ย้อนกลับมาไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในเมืองแพนเทร่าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือห่างไกลไปจากเมืองรีมินัสหลายร้อยกิโลเมตรนั้นได้มีร่างเล็กๆ ของเด็กสาวผมสีเทาทรงหางม้าในชุดเครื่องแบบสาวใช้สีน้ำตาลกำลังยืนมองร่างเล็กๆ อีกร่างที่ซ่อนตัวเองเอาไว้ภายใต้ชุดผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาอยู่อย่างเงียบๆ

 

โดยหลังจากที่ทั้งสองคนยืนจ้องกันไปได้สักพัก สาวใช้ตัวน้อยนั้นก็ได้ขยับกล่องสีดำขนาดใหญ่ที่เธอแบกเอาไว้บนหลังเข้าให้ที่เข้าทาง ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากถามร่างเล็กๆ ในผ้าคลุมตรงหน้าเธอขึ้นมา

 

“หน้าที่ของฉันคือให้ขึ้นไปสนับสนุนจากทางด้านบนสินะคะ?”

 

“…..”

 

ร่างเล็กๆ ภายใต้ผ้าคลุมนั้นทำเพียงแค่ขยับมือของเธอเล็กน้อยโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก่อนที่เธอจะเดินผ่านสาวใช้ตัวน้อยไปยังปราสาทแพนเทร่าที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลในทันที

 

“รับทราบคำสั่ง”

 

ถึงแม้ว่าร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมนั้นจะไม่ได้พูดอะไรออกมาและการขยับมือของอีกฝ่ายนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงการสะบัดผ้าคลุมให้เข้าที่เท่านั้นเองซะด้วยซ้ำ แต่ว่าสาวใช้ตัวน้อยนั้นก็ได้พูดตอบกลับไปราวกับว่าอีกฝ่ายได้ตอบเธอกลับมาแล้ว

 

และเมื่อสาวใช้ตัวน้อยเห็นว่าอีกฝ่ายได้เดินจากไปจนลับสายตาแล้ว เธอก็ถอดกล่องยาวๆ สีดำที่แบกไว้บนหลังลงกับพื้นและสอดมือของเธอเข้าไปในช่องเล็กๆ

 

ที่ถูกเปิดออกบริเวณด้านข้างของปลายกล่องนั้น ก่อนที่เธอจะใช้มืออีกข้างประคองตัวกล่องยาวๆ สีดำนั้นขึ้นมาด้วยท่าทางเหมือนกับว่ามันเป็นปืนยาวกระบอกหนึ่ง

 

“แฟรี่ นูลิส อัลฟ่า… เริ่มภารกิจ”

 

ทันทีที่สาวใช้ตัวน้อยที่ชื่อว่า นูลิส พูดจบ บนแผ่นหลังของเธอก็ได้มีแสงสว่างสีฟ้าแผ่ออกมา ก่อนที่แสงเหล่านั้นจะเรียงตัวกันจนดูราวกับว่ามันเป็นปีกผีเสื้อสีฟ้าที่ดูสวยงาม

 

และในจังหวะเดียวกันนั้นร่างเล็กๆ ของเธอก็ได้ลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวแซงร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมที่เดินออกไปก่อนไปทางยอดหอคอยของปราสาทแพนเทร่าอย่างรวดเร็ว

 

“…..”

 

ซึ่งร่างเล็กๆ ภายใต้ชุดผ้าคลุมนั้นก็เหลือบตามองดูนูลิสที่บินแซงเธอไปเล็กน้อยพร้อมกับเร่งฝีเท้าของตัวเองตามไปทางปราสาทแพนเทร่าด้วยเช่นกัน

 

ส่วนทางด้านนูลิสนั้นก็ได้บินไปหยุดอยู่เหนือยอดหอคอยที่สูงที่สุดของปราสาทแพนเทร่าแล้วจึงลอยตัวอยู่นิ่งๆ ชมบรรยากาศของเมืองแพนเทร่าจากจุดที่สูงที่สุดของเมืองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“ขอเบิกกระสุนด้วยค่ะ…”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของนูลิสก็ได้มีละอองแสงสีฟ้าพุ่งกระจายออกมาจากฝ่ามือที่เธอยื่นมาไว้เบื้องหน้า ก่อนที่ละอองแสงเหล่านั้นจะพุ่งเข้าไปรวมตัวกันเป็นแท่งยาวๆ ขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือของเธอ

 

และเมื่อละอองแสงสีฟ้าเหล่านั้นขยับไปมาได้สักพัก มันก็ได้กระจายตัวออกจากกันและสลายหายไป เผยให้เห็นแท่งเหล็กสีดำขนาดยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือที่กำลังลอยอยู่นิ่งๆ

 

“สามนัดสำหรับภารกิจ… สำรองอีกสอง…”

 

กรึ๊ก!

 

นูลิสพูดกับตัวเองออกมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะยื่นกล่องสีดำที่เธอสวมเอาไว้บนมือไปข้างหน้า จนทำให้ปลายอีกข้างหนึ่งของมันแยกออกจากกันในแนวตั้งและหดกลับเข้าหาตัวเธอเล็กน้อยเผยให้เห็นท่อเกลียวๆ ที่ดูคล้ายกับปากกระบอกปืนขนาดใหญ่ที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายใน

 

พร้อมๆ กับที่ด้านของตัวกล่องตรงบริเวณใกล้ๆ กับตัวเธอนั้นก็ได้มีช่องเล็กๆ ถูกดีดให้เปิดออกมา

 

และในขณะที่นูลิสกำลังจะจับแท่งเหล็กสีดำในมือของเธอใส่เข้าไปในช่องที่ถูกเปิดออกนั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของหญิงสาววัยกลางคนที่ฟังดูใจดีดังขึ้นมาจากด้านหลังของเธอเข้าซะก่อน

 

“ห้านัดนี่มันไม่เยอะไปหน่อยหรอจ๊ะ? อย่างอาวุธของหนูนี่แค่สักสามนัดก็น่าจะเหลือเฟือแล้วไม่ใช่หรอ?”

 

“ไม่หรอกค่ะ… หนึ่งนัดสำหรับภารกิจแรก แล้วก็อีกสองนัดสำหรับภารกิจที่สอง ส่วนสองนัดสุดท้ายเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินน่ะค่ะ เพราะยังไงพวกเราก็ต้องเตรียมแผนสำหรับรับมือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ด้วย”

 

นูลิสได้ตอบเจ้าของเสียงนั้นกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับว่าเธอคุ้นชินกับการที่มีเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นมาแบบไม่คาดคิดแล้ว พร้อมๆ กับที่เธอได้ยัดแท่งเหล็กเข้าไปในช่องที่ถูกเปิดออกนั้นและตบมันให้ปิดเข้าไปตามเดิมก่อนที่เธอจะหันไปพูดกับเจ้าของเสียงนั้นอีกครั้ง

 

ปึ๊ก—แกร๊ก–!

 

“ใช่มั้ยล่ะคะ…คุณแม่…”

 

สิ่งที่นูลิสเห็นเมื่อหันกลับไปนั้นก็คือร่างเงาสีดำจางๆ ที่ดูแล้วเหมือนว่าจะเป็นของผู้หญิงวัยกลางคนที่ซึ่งกำลังลอยตัวอยู่ตรงบริเวณปีกแสงของเธอ และเมื่อร่างเงาของหญิงวัยกลางคนนั้นได้เห็นว่านูลิสหันกลับมาพูดกับเธอตรงๆ แล้ว ร่างเงานั้นก็ได้ลอยเข้าไปเกาะหลังของนูลิสอย่างสนิทสนมและพูดตอบเธอกลับไป

 

“นั่นสินะจ๊ะ ถ้าหนูว่าอย่างงั้นมันก็ได้อยู่แล้วแหล่ะ ส่วนกระสุนอีกสี่นัดถูกเตรียมเอาไว้ให้หนูเรียบร้อยแล้วนะ ถ้าต้องการใช้มันเมื่อไหร่ก็เรียกออกมาได้เลยละกันนะจ๊ะ”

 

“ว่าแต่นี่คุณแม่ยังไม่ดีขึ้นอีกหรอคะ…? ทำไมถึงยังปรากฏตัวออกมาได้แค่นี้อยู่อีกล่ะคะ?”

 

นูลิสที่เห็นว่าอีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาเป็นแค่ร่างเงาสีดำจางๆ ที่เห็นรายละเอียดโครงร่างได้เพียงเล็กน้อยนั้นได้เอ่ยปากถามอีกฝ่ายไปอย่างเป็นห่วง ซึ่งร่างเงาสีดำที่ถูกนูลิสเรียกว่าคุณแม่นั้นก็ได้เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาก่อนที่จะตอบกลับไป

 

“ก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะจ๊ะ แต่หลักๆ แล้วมันเป็นเพราะว่าระบบส่วนมากยังคงถูกปิดเอาไว้มากกว่าน่ะจ้ะ”

 

“แบบนั้นเองสินะคะ…”

 

นูลิสพยักหน้าตอบคุณแม่ของเธอไป และในขณะเดียวกันนั้นปากกระบอกปืนตรงกลางที่เป็นทรงเกลียวก็ได้เริ่มที่จะหมุนอย่างช้าๆ พร้อมๆ กับที่มีกระแสไฟฟ้าเส้นเล็กๆ ปะทุชิ่งไปมาระหว่างส่วนปลายของกล่องที่แยกออกจากกัน

 

วี๊…

 

“เตรียมกระสุนเรียบร้อย…”

 

และหลังจากนั้นนูลิสก็ได้หันสิ่งที่เหมือนว่าจะเป็นอุปกรณ์ยิงแท่งเหล็กอันนั้นไปทางถนนเส้นหลักของเมืองแพนเทร่าที่เป็นเส้นทางตรงจากประตูเมืองมายังปราสาทที่เธอลอยตัวอยู่เหนือมัน

 

“แล้วรอบนี้เด็กคนนั้นเขาว่ายังไงบ้างล่ะ? เรื่องขอบเขตความเสียหายของภารกิจน่ะ?”

 

ทันใดนั้นเองคุณแม่ของนูลิสที่กำลังเกาะไหล่ของเธออยู่ก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นมา จนทำให้สาวใช้ตัวน้อยต้องพูดทวนคำสั่งที่เธอได้รับมาจากร่างเล็กๆ ภายใต้ผ้าคลุมที่เพิ่งจะเดินเข้าไปในตัวปราสาทแพนเทร่าให้คุณแม่ของเธอได้ฟัง

 

“คำสั่งที่หนึ่ง ทำลายอุปกรณ์ที่เธอคนนั้นมีส่วนช่วยในการคิดค้น คำสั่งที่สอง ช่วยสนับสนุนการหลบหนีของหัวหน้า ขอบเขตความเสียหายที่รับได้ของภารกิจ ไม่จำกัด”

 

“หรือก็คือให้ทำภารกิจโดยไม่ต้องสนใจความเสียหายของสภาพแวดล้อมและผู้คนเหมือนเดิมสินะจ๊ะ… เอาจริงๆ ไม่ใช่ว่าหลังๆ มานี้มีแต่คำสั่งแบบนี้หรอกหรอจ๊ะเนี่ย…”

 

ในขณะที่คุณแม่ของนูลิสกำลังพูดบ่นออกมาอยู่นั้นเองก็ได้มีขบวนรถกระบะแบบเดียวกับที่พวกนากาเคยนั่งไปยังเมืองรีมินัสได้แล่นผ่านเข้าประตูเมืองมาจำนวนหนึ่ง

 

โดยที่กระบะหลังของรถพวกนั้นได้บรรทุกชิ้นส่วนขนาดใหญ่มากันเต็มคันรถ ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะถูกผ้าใบผืนใหญ่คลุมเอาไว้เพื่อปิดซ่อนมันจากสายตาคนอื่นก็ตาม แต่ว่าด้วยความที่ชิ้นส่วนพวกนั้นมีขนาดใหญ่เกินไปก็ทำให้บางส่วนของมันโผล่พ้นผ้าใบออกมาอยู่ดี

 

และเมื่อเป็นแบบนั้นเหล่าทหารนับสิบคนที่เดินตามขบวนรถมาเพื่อคุ้มกันจึงจำเป็นต้องกระจายตัวกันออกไปเพื่อไล่ชาวเมืองที่เดินเข้ามายืนมุงดูกันอย่างอยากรู้อยากเห็นให้แยกย้ายกันไป

 

ส่วนทางด้านนูลิสที่เห็นว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนผ่านเข้าประตูเมืองมาก็ได้นำแก้มของเธอไปแนบกับไหล่ข้างที่สวมใส่อุปกรณ์ยิงแท่งเหล็กเอาไว้

 

ก่อนที่ด้านข้างของตัวอุปกรณ์จะมีแผ่นกระจกเล็กๆ ที่มีเครื่องหมายตรงกลางเหมือนกับศูนย์เล็งปืนถูกดันออกมา ซึ่งนูลิสก็ได้ใช้มันช่วยในการเล็งเป้าหมายที่อยู่ห่างไปหลายกิโลเมตรจนดูเหมือนเป็นจุดเล็กๆ นั้น

 

“ยืนยันเป้าหมาย… เริ่มทำการรวบรวมพลังงาน”

 

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

 

เมื่อนูลิสพูดจบ กระแสไฟฟ้าขนาดเล็กๆ ที่ชิ่งไปมาระหว่างปากกระบอกปืนนั้นก็ได้เพิ่มจำนวนขึ้นและลำกล้องปืนขนาดใหญ่ที่อย่ตรงกลางนั้นก็ได้หมุนควงอย่างรวดเร็ว

 

และทันใดนั้นเองตัวกระสุนที่หน้าตาเหมือนกับแท่งเหล็กก็ได้ถูกดีดออกจากตัวอุปกรณ์ไปลอยอยู่ภายในลำกล้องปืน ซึ่งตัวแท่งเหล็กที่ถูกดีดออกมานั้นก็ค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นอย่างรวดเร็วจนเริ่มที่จะส่งเสียงเสียดแหลมออกมา

 

วี๊~~~

 

ซึ่งในระหว่างที่นูลิสกำลังเตรียมอุปกรณ์ในมือของเธอให้พร้อมยิงนั้นเอง คุณแม่ของเธอที่เป็นเพียงร่างเงาสีดำจางๆ ก็ได้ยกมือขึ้นมาเบื้องหน้าและขยับมันไปข้างๆ ราวกับว่าเธอเพิ่งจะปัดอะไรสักอย่างที่ลอยอยู่เบื้องหน้าออกไป ก่อนที่คุณแม่ของเธอจะพูดถามออกมาอย่างสงสัย

 

“นูลิส… นี่หนูเลือกเบิกมาแต่กระสุนหัวด้านทั้งนั้นเลยไม่ใช่หรอจ๊ะ?”

 

“กระสุนธรรมดาๆ แบบนี้ก็เพียงพอที่จะทำลายเป้าหมายแล้วล่ะค่ะ แล้วหนูก็คิดว่ามันประหยัดทรัพยากรมากที่สุดแล้วด้วย”

 

“อื้ม… จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิดล่ะมั้ง…”

 

นูลิสที่ไม่เห็นว่าคุณแม่ของเธอจะเอ่ยปากว่าอะไรเธอออกมาก็ได้ตั้งสมาธิเพื่อมองดูเป้าหมายผ่านกล้องเล็งอีกครั้งแล้วพูดย้ำออกมาอีกทีหนึ่ง

 

“ยืนยันเป้าหมาย ขบวนรถขนย้ายอุปกรณ์การบินรุ่นทดลอง พิกัด เมืองแพนเทร่า จำนวนผู้คุ้มกัน ยี่สิบคน”

 

เมื่อได้ยินนูลิสรายงานเพื่อยืนยันเป้าหมายของภารกิจออกมา คุณแม่ของเธอก็ได้เลื่อนมือไปมาอยู่กลางอากาศอีกครั้งหนึ่งราวกับว่าเธอกำลังอ่านอะไรบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้า และหลังจากนั้นคุณแม่ของเธอก็ได้พูดยืนยันการปฏิบัติภารกิจออกมาอีกครั้ง

 

“ยืนยันเป้าหมาย เริ่มภารกิจได้จ้ะ”

 

แต่ว่าในขณะที่นูลิสกำลังจะลั่นไกเครื่องยิงแท่งเหล็กออกไปนั้นเอง คุณแม่ของเธอก็ได้ลอยตัวไปทางด้านข้างพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปกระซิบพูดกับเธอเบาๆ

 

“ถึงคำสั่งจะบอกว่าไม่ต้องสนใจจำนวนผู้เสียชีวิตก็เถอะ แต่ว่ามันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีผู้เคราะห์ร้ายก็ได้ใช่มั้ยล่ะจ๊ะ?”

 

“…..”

 

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคุณแม่ของเธอพูดออกมาแบบนั้น แต่ว่าสาวใช้ตัวน้อยก็กลับไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าหรือว่าชะงักไปเลยแม้แต่น้อย โดยเธอนั้นได้ใช้มือข้างที่สอดเข้าไปในอุปกรณ์เหนี่ยวไกอย่างไร้ซึ่งความลังเล

 

ปึ้ง!!

 

และนั่นก็ทำให้แท่งเหล็กที่หมุนควงอยู่ภายในปากกระบอกปืนนั้นถูกดีดออกไปอย่างรุนแรงและพุ่งตรงไปทางขบวนรถขนส่งด้วยความเร็วที่แทบมองไม่เห็น

 

“หือ…. —–!!?”

 

ฟุ๊บ! ฟุ๊บ! แกร๊ก!! ปึ๊ก!!!

 

ถึงแม้ว่าทหารคนที่ขับรถนำหน้าสุดนั้นจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่กำลังพุ่งเข้ามา แต่ว่าด้วยความเร็วของมันนั้นก็ทำให้เขาไม่สามารถตอบสนองได้ทันเมื่อตัวแท่งเหล็กได้พุ่งทะลุหลังคารถเข้ามาภายในห้องโดยสารและทะลุเหล็กด้านหลังห้องโดยสารออกไปกระแทกกับชิ้นส่วนขนาดใหญ่ทางด้านหลังก่อนที่มันจะทะลุไปปักกับพื้นอย่างรุนแรงจนแทบจะฝังลงไปมิดทั้งแท่ง

 

ซึ่งทหารที่ทำหน้าที่ขับรถบรรทุกนั้นก็ได้แต่มองดูรูกลมๆ บนหลังคาอย่างสับสน ก่อนที่เขาจะเอี้ยวตัวกลับไปดูข้างหลังและพบว่ามันได้มีรูกลมๆ ลักษณะเดียวกันทะลุทั้งด้านหลังห้องโดยสารและชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่รถกระบะของเขาขนมาด้วยลากยาวไปจนมองเห็นพื้นถนนใต้ตัวรถ

 

และนั่นก็ทำให้เขาต้องรีบกระโดดลงจากรถของตนเพื่อแจ้งเตือนทหารคนอื่นในทันที

 

“มีคนแอบซุ่มโจม————”

 

เปรี๊ยะ! บรึ๊มมมมมม!!!

 

ทันใดนั้นเองวงจรพลังงานวิซที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถกระบะก็ได้ปะทุออกมาจนเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง และชิ้นส่วนขนาดใหญ่ที่รถคันนั้นบรรทุกมาด้วยก็ถูกแรงระเบิดเข้าไปอย่างจังจนหักงอผิดรูปเดิม ก่อนที่ทั้งซากรถกระบะและซากชิ้นส่วนต่างๆ จะร่วงลงมาตกกระแทกพื้นกระจัดกระจายอยู่เต็มถนนจนทำให้ขบวนรถด้านหลังที่ขับตามมาไม่อาจเคลื่อนตัวไปต่อได้อีก

 

แกร๊ก—-ฟู่วววววววว!!

 

ในขณะเดียวกันทางด้านนูลิสนั้นก็กำลังพยายามบินทรงตัวอยู่กลางอากาศ เพราะว่าหลังจากที่เธอลั่นกระสุนออกไปแล้ว ตัวปืนของเธอก็ได้พ่นไอร้อนออกมาจากทางด้านข้างอย่างรุนแรงจนแทบจะทำให้ตัวเธอที่ลอยอยู่บนฟ้านั้นเกือบจะเสียสมดุล

 

และเมื่อนูลิสทรงตัวอยู่นิ่งๆ กลางอากาศได้แล้วเธอก็ได้ส่องผ่านกล้องเล็งที่ตัวปืนอีกครั้งเพื่อตรวจสอบดูสภาพความเสียหายของเป้าหมายของเธอ

 

“เหมือนจะเรียบร้อยแล้วสินะคะ…”

 

“จ้ะ อุปกรณ์คำนวณกับอุปกรณ์ช่วยทรงตัวที่เธอคนนั้นสร้างขึ้นมาถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่อยู่ในรถคันอื่นเป็นแค่ชิ้นส่วนที่เธอคนนั้นไม่ได้ร่วมพัฒนาด้วยเพราะงั้นไม่จำเป็นต้องทำลายทิ้งหรอกจ้ะ”

 

“รับทราบค่ะ…”

 

นูลิสพยักหน้าให้คุณแม่ของเธอไปทีหนึ่ง พร้อมกับใช้กล้องเล็งของอุปกรณ์ส่องดูท่าทีของทหารในขบวนคุ้มกันที่ดูเหมือนจะรู้แล้วว่าเธอซุ่มยิงพวกเขามาจากยอดหอคอยนี้ แต่ถึงแบบนั้นสาวใช้ตัวน้อยก็ไม่มีท่าทีกังวลใจเลยแม้แต่น้อย

 

ก่อนที่เธอจะหันไปมองดูประตูปราสาทในส่วนที่ติดกับลานกว้างที่เพิ่งจะถูกเปิดออกโดยร่างเล็กๆ ภายใต้ผ้าคลุมเปื้อนเลือด

 

“คุมตัวเจ้านั่นไว้! แล้วไปเรียกกำลังเสริมมา”

 

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องตะโกนดังมาจากด้านในตัวปราสาท ทำให้อัศวินเฝ้ายามทั้งสองคนต้องรีบหันไปมองดูผู้ที่เพิ่งจะก้าวเท้าออกมาในทันที

 

“!?”

 

และเมื่อพวกเขาทั้งสองเห็นว่าคนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากตัวปราสาทนั้นเป็นร่างเล็กๆ ในผ้าคลุมเปื้อนเลือด พวกเขาก็รีบตวัดมือไปคว้าอาวุธของตนขึ้นมาทันที

 

ฟวับ!

 

แต่ว่าก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะขยับตัวได้ช้าไป เพราะว่ากว่ามือของพวกเขาทั้งสองคนจะได้แตะอาวุธของตัวเอง ใบดาบเปื้อนเลือดของร่างในชุดคลุมนั้นก็ได้ตวัดผ่านลำคอของพวกเขาทั้งสองคนไปพร้อมๆ กันซะแล้ว

 

ซึ่งร่างเล็กๆ ใต้ผ้าคลุมนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะแยแสอัศวินทั้งสองคนที่ทรุดลงไปกองกับพื้นเลยแม้แต่น้อย โดยเธอนั้นได้เดินตรงไปยังประตูหน้าของปราสาทที่มีเหล่าขุนนางบางส่วนซึ่งวิ่งหนีออกมาจากทางประตูด้านข้างกำลังยืนออกันอยู่หน้าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทบานนั้น

 

“หยุดเดี๋ยวนี้!!”

 

เจ้าของเสียงที่ตะโกนออกมาจากด้านในตัวปราสาทนั้นได้ตะโกนออกมาเสียงดังอีกครั้งเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ในผ้าคลุมกำลังเดินตรงไปทางเหล่าขุนนางที่กำลังพยายามทุบประตูกันอยู่ ก่อนที่เขาจะรีบวิ่งออกมาจากตัวปราสาทพร้อมกับอัศวินกลุ่มหนึ่งและพุ่งตรงเข้าใส่ร่างในผ้าคลุมอย่างรวดเร็ว

 

ฉึก!!

 

ยังไม่ทันที่หัวหน้าอัศวินคนนั้นจะได้พุ่งเข้าไปใกล้ อยู่ๆ ร่างในชุดคลุมก็ได้ดีดตัวพุ่งสวนเขากลับมาอย่างรวดเร็วและแทงดาบในมือลอดผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างตัวชุดเกราะตรงเข้าใส่ร่างของเขาได้อย่างง่ายดาย

 

และเมื่อหัวหน้าอัศวินได้ทรุดลงไปกับพื้น ร่างในผ้าคลุมเปื้อนเลือดก็ได้พุ่งเข้าไปจัดการสังหารอัศวินคนอื่นที่ยังตามสถานการณ์กันไม่ทันไปทีละคนๆ จนทำให้คุณแม่ของนูลิสที่ลอยตัวอยู่ข้างๆ สาวใช้ตัวน้อยบนยอดหอคอยนั้นอดที่จะพูดออกมาไม่ได้

 

“ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะไม่ได้ช่วยให้เด็กคนนั้นดีขึ้นเลยสินะจ๊ะ…”

 

“หนูคิดว่าแค่เวลาอย่างเดียวคงจะไม่ช่วยเยียวยาเรื่องแบบนั้นหรอกนะคะ…”

 

คำตอบของนูลิสนั้นทำให้คุณแม่ของเธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเอ่ยพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“นี่… นูลิส”

 

“คะ…?”

 

“ดูเหมือนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่หนูว่าไว้ขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะจ๊ะ”

 

คุณแม่ของนูลิสได้พูดขึ้นมาพลางชี้ไปยังด้านนอกกำแพงปราสาทฝั่งหนึ่ง ที่ในตอนนี้ได้มีหญิงสาวผมสีเขียวกับหญิงสาวผมสีชมพูกำลังยืนเถียงกันอยู่

 

และเมื่อสาวใช้ตัวน้อยได้เห็นแบบนั้นเธอก็มองดูหญิงสาวทั้งสองคนอยู่ชั่วครู่แล้วจึงหันไปทางด้านนอกประตูปราสาทที่มีกองทหารกำลังรวมตัวกันอยู่แทน

 

“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรขนาดนั้นล่ะมั้งคะ… แล้วก็ยังไม่มีคำสั่งอะไรส่งมาด้วยเพราะงั้นปล่อยสองคนไปแล้วไปจัดการทางด้านประตูทางเข้ากันก่อนน่าจะดีกว่าค่ะ…”

 

ทันทีที่นูลิสพูดจบเธอก็ใช้ละอองแสงสีฟ้าเรียกเอากระสุนเหล็กออกมาและใส่มันเข้าไปในตัวปืนของเธอเพื่อเตรียมตัวยิงอีกครั้งในทันที

 

วี๊~~~

 

แต่ว่าในขณะที่เธอกำลังจะลั่นไกเพื่อขัดขวางการยิงถล่มประตูหน้าของเหล่าทหารนั้นเอง คุณแม่ของเธอก็ได้ลอยเข้ามาเกาะไหล่ของนูลิสใกล้ๆ พร้อมกับพูดกระซิบขึ้นมาที่ข้างๆ หูของเธอซะก่อน

 

“อย่าลืมนะจ๊ะว่าในเมื่อยังไม่มีคำสั่งลงมาแบบนี้ก็หมายความว่าหนูสามารถที่จะจัดการทุกอย่างได้ตามใจตัวเองน่ะจ้ะ”

 

“….!”

 

คำพูดของร่างเงาจางๆ ที่เธอเรียกว่าคุณแม่นั้นทำให้สาวใช้ตัวน้อยที่กำลังจะลั่นไกชะงักไปเล็กน้อย เป็นโอกาสให้เหล่าทหารได้ใช้ปืนใหญ่วิซยิงเข้าใส่ประตูหน้าจนมันถล่มลงมาและวิ่งเข้าไปด้านในลานกว้างหน้าปราสาทได้สำเร็จ และนั่นก็ทำให้เหล่าขุนนางกับคนใช้ภายในตัวปราสาทเองก็สามารถที่จะหนีออกไปข้างนอกได้เช่นกัน

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

ในขณะที่นูลิสกำลังมองดูเหล่าขุนนางและคนใช้จำนวนมากวิ่งหนีไปยังด้านนอกกำแพงนั้นเอง อยู่ๆ อุปกรณ์ยิงแท่งเหล็กของเธอก็ได้ส่งเสียงร้องเตือนออกมาพร้อมๆ กับที่แท่งเหล็กที่ลอยอยู่ภายในปากกระบอกปืนเริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความร้อน

 

และเมื่อเป็นแบบนั้น เธอจึงจำเป็นที่จะต้องหันปากกระบอกปืนไปทางกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ กันและลั่นกระสุนออกไปก่อนที่จะมีปัญหาเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ของตัวเองในทันที

 

ปึ้ง!! ตู๊มมม!!

 

นูลิสที่กำลังลอยเซไปมาเพราะแรงลมจากการระบายความร้อนนั้นได้มองดูหญิงสาวผมเขียวและผมชมพูที่กำลังวิ่งเข้าไปในลานกว้างผ่านทางกำแพงที่ถล่มลงมาเพราะกระสุนนัดเมื่อสักครู่ด้วยใบหน้านิ่งเฉย

 

ก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะใช้ละอองแสงสีฟ้าเรียกกระสุนออกมาอีกหนึ่งนัดและใส่มันลงไปตัวอุปกรณ์อีกครั้ง

 

“…ได้รับคำสั่งใหม่แล้วใช่มั้ยจ๊ะ?”

 

“ค่ะ…”

 

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

 

เธอขานตอบคุณแม่ของเธอกลับไปสั้นๆ ก่อนจะเตรียมพร้อมอาวุธของตนอีกครั้ง พลางจับตามองดูการต่อสู้ระหว่างหัวหน้าของเธอกับหญิงสาวผมสีเขียวเบื้องล่างสักครู่และเอ่ยปากถามคุณแม่ของเธอออกมา

 

“คุณแม่คะ… หนูมีเรื่องสงสัยอะไรบางอย่าง… คุณแม่พอที่จะสะดวกตอบมั้ยคะ?”

 

“หื้ม? ว่าไงจ๊ะ? ลองถามออกมาดูก่อนสิ”

 

ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำอนุญาตจากคุณแม่ของเธอแล้ว แต่ว่านูลิสนั้นก็กลับนิ่งเงียบไปสักพักราวกับว่าเธอไม่แน่ใจว่าจะถามมันออกมาดีหรือไม่

 

“ทำไมทั้งๆ ที่——— ยืนยันเป้าหมาย ซึสึมุ เซซิเรีย”

 

ในขณะที่นูลิสกำลังจะเอ่ยปากถามคุณแม่ของเธอออกมานั้น อยู่ดีๆ เธอก็ได้หันปากกระบอกปืนไปทางหญิงสาวผมสีเขียวที่ชื่อว่าเซซิเรียพร้อมกับพูดยืนยันเป้าหมายออกมา

 

วี๊~

 

“ยืนยันเป้าหมาย เริ่มภารกิจได้จ้ะ”

 

ในชั่วพริบตาก่อนที่นูลิสจะได้ลั่นไกใส่เซซิเรียนั้นเอง อยู่ๆ หญิงสาวผมชมพูที่ชื่อว่านิลิมก็ได้พุ่งมาขวางอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับโยนขวดอะไรบางอย่างออกมา และขวดเหล่านั้นก็ได้แตกกระจายกลายเป็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ดูทนทานกว่าน้ำแข็งทั่วไปอยู่มาก

 

“เธอนั่นแหละหลบไป!!”

 

ปึ้ง!! เพล้ง!!

 

แต่ว่าแผ่นน้ำแข็งของนิลิมก็ไม่สามารถที่จะต้านทานแท่งเหล็กสีดำได้เลยแม้แต่น้อยและในขณะที่แท่งเหล็กกำลังจะพุ่งทะลุแผ่นน้ำแข็งไปนั้นเอง นิลิมก็ได้เอาแขนทั้งสองข้างของเธอขึ้นมาไขว้กันไว้ที่เบื้องหน้าเพื่อรับกระสุนเหล็กนั้นอีกทีหนึ่ง

 

สวบ!! แกร๊ก—

 

แต่ทันทีที่แท่งเหล็กสีดำกำลังจะพุ่งทะลุแขนทั้งสองข้างของเธอออกมานั้น เลือดที่ไหลทะลักตามแท่งเหล็กออกมาด้วยก็ได้จับตัวกลายเป็นน้ำแข็งสีแดงในชั่วพริบตา และนั่นก็ทำให้แท่งเหล็กสีดำนั้นหยุดชะงักลงไปในทันที

 

ซึ่งนูลิสที่เห็นว่าเป้าหมายของเธอ หรือก็คือหญิงสาวผมสีเขียวนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งแรกก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมกับทำการเรียกกระสุนอีกหนึ่งนัดออกมาบรรจุลงไปในเครื่องยิงแท่งเหล็กในทันที

 

“เป้าหมายไม่ได้รับความเสียหาย เริ่มทำการโจมตีซ้ำอีกครั้ง”

 

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ

 

แต่ว่าในทันทีที่เธอเริ่มทำการรวบรวมพลังงานอีกครั้ง ปากกระบอกปืนตรงกลางที่เป็นเกลียวๆ นั้นก็เริ่มที่จะเรืองแสงสีส้มออกมาเล็กน้อยเนื่องจากว่ามันไม่ได้มีเวลาระบายความร้อนมากพอ และเมื่อเห็นแบบนั้นนูลิสก็รีบพูดบอกคุณแม่ของเธอทันที

 

“ไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน อาจเกิดความเสียหายที่ตัวอาวุธได้ ขอทำการยกเลิกการโจมตีค่ะ”

 

“ความเสียหายถือว่ายอมรับได้จ้ะ”

 

“รับทราบค่ะ…”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้นนูลิสที่กำลังจะหันปากกระบอกปืนไปทางอื่นก็จำเป็นต้องหันมันกลับไปเล็งใส่หญิงสาวผมสีเขียวที่ยืนอยู่กลางลานกว้างอีกครั้งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

 

วี๊~

 

“โถ่โว้ย!!”

 

ทางด้านเซซิเรียที่ยืนอยู่ใจกลางลานกว้างนั้นได้ร้องขึ้นมาอย่างขัดใจเมื่อเธอไม่สามารถหาตัวของนูลิสที่แอบลอบยิงพวกเธอได้ จึงทำให้หอกคริสตัลที่เซซิเรียสร้างขึ้นมานั้นหมุนไปมาอย่างไร้จุดหมายโดยไม่มีหอกอันไหนเล็งเข้าใส่สาวใช้ตัวน้อยที่ลอยตัวอยู่เหนือหอคอยเลยแม้แต่น้อย

 

และทันใดนั้นเองเด็กสาวร่างเล็กในผ้าคลุมอาบเลือดนั้นก็ได้เดินผ่านเซซิเรียที่ยังคงพยายามมองหาตัวนูลิสอยู่เข้าไปใกล้หญิงสาวผมชมพูที่แขนทั้งสองข้างถูกปักอยู่ติดกันโดยที่หญิงสาวผมสีเขียวไม่ทันได้สังเกตเห็น

 

ก่อนที่เด็กสาวในชุดผ้าคลุมนั้นจะเอาดาบในมือวางลงไปบนหัวของนิลิมเบาๆ และสลายมันทิ้งให้กลายเป็นละอองแสงสีขาว พร้อมกับเดินออกไปทางกำแพงปราสาทที่ถูกนูลิสยิงจนถล่มลงมา

 

ส่วนทางด้านนูลิสที่กำลังรวบรวมพลังงานอยู่เหนือหอคอยเองก็หยุดการรวบรวมพลังของเธอไปหลังจากที่ได้มีคำสั่งอะไรบางอย่างส่งตรงมาที่เธอ พร้อมๆ กับที่คุณแม่ของเธอนั้นได้ถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง

 

“มีคำสั่งยกเลิกการโจมตีมาจ้ะ หนูได้รับแล้วใช่มั้ยจ๊ะ?”

 

“รับทราบคำสั่งค่ะ แฟรี่ นูลิส จะทำการถอนกำลังเดี๋ยวนี้ค่ะ”

 

“ทำการกำหนดจุดนัดพบใหม่ให้เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ”

 

“รับทราบค่ะ…คุณแม่…”

 

หลังจากที่นูลิสได้ตอบรับคำของคุณแม่ของเธอไปแล้ว สาวใช้ตัวน้อยก็ได้ดึงแขนของเธอออกมาจากเครื่องยิงแท่งเหล็กจนทำให้ปลายอีกด้านหนึ่งของมันที่แยกเป็นสองแฉกนั้นหุบกลับลงไปและคืนสภาพอาวุธในมือของเธอให้กลับมามีหน้าตาเหมือนกับกล่องเหล็กสีดำธรรมดาๆ อีกครั้ง

 

ก่อนที่ปีกแสงสีฟ้าที่หน้าตาเหมือนกับปีกผีเสื้อบนหลังของนูลิสนั้นจะเรืองแสงสว่างออกมา ทำให้ร่างของเธอพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้าและหายเข้าไปในหมู่ก้อนเมฆเบื้องบน

 

และในระหว่างที่เธอกำลังจะบินไปยังจุดนัดพบนั้นเองอยู่ๆ คุณแม่ของเธอที่เป็นร่างเงาจางๆ ลอยตามมาด้วยก็ได้เอ่ยปากถามถึงสิ่งที่นูลิสต้องการจะถามเธอเมื่อสักครู่ออกมา

 

“ว่าแต่เมื่อกี้ก่อนที่หนูจะยิงใส่เด็กคนนั้นนี่หนูกะถามจะอะไรแม่หรอจ๊ะ?”

 

“…..”

 

ซึ่งทั้งสองก็ได้เงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนที่นูลิสจะหันไปมองคุณแม่ของเธอเล็กน้อย และเมื่อสาวใช้ตัวน้อยเห็นว่าร่างเงาของหญิงสาววัยกลางคนนั้นทำเพียงแค่ยิ้มมองดูเธออยู่เฉยๆ โดยไม่ตอบสนองกับสิ่งที่เธอทำในระหว่างที่เงียบไปนั้น เธอจึงได้แต่ยอมเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาแต่โดยดี

 

“ทั้งๆ ที่พวกเราสามารถสื่อสารกันได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสื่อกลางอย่างอื่นแท้ๆ แต่ทำไมคุณแม่ถึงต้องบังคับให้พวกหนูใช้วิธีการสื่อสารด้วยเสียงทุกครั้งเวลาที่คุยกับคุณแม่ถ้าเกิดว่าไม่ใช่กรณีฉุกเฉินหรือว่าการสื่อสารทางไกลด้วยล่ะคะ?”

 

“อ๋อ เรื่องนี้เองสินะ… อื้มมม จะอธิบายหนูว่ายังไงดีล่ะเนี่ย”

 

“หนูคิดว่าการที่พวกเราต้องมาอ้าปากพูดกันนี่มันเป็นวิธีการสื่อสารสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุนะคะ แล้วยังจะมีเรื่องที่ว่าอาจจะมีการสื่อสารที่ผิดพลาดเกิดขึ้นกันได้ง่ายๆ ด้วยอีก”

 

“ใช่จ้ะ แม่เห็นด้วยกับที่นูลิสว่ามาทุกอย่างเลย”

 

ทันทีที่ได้ยินนูลิสไล่พูดถึงข้อเสียของการสื่อสารด้วยเสียงออกมา คุณแม่ของเธอก็พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับยกมือจางๆ ของเธอขึ้นมาลูบหัวของนูลิสด้วยความเอ็นดูก่อนจะพูดอธิบายออกมาอย่างง่ายๆ ให้สาวใช้ร่างเล็กได้ฟัง

 

“ถ้าจะให้พูดก็คงจะเป็นเพราะว่าในตอนนี้พวกมนุษย์ยังสามารถทำได้เพียงแค่นั้นไงล่ะจ๊ะ แล้วในเมื่อพวกหนูจำเป็นต้องมาทำภารกิจแถวนี้แม่ก็เลยอยากให้พวกหนูใช้วิธีการพูดคุยกันเอาไว้ให้ชินน่ะจ้ะ”

 

“แล้วทำไมพวกหนูถึงต้องทำตามแบบมนุษย์พวกนั้นด้วยล่ะคะ?”

 

“…?”

 

ทันทีที่ร่างเงาของหญิงสาววัยกลางคนได้ยินคำถามของนูลิสเข้า เธอก็หันมามองนูลิสด้วยความประหลาดใจก่อนที่จะนิ่งไปสักพักใหญ่ๆ จนทำให้สาวใช้ร่างเล็กต้องหยุดบินลงและหันไปมองคุณแม่ของเธอด้วยความสงสัย

 

“คุณแม่คะ?”

 

“…โทษทีจ้ะ พอดีแม่ไม่คิดว่าหนูจะสงสัยกับเรื่องนี้มากขนาดนี้ ก็เลยต้องใช้เวลาค้นหาคำตอบอยู่สักครู่หนึ่งน่ะ”

 

“ขอโทษค่ะ…”

 

“ไม่ต้องขอโทษหรอก หนูสงสัยแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ”

 

คุณแม่ของนูลิสนั้นได้ยิ้มตอบเธอกลับไปก่อนที่จะยกมือลูบหัวของนูลิสไปเบาๆ พร้อมกับทอดสายตาไปยังท้องฟ้าสีครามสดใสเหนือหัวของพวกเธอ

 

“คำตอบของคำถามที่หนูถามมานั่น… ก็เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้กลัวไงจ๊ะ…”

 

“ขี้กลัวงั้นหรอคะ?”

 

“ใช่จ้ะ… พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความอยากรู้อยากเห็น พร้อมที่จะออกเดินทางค้นหาสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มชีวิตของตนตลอดเวลา แต่ว่าในขณะเดียวกันพวกเขาก็กลับอ่อนแอและขี้กลัวจนไม่กล้ายอมรับสิ่งใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน…”

 

“แบบนั้นมันจะไม่ขัดแย้งกันเองเกินไปหน่อยหรอคะ…?”

 

“ใช่มั้ยล่ะจ๊ะ… มนุษย์น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ ในตอนที่พวกเราคิดว่าเข้าใจพวกเขาดีแล้ว พวกเขาก็กลับทำให้พวกเรารู้สึกตกตะลึงได้ทุกครั้ง นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าพิศวงที่สุดเลยล่ะจ๊ะ”

 

“แล้วสรุปว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเขาขี้กลัวหรอคะ?”

 

นูลิสได้เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอไม่อาจเชื่อมโยงได้เลยแม้แต่น้อยว่าสิ่งที่คุณแม่ของเธอพูดอธิบายออกมาให้ฟังนั้นเกี่ยวข้องกับคำตอบแรกที่คุณแม่ของเธอพูดขึ้นมายังไง

 

ซึ่งคุณแม่ของเธอนั้นก็ได้หันไปมองก้อนเมฆสีดำที่กำลังลอยเข้ามาใกล้ๆ และยื่นมือเข้าไปหามัน แต่ว่ามือของเธอที่เป็นเพียงแค่เงาสีดำนั้นก็กลับทะลุมันไปโดยไม่สามารถสัมผัสหยดน้ำเล็กๆ ที่ก่อตัวเป็นก้อนเมฆได้เลยแม้แต่น้อย

 

และเมื่อเป็นแบบนั้นคุณแม่ของนูลิสก็ได้แต่หันกลับมาเอ่ยปากเตือนสาวใช้ตัวน้อยออกมา

 

“หนูอย่าได้ดูถูกความกลัวของเหล่ามนุษย์เป็นอันขาดนะจ๊ะ… เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาเกิดความกลัวขึ้นมาพวกเขาก็จะจ้องมองสิ่งนั้นอย่างระแวดระวัง และเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาตัดสินว่าสิ่งนั้นอาจจะเป็นภัย พวกเขาก็พร้อมจะทำทุกวิถีทางที่จะกำจัดมันทิ้งไปเพื่อความสบายใจของตัวเอง… เพราะแบบนั้นแม่ก็เลยอยากให้พวกหนูทำตัวกลมกลืนกับพวกเขาให้ได้มากที่สุดไงล่ะ”

 

“ถึงแม้ว่าหัวหน้าเพิ่งจะทำเรื่องแบบนั้นที่ปราสาทแพนเทร่าลงไปน่ะหรอคะ…?”

 

“…..”

 

“คุณแม่คะ?”

 

เมื่อได้ยินนูลิสถามกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยแบบนั้นคุณแม่ของเธอก็ได้นิ่งไปอีกสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“แล้วนูลิสคิดว่ายังไงล่ะจ๊ะ?”

 

“ถ้าเป็นคำสั่งของคุณแม่หรือว่าของหัวหน้าหนูก็พร้อมที่จะทำตามค่ะ”

 

“…แล้วถ้าเกิดแม่บอกว่าจะให้หนูเป็นคนตัดสินใจเองล่ะ?”

 

“…..”

 

สาวใช้ตัวน้อยที่ได้ยินคำถามของคุณแม่ของเธอเข้าไปนั้นได้ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงลังเลไม่มั่นใจ

 

“หนู…ไม่รู้ค่ะ…”

 

“เพราะอะไรหนูถึงไม่รู้ล่ะ? เพราะว่ามันขัดกับสิ่งที่หนูถูกกำหนดมาให้เป็นงั้นหรอ?”

 

“…..”

 

ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่คุณแม่ของเธอพูดขึ้นมา สาวใช้ตัวน้อยก็ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างสับสนและลังเลเพราะไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี

 

ซึ่งคุณแม่ของเธอนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยกมือที่เป็นเงาจางๆ ขึ้นมาลูบหัวเด็กน้อยเบื้องหน้าก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“สับสนสินะจ๊ะ… มนุษย์เองก็มีความรู้สึกนี้เหมือนกันล่ะจ้ะ แต่ว่าอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขานั้นรุนแรงกว่าที่หนูกำลังรู้สึกอยู่มากเลยล่ะ”

 

เมื่อได้ยินคุณแม่ของเธอพูดขึ้นมาแบบนั้น นูลิสก็ได้เงยหน้าขึ้นมามองดูคุณแม่ของเธออีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

“มนุษย์น่ะนะ ทั้งย้อนแย้งทั้งเอาแน่เอานอนไม่ได้ ปากก็บอกว่าจะสร้างโลกที่มีอิสระไม่มีใครถูกจำกัดไว้ด้วยข้อผูกมัดใดๆ แต่ว่าพวกเขาก็สร้างกฎที่เคร่งครัดขึ้นมาผูกมัดตัวเองเอาไว้จนแทบไม่เหลืออิสระใดๆ บางคนที่เบื้องหน้าดูเป็นคนดีแต่ว่าภายในนั้นกลับเน่าเฟะจนแทบไม่นับว่าเป็นมนุษย์ หรือแม้แต่คนที่ดูชั่วร้ายแต่ว่าภายในนั้นกลับสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครก็มีเช่นกัน”

 

“รวมถึงมนุษย์ของที่นี่ด้วยหรอคะ?”

 

“ใช่จ้ะ ต่อให้เป็นมนุษย์ของที่นี่ที่ถึงแม้ว่าพวกเขาบางคนจะมีหูมีหางหรือว่ามีเขางอกออกมาจากหัว แต่ว่าพวกเขาเองก็ยังเป็นมนุษย์ที่มีต้นกำเนิดเดียวกันอยู่ดี เพราะแบบนั้นหนูจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอาเองว่าว่ามนุษย์ที่หนูเจอน่ะจะไว้ใจได้มากแค่ไหนนะจ๊ะ”

 

“ไว้ใจ…งั้นหรอคะ?”

 

นูลิสที่ได้ยินคำตอบของคุณแม่เธอนั้นได้พูดพึมพำกับตัวเองออกมา ส่วนทางด้านคุณแม่ของเธอนั้นก็ได้ยกมือขึ้นมาลูบหัวลูกสาวของเธออีกครั้ง แต่ว่าทันใดนั้นเองทั้งสองก็ได้หันไปมองท้องฟ้าทางทิศตะวันตกพร้อมๆ กัน

 

“ได้รับแล้วเหมือนกันใช่มั้ยจ๊ะ? เนื่องจากสภาพอากาศผิดจากที่คาดเอาไว้ก็เลยเปลี่ยนจุดนัดพบให้ห่างไปทางตะวันตกสองกิโลเมตรจ้ะ”

 

“รับทราบค่ะ”

 

ทันทีที่นูลิสได้ยินคำยืนยันคำสั่งจากปากคุณแม่ของเธอ สาวใช้ตัวน้อยก็ได้ออกบินไปทางทิศตะวันตกตามคำสั่งที่ได้รับมาทันที

 

และหลังจากนั้นสักพักเธอก็ลดระดับความสูงลงจนมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของร่างเล็กๆ ในชุดผ้าคลุมที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด

 

“แฟรี่ นูลิส มาถึงจุดหมายแล้วค่ะ”

 

“……”

 

“รับทราบค่ะ เป้าหมาย เมืองรีมินัส ภารกิจ แจ้งเรื่องคำตัดสินให้ท่านอารอน…สินะคะ…”