหยวนถึงจะได้ พี่ต้องจ่ายค่าเช่าห้องอีก เอางี้ เหมารวมเลย หมื่นหยวนก็แล้วกัน!”

หลินเยวียนตอบ “โอนให้พี่แล้ว”

หลินเซวียนยิ้มเอ่ย “โอเค พี่ดูก่อนนะ…”

ปลายสายพลันเงียบเสียงไป

ผ่านไปพักใหญ่ หลินเซวียนจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงวิตก “เธอไม่ได้พิมพ์เลขศูนย์เกินมาตัวนึงเหรอ?”

หลินเยวียนหัวเราะ “ผมไม่ได้พิมพ์ผิด แสนนึง ให้พี่หมดเลย”

หลินเซวียนพูดเสียงขรึม “หลินเยวียน! พี่รู้ว่าเธอใจดีกับพี่ แต่เธอก็ต้องเข้าใจด้วยว่าได้เงินมาก้อนใหญ่ก็ต้องเอาไปให้แม่ แม่ไปยืมเงินญาติกับเพื่อนๆ มาไม่น้อยเพื่อรักษาเธอ เงินพวกนี้ต้องคืน พี่เก็บไว้แค่ไม่กี่พันก็พอ ที่เหลือเดี๋ยวจะโอนให้แม่หมดเลย จะเอาไปใช้ทำอะไรให้แม่ตัดสินใจ เธอไม่มีความเห็นใช่มั้ย แต่ถึงมีก็ไม่มีประโยชน์หรอก พี่พูดคำไหนคำนั้น”

“คืออย่างนี้…”

หลินเยวียนทำได้เพียงเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้พี่สาวฟังรอบหนึ่ง

หลินเซวียนเดิมทีตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นปลื้มใจ ถึงขั้นที่กระโดดโลดเต้นอยู่กับที่ “เธอโอนไปเมื่อเดือนที่แล้ว? เดือนนี้ยังได้เงินมาเยอะขนาดนี้อีก? น้องรัก พี่ไม่อยากทำงานแล้ว ให้ตายเถอะ พี่ไม่อยากพยายามแล้ว!”

หลินเยวียน “…”

เห็นทีความสามารถในการยอมรับของพี่คงจะสู้แม่ไม่ได้

หลังจากที่ลิ้นพันอยู่นาน ในที่สุดหลินเซวียนก็ใจเย็นลง “งั้นก็ว่าตามความคิดเธอก็แล้วกัน ใช้หนี้ของที่บ้านก่อน ส่วนเงินนี่ เธอก็อย่าหวังว่าจะได้คืนนะ หนึ่งแสนหยวนนี้ของพี่!”

“ใช่ๆ ของพี่”

หลินเยวียนบอก “ไม่อยากพยายามก็ไม่ต้องพยายามแล้ว กลับไปเรียนเถอะ พี่ไม่ได้เรียนปริญญาโทก็เพื่อผม กลับไปเรียนตอนนี้ยังทัน”

“ไม่อะ”

หลินเซวียนปฏิเสธ “เธอเป็นน้องพี่หรือเปล่าเนี่ย ไม่เข้าใจพี่เลยสักนิด คิดว่าพี่ชอบเรียนหนังสือขนาดนั้นเลยหรือไง ตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งที่พี่เกลียดที่สุดก็คือการเรียน! แม่นั่นแหละที่บอกตลอดว่าการศึกษาสูง ถึงจะหางานดีๆ ได้ พี่แค่คิดว่าถ้าหางานดีๆ ได้ ก็จะได้เงินมารักษาเธอ เพราะงั้นเลยบังคับให้ตัวเองเรียนๆๆ มาตลอด…เรียนจนสมองระเบิดแล้วเนี่ย! ตอนนี้เธอหาเงินได้เก่งขนาดนี้ พี่จะเรียนไปทำไมล่ะ หลังจากนี้แค่ทำงานอย่างสบายใจก็พอ อีกอย่างพี่ก็ชอบงานนี้มากด้วย ถ้าเกิดต่อไปเธอเขียนเพลงไม่ออกแล้ว อย่างน้อยพี่ก็ยังมีหลักประกัน ไม่ถึงกับต้องปล่อยให้พวกเธอไปนอนข้างถนน”

“ก็ได้”

หลินเยวียนพูด “ให้พี่ตัดสินใจเองแล้วกัน”

หลินเซวียนพูดว่า “พี่ชอบอ่านนิยายตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ยังเป็นแค่บ.ก.ฝึกงานในสำนักพิมพ์ ได้เจอนักเขียนดังๆ ตั้งหลายคนแน่ะ ทำงานมาไม่กี่เดือน ผลงานก็ธรรมดา แต่ได้ลายเซ็นนักเขียนมาเป็นตั้งเลย”

“พี่เป็นบ.ก.เหรอ”

“ใช่ ก่อนหน้านี้ก็เคยบอกเธอนี่ ดูท่าแล้วเธอจะจำไม่ได้…บอกอีกสักรอบแล้วกัน พี่ทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์หลิงชวน ยังอยู่ในขั้นแรกเข้า ผ่านไปอีกสักพักก็น่าจะผ่านโปรได้เป็นพนักงานประจำ!”

“โอเค งั้นต่อไปพี่ก็กินข้าวเย็นดีกว่านี้หน่อยนะ”

หลินเยวียนกำลังใคร่ครวญว่าต่อไปก็จะไปแต่งหนังสือนิยายที่บริษัทของพี่สาวได้

ซูเปอร์โนวาเป็นกิจกรรมที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูจัดขึ้น ไม่ใช่บริษัทที่พี่สาวทำงานอยู่ ฉะนั้นจะยังไปตอนนี้ไม่ได้

“แน่นอนอยู่แล้วละ!”

หลินเซวียนเอ่ยอย่างได้ใจ “มีเงินแสนหยวนแล้วจะไม่ให้กินเยอะขึ้นได้เหรอ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่จะเติมไส้กรอกแฮมอีกสองแท่งลงไปในบะหมี่!

หลินเยวียน “…”

พี่สาวเป็นคนแบบนี้ สมแล้วที่แซ่หลิน

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสักพักก่อนจะวางสาย

หลินเยวียนดูเงินในบัญชี ยังมีเงินเหลืออีกประมาณหกแสน เขาโอนเงินให้แม่ห้าแสนห้าหมื่นหยวนทันทีโดยแทบจะไม่ต้องคิด แล้วจึงส่งข้อความไปว่า

‘จ่ายหนี้ได้แล้ว’

ครอบครัวมีหนี้สินทั้งหมดห้าแสนกว่าหยวน ครั้งเดียวก็สามารถจ่ายหนี้ได้หมดแล้ว

แม่โทรกลับมาทันทีที่แตะมือถือ เธอกล่าวด้วยความตื่นอกตกใจ “เดือนนี้ลูกได้เงินมากขนาดนี้เลย?”

“โชคดีน่ะครับ รับงานหนึ่งมาพอดี”

หลินเยวียนจึงอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด

แม่วางสายโทรศัพท์ไป จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงกลับมา “สัญญาณไม่ค่อยดี เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปจ่ายหนี้นะ”

หลินเยวียนส่งอีโมจิหน้ายิ้มกลับไป

เขารู้เหตุผลที่แม่วางสาย ร้อยทั้งร้อยก็เพราะแม่อยากร้องไห้ และไม่อยากให้ลูกได้ยิน จึงเลือกปลีกตัวออกมาก่อน แต่เขาก็แค่ไม่ได้พูดออกไปให้แม่ฟังเท่านั้นเอง

เมื่อสะสางเรื่องนี้แล้ว

เขาก็นอนแผ่อยู่ในสนามกีฬาของวิทยาลัย เหม่อมองท้องฟ้าประกายแสงดาว ในใจเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นสงบนิ่ง เป็นความรู้สึกมั่นคงที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

เขานึกถึงวันที่ทะลุมิติเข้ามา เขาก็นอนมองท้องฟ้าเช่นนี้เหมือนกัน

แต่ว่าในตอนนั้นมีทั้งเรื่องความเป็นความตาย มีทั้งความกดดันจากปัญหาของครอบครัว ไร้ซึ่งความรู้สึกสบายใจและอิ่มเอมแม้แต่ชั่วขณะเดียว

การได้มีชีวิตอยู่นี่ดีจริงๆ

……………………………………………..