องค์ชายรอง?! หวังซีตกใจเป็นอย่างมาก
ฉังเคอพยักหน้า กล่าวว่า เป็นเขา ครั้งสุดท้ายที่ข้าเจอเขาคือตอนที่พี่สาวเจวี๋ยคนข้างบ้านออกเรือน จำไม่ผิดคนแน่
หวังซีพยักหน้า
ฉังเคอเคยเล่าว่า ตอนเด็กเฉินลั่วเคยพาองค์ชายรองปีนกำแพงมาก่อน บัดนี้ทั้งสองคนปรากฏกายพร้อมกันก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร แต่พวกเขาสองคนมาหาท่านหมอเฝิงพร้อมกัน มันน่าพิศวงเล็กน้อย
หวังซีใคร่ครวญเรื่องที่บิดาเล่าให้นางฟังก่อนเดินทางมาอย่างละเอียด
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมิใช่ทั้งโอรสจากภรรยาเอกและมิใช่ทั้งโอรสองค์โต สถานะของมารดาผู้ให้กำเนิดต่ำต้อย เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วสู่ขอบุตรสาวของหัวหน้ากองพันผู้หนึ่งในกองพลส่วนพระองค์เป็นภรรยา มองอย่างไรก็เป็นองค์ชายที่ธรรมดาสามัญมากพระองค์หนึ่ง
จุดเปลี่ยนปรากฏขึ้นหลังจากที่ภรรยาร่วมผูกผมของเขาเสียชีวิตจากภาวะคลอดบุตรยาก
ฮองเฮาปั๋วซื่อในขณะนั้นไม่มีบุตรชาย ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายเก้าที่ถือกำเนิดจากหวังซื่อพระชายาอันเป็นที่รักขึ้นเป็นรัชทายาท ทำทุกวิถีทางให้องค์ชายเก้ามีชื่อบันทึกอยู่ภายใต้นามของปั๋วฮองเฮา ปั๋วฮองเฮาเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้แล้ว จึงเสนอให้องค์ชายเก้าแต่งหลานสาวจากตระกูลเดิมของตัวเองเป็นพระชายาเอก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตอบตกลง แต่ไม่รู้ว่าเส้นประสาทเส้นไหนของหวังซื่อผิดปกติ นอกจากไม่ยินยอมแล้ว ยังต้องการให้องค์ชายเก้าแต่งหลานสาวจากตระกูลเดิมของตัวเองเป็นพระชายาเอกให้ได้
อาจเป็นเพราะอยู่ในวังได้รับการเอาอกเอาใจจนเคยตัว องค์ชายเก้าในเวลานั้นไม่ได้คิดอะไรมาก เชื่อฟังคำของมารดาผู้ให้กำเนิด แต่งญาติผู้น้องของตัวเองเป็นพระชายาเอก
ต่อมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าคนของตระกูลหวังสืบความไม่ได้ เกรงว่าแม้แต่คนส่วนใหญ่ในวังหลวง ณ เวลานั้นก็ไม่รู้เช่นกัน ปั๋วฮองเฮาโน้มน้าวฮ่องเต้พระองค์ก่อน ให้บันทึกชื่อของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันภายใต้นามของนาง และได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ต่อมาแต่งสตรีจากตระกูลปั๋วเป็นพระชายารัชทายาท ให้กำเนิดองค์ชายรอง
หากดำเนินรอยตามเส้นทางนี้ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นสืบทอดตำแหน่ง พระชายารัชทายาทปั๋วซื่อได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ภรรยาคนแรกที่จากไปแล้วของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้รับอิสริยยศเป็นกุ้ยเฟย ฮองเฮาปั๋วซื่อพระองค์ก่อนได้รับสถาปนาเป็นฮองไทเฮา จากการสนับสนุนของจวนชิ่งอวิ๋นโหวตระกูลเดิมของฮองเฮาถึงสองพระองค์ องค์ชายรองได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท ทุกคนพึงพอใจมีความสุข
แต่เรื่องราวมักอยู่นอกเหนือจากที่มนุษย์คาดการณ์ไว้
หลังจากที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นสืบทอดตำแหน่ง พระชายารัชทายาทปั๋วซื่อได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ภรรยาคนแรกได้รับอิสริยยศเป็นกุ้ยเฟย ฮองเฮาปั๋วซื่อพระองค์ก่อนได้รับสถาปนาเป็นฮองไทเฮา ภายใต้การสนับสนุนของจวนชิ่งอวิ๋นโหว ความจริงแล้วควรจะแต่งตั้งองค์ชายรองเป็นรัชทายาท แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลับเปลี่ยนพระทัย
แรกเริ่มเขาอ้างว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนเพิ่งสิ้นพระชนม์ องค์ชายรองอายุยังน้อย จึงยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท
ผ่านไปสองสามปี องค์ชายรองเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ แต่ปั๋วไทเฮากลับขี่กระเรียนไปเยือนแดนสุขาวดีแล้ว จวนชิ่งอวิ๋นโหวเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นมาอีกครั้ง ฮ่องเต้ก็เริ่มบ่ายเบี่ยงไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด
ผ่านไปอีกสองสามปี ฮ่องเต้ประสบความสำเร็จทั้งการปกครองพลเรือนและการทหาร ใต้หล้าเป็นสุข ทะเลใสแม่น้ำสงบ นับวันบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้น คนจวนชิ่งอวิ๋นโหวพูดอะไรต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยเป็นผลแล้ว ยามเอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งองค์ชายรองขึ้นเป็นรัชทายาทขึ้นมาอีกครั้ง ก็มีขุนนางในราชสำนักเริ่มหยิบยกองค์ชายใหญ่ที่ถือกำเนิดจากภรรยาคนแรกของฮ่องเต้ขึ้นมาถกเถียงกันว่าสุดท้ายแล้วแต่งตั้งผู้ใดถึงจะเหมาะสมที่สุด
ฮ่องเต้ไม่สนพระทัยฎีกาเช่นนี้ ฮองเฮาเหนียงเหนียงเห็นแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก เรียกชิ่งอวิ๋นโหวคนปัจจุบันหรือก็คือน้องชายร่วมอุทรของฮองเฮาเหนียงเหนียงมาหารือ ชิ่งอวิ๋นโหวเลี่ยงไม่ได้ต้องพูดเพื่อหลานชายของตัวเองสักสองประโยค ฮ่องเต้แย้มสรวล ทั้งไม่ตำหนิชิ่งอวิ๋นโหวว่าแทรกแซงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทและไม่แสดงออกให้ชัดเจนว่าประสงค์แต่งตั้งผู้ใดเป็นรัชทายาท
ต่อมาถามบ่อยครั้งเข้า ฮ่องเต้ทรงพิโรธอยู่ในท้องพระโรงจินหลวน ถามขุนนางในราชสำนักและชิ่งอวิ๋นโหวซ้ำๆ ว่า คิดว่าเขาเป็นฮ่องเต้ได้อีกไม่กี่ปี จึงอยากให้สละราชบัลลังก์แล้วใช่หรือไม่
คำกล่าวหานี้ผู้ใดจะกล้ารับ?
ขุนนางคุกเข่าเต็มท้องพระโรงร้องขอการลงโทษ
เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทจึงค่อยๆ หายไป ไม่มีคนเอ่ยถึงอีก
แต่ไม่ว่าจะเป็นจวนชิ่งอวิ๋นโหวหรือว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันล้วนร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าฮ่องเต้คิดอย่างไรกันแน่ ว่ากันว่าเพื่อประจบฮ่องเต้ หวังว่าในยามคับขันจะมีคนเหมือนกับปั๋วไทเฮาในเวลานั้นที่ทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเปลี่ยนพระทัยได้แล้ว ฮองเฮาไม่เพียงปฏิบัติต่อเป่าชิ่งจ่างกงจู่พระขนิษฐาร่วมอุทรเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้อย่างสุภาพอ่อนโยนเท่านั้น กับฮูหยินของมหาบัณฑิตในคณะเสนาบดีสองสามท่านก็ค่อนข้างให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าใต้ผืนฟ้านี้ไม่มีความโปรดปรานใดไร้สาเหตุ และไม่มีความเกลียดชังใดไร้เหตุผลเช่นเดียวกัน
เพราะเฉินลั่วได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ การที่เขาได้เป็นสหายกับองค์ชาย เข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสรเสรียิ่งกว่าองค์ชาย น่าจะมีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก!
หวังซีครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจ เห็นท่านหมอเฝิงไปส่งคนยังไม่กลับมา แขกจึงทำตัวเป็นเจ้าบ้าน จัดแจงให้ฉังเคอนั่งในห้องโถง หวังสี่ที่ตามมาด้วยสั่งการให้บ่าวชายเด็กในร้านเทน้ำชารินน้ำให้พวกนาง
เพียงแต่ว่าพวกนางเพิ่งนั่งเรียบร้อย ท่านหมอเฝิงก็กลับมา
ปู่เฝิง! หวังซีโผเข้าหาท่านหมอเฝิงประหนึ่งนกน้อยเริงร่า ข้ามิได้รบกวนท่านกระมัง หากรู้แต่แรกว่าท่านมีแขกคนสำคัญ ข้าคงให้หวังสี่เข้ามาดูล่วงหน้าก่อน เดิมทีข้าคิดจะมาทำให้ท่านประหลาดใจสักครั้งหนึ่ง!
ท่านหมอเฝิงยิ้มร่ามองหวังซี กล่าวด้วยความรักใคร่เอ็นดูเต็มดวงหน้าว่า ไม่เป็นไร จากนั้นลูบศีรษะนาง มองฉังเคอยิ้มๆ ครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า นี่คือพี่สาวน้องสาวคนสนิทคนใหม่ของเจ้าหรือ ดูแล้วเป็นแม่นางสุภาพเรียบร้อยผู้หนึ่ง!
ฉังเคอลุกขึ้นยืนตั้งแต่ที่ท่านหมอเฝิงเข้ามาแล้ว ได้ยินท่านหมอเฝิงกล่าวเช่นนี้ นางพลันหน้าแดงก่ำ เอ่ยเรียกเสียงหนึ่งอย่างขัดเขินว่า ปู่เฝิง
ท่านหมอเฝิงยิ้มกล่าวทักทายฉังเคออย่างเป็นกันเอง
หวังซีจึงก้าวออกไปประคองท่านหมอเฝิง พาเขาไปนั่งยังที่นั่ง เจื้อยแจ้วกล่าวแนะนำฉังเคอ นางเป็นพี่สาวต่างสกุลที่จวนหย่งเฉิงโหว แก่กว่าข้าสามเดือน อยู่ที่บ้านเป็นลำดับสี่ ดีกับข้ายิ่งนัก วันนี้พวกข้าไปตัดชุดที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงด้วยกัน ห้องเสื้อเมฆาคำนึงมอบถุงหอมให้พวกข้า พูดอะไรประมาณว่าอาจารย์ของวัดต้าเจวี๋ยคนหนึ่งนามว่าเฉาอวิ๋นเป็นคนทำ เขายังได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘นักผสมเครื่องหอมอันดับหนึ่งของจิงเฉิง’ อีกด้วย! แต่ข้ารู้สึกว่าเครื่องหอมที่เขาผสมสู้ที่ท่านทำไม่ได้ นี่ก็ใกล้ถึงเทศกาลแข่งเรือมังกรแล้วมิใช่หรือ ข้าจึงคิดว่าจะให้ท่านช่วยผสมถุงหอมให้ข้าสักสองสามชิ้น
ขณะที่กล่าว นางยังจับแขนเสื้อของท่านหมอเฝิงเขย่าไปมาอย่างออดอ้อน เพียงแต่ว่าวันนี้ข้ามาอย่างเร่งด่วน จึงไม่ได้ซื้อของอะไรมาแสดงความกตัญญูต่อท่าน วันนี้ข้าเชิญท่านไปกินไหล่หมูแก้ว[1]ที่ร้านรสเลิศสี่ฤดูก็แล้วกัน ข้าได้ยินมาว่า ไหล่หมูแก้วเป็นอาหารจานพิเศษของพวกเขา ข้ายังไม่เคยกินมาก่อน วันนี้พวกเราจะได้ไปลิ้มลองดูพอดีเลยเจ้าค่ะ
ท่านหมอเฝิงเป็นหนึ่งในคนที่รู้จักนิสัยของนางดีเป็นที่สุด ได้ยินแล้วบีบจมูกนาง กล่าวประชดว่า ข้าว่าเจ้าจะต้องวิ่งมาหาข้าอย่างกะทันหันมากกว่า ยังคิดจะใช้โอกาสนี้ปล้นข้าอีกหนึ่งมื้อด้วย!
หวังซียิ้มหน้าทะเล้นให้ท่านหมอเฝิง ยังชูนิ้วโป้งให้ท่านหมอเฝิงด้วย กล่าวว่า ลิงน้อยอย่างข้าอย่างไรก็หนีไม่พ้นเขาอู๋จื่อ[2]อย่างท่าน ยังคงเป็นท่านที่ยอดเยี่ยม!
นั่นถูกต้องแล้ว! ท่านหมอเฝิงหัวเราะฮ่าดังลั่น อารมณ์เบิกบานสีหน้ามีความสุข
ฉังเคอมองแล้วปากอ้าตาค้าง คิดว่าหวังซีปล้นอาหารมื้ออร่อยมาได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าสีหน้าท่านหมอเฝิงไม่เปลี่ยน ทว่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า เจ้าผสมเครื่องหอมกับข้ามานานหลายปี คราวก่อนเจ้ายังบอกว่าไม่ต้องเรียนแล้ว จบการศึกษาแล้วมิใช่หรือ อาจารย์เลื่องชื่อก่อกำเนิดศิษย์ล้ำเลิศ ตอนนี้ฝีมือการผสมเครื่องหอมของเจ้าย่อมดีกว่าข้าแล้ว มีอะไรลูกศิษย์ช่วยทำแทน ข้าไม่ต้องลงมือเองแล้ว อยากได้ถุงหอมจำนวนเท่าไร เจ้าก็ผสมเอง ส่วนของขวัญสำหรับเทศกาลแข่งเรือมังกร เจ้าอย่าลืมเพิ่มถุงหอมที่เจ้าผสมด้วยตัวเองมาให้ข้าด้วยสักสองสามชิ้น…
…พูดถึงไหล่หมูแก้ว ถึงแม้ข้าเองก็อยากกินเหมือนกับเจ้า แต่ตอนนี้ข้าอายุมากแล้ว พี่ชายเสี่ยวเกาของเจ้าไม่ให้ข้ากินมานานหลายปีแล้ว ข้ากลัวว่าไปร้านรสเลิศสี่ฤดูแล้วเห็นพวกเจ้ากิน ข้าจะน้ำลายสอ ข้าไม่ไปดีกว่า เดี๋ยวนี้ข้ากินได้แต่ผักดองน้ำปรุงรสถั่วเหลืองของสวนหกรสเท่านั้น หากเจ้ามีเวลาก็ซื้อผักดองน้ำปรุงรสถั่วเหลืองของพวกเขามาแสดงความกตัญญูต่อข้าสักสองสามไห
นี่นอกจากจะขอถุงหอมไม่ได้และไม่ได้กินไหล่หมูแก้วแล้ว ยังต้องเสียเงินให้กับผักดองน้ำปรุงรสถั่วเหลืองของสวนหกรสและถุงหอมที่ทำด้วยตัวเองอีก
หวังซีคิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอเพียงไม่กี่ปี ท่านหมอเฝิงก็รู้จักหยอกเย้านางเช่นนี้แล้วเหมือนกัน
เฉินลั่วมิใช่เฉินลั่วอย่างที่ฉังเคอพูดถึงผู้นั้น หรือว่าท่านหมอเฝิงก็มิใช่ท่านหมอเฝิงที่นางรู้จักผู้นั้นด้วยอย่างนั้นหรือ
นางอยากจะดึงหนวดของท่านหมอเฝิงสักสองสามเส้นเหลือเกิน ดูว่าใช่ท่านหมอเฝิงตัวจริงหรือไม่
ฉังเคอเห็นหวังซีตะลึงไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา จึงหัวเราะ คิก ออกมาอย่างอดไม่อยู่
เสียงหัวเราะของนางไม่เพียงปลุกให้หวังซีรู้สึกตัวเท่านั้น ยังทำให้ท่านหมอเฝิงรู้สึกสนุกตามไปด้วย
เขาลูบศีรษะหวังซีอีกครั้ง กล่าวยิ้มๆ ว่า ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว! วันนี้ก็อยู่กินมื้อเย็นที่ร้าน พ่อครัวในร้านของข้าเชี่ยวชาญการทำอาหารไหวหยาง[3]เป็นอย่างมาก เจ้าจะต้องชอบ
ขอเพียงเป็นอาหารเลิศรส ไม่มีที่หวังซีไม่ชอบ
นอกจากนี้ท่านหมอเฝิงเหมือนท่านปู่ของนาง เป็นนักกินผู้หนึ่งเช่นกัน หากเขาบอกว่าอร่อย นั่นย่อมต้องอร่อย
นางตอบรับในทันที ตบหน้าอกกล่าว ทำข้าตกใจจนเสียขวัญไปหมดแล้ว นี่หากว่าไปร้านรสเลิศสี่ฤดูแล้วปู่เฝิงบอกว่าไม่ได้พกเงินมาด้วยอย่างกะทันหัน เช่นนั้นข้าคงเสียเปรียบครั้งใหญ่แล้ว
ทุกคนได้ยินแล้วหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง
หวังซีบอกท่านหมอเฝิงว่านางเอาแป้งย่างมาด้วย ท่านลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่ แต่ย่อมอร่อยไม่เท่าตอนออกจากเตามาใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม สถานที่ขายแป้งย่างอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้าจะให้หวังสี่บอกสถานที่กับพี่ชายเสี่ยวเกาเอาไว้
พี่ชายเสี่ยวเกามีนามว่าเฝิงเกา เป็นหลานชายที่ท่านหมอเฝิงรับมาเลี้ยงดู แล้วก็เป็นลูกศิษย์ของท่านหมอเฝิงด้วย ติดตามท่านหมอเฝิงอยู่ที่บ้านสกุลหวังมาตั้งแต่ก่อนที่หวังซีจะเกิดแล้ว สำหรับหวังซี เขาก็เหมือนกับพี่ชายของตัวเอง
ท่านหมอเฝิงยิ้มกล่าว ใช่ร้านแป้งย่างต้นซอยร้านนั้นหรือไม่ แป้งย่างของพวกเขารสชาติไม่เลวจริงๆ
หวังซีหัวเราะร่าอย่างเขินอาย กล่าวว่า ลืมไปว่าท่านอยู่จิงเฉิงมาสองสามปีแล้ว ซื้อชะเอมที่ไหนท่านอาจไม่รู้ แต่สถานที่ซื้อของอร่อยท่านต้องรู้เป็นแน่
เจ้าเด็กคนนี้! ท่านหมอเฝิงดีดหน้าผากหวังซีครั้งหนึ่ง ให้นางเอาถุงหอมนั่นมาให้เขาดู ผู้อื่นทำไม่ดีตรงไหนหรือ
หวังซีทำปากเบ้ กล่าวว่า ของกินข้าสู้ท่านกับท่านปู่ไม่ได้ แต่หากเป็นเครื่องประทินโฉมเหล่านี้ ท่านกับท่านปู่ย่อมสู้ข้าไม่ได้
ท่านหมอเฝิงหลิ่วตามองนางพร้อมกับหัวเราะ
นางจึงฉวยโอกาสตอนที่ไป๋จื่อไปหยิบถุงหอมพูดเรื่องผ้าของเฝิงจี้กับท่านหมอเฝิง เส้นไหมเลี้ยงทอผ้าอะไรออกมาไม่ได้บ้าง ต้องพูดว่าพวกเขาหาเส้นไหมเลี้ยงจำนวนมากขนาดนั้นมาไม่ได้มากกว่า จึงยากจะหยัดยืนอยู่ในวงการสิ่งทอที่เจียงหนาน วิธีการนี้ของเขาก็แค่การขายความแปลกใหม่ หลอกล่อคนไร้ประสบการณ์เหล่านั้น นานวันเข้า อาจจะใช้ไม่ได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม ราคาของผ้าชนิดนี้ย่อมถูกกว่าเส้นไหมบริสุทธิ์ พี่ชายใหญ่ของข้าบอกว่าหัวหน้าเผ่าทางอวิ๋นกุ้ยและถู่ปัว[4]รู้สึกว่าผ้าของพวกข้าราคาแพงเกินไปมิใช่หรือ ข้าคิดว่าลองบอกพี่ชายใหญ่ของข้า ให้พี่ชายใหญ่ข้าส่งคนไปเจรจากับคนตระกูลเฝิงดู
บรรพบุรุษสกุลหวังสร้างฐานที่มั่นในสู่จงรุ่นต่อรุ่น แต่ผ้าไหมของสู่จงดีไม่เท่าของเจียงหนาน อีกทั้งตระกูลของพวกเขาก็ทำการค้าอยู่แต่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้มาโดยตลอด ความสัมพันธ์กับพ่อค้าผ้าไหมแถบเจียงหนานไม่แน่นแฟ้นนัก การค้าผ้าไหมบนเส้นทางค้าม้าค้าใบชาเก่าแก่สู้พ่อค้าผ้ารายใหญ่ของก่วงตงและฝูเจี้ยนไม่ได้มาตลอด ถ้าหากกิจการของตระกูลเฝิงที่เจียงหนานไม่ราบรื่นอย่างที่หวังซีกล่าวมา ทั้งสองตระกูลร่วมมือกัน ไม่แน่ว่าอาจเจอเส้นทางที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์สักทางหนึ่งก็เป็นได้
ท่านหมอเฝิงเข้าใจในทันที
เขาอดลูบศีรษะของหวังซีอีกครั้งไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า ปู่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นติ่งเนื้อทองคำ เจ้าเป็นติ่งเนื้อทองคำจริงๆ ด้วย แค่ไปตัดชุด มิใช่ว่าหาลู่ทางทำการค้าเส้นใหม่ให้ครอบครัวพวกเจ้าได้แล้ว?
หวังซีต่อล้อต่อเถียงกับท่านหมอเฝิง ท่านกับท่านปู่พูดอะไรทำนองว่า ‘การเข้าใจโลกคือความรู้แท้’ มิใช่หรือ นี่ข้าก็นับได้ว่ากำลังเรียนรู้วิถีของโลกมนุษย์อยู่กระมัง
ได้ ได้ ได้! แน่นอนว่าท่านหมอเฝิงย่อมหวังให้การค้าของตระกูลหวังดีขึ้นเรื่อยๆ และใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว จึงกล่าวชื่นชมหวังซีอย่างเบิกบานมีความสุข
หวังซีถึงได้โยนคำถามที่นางอยากถามตั้งแต่เข้าประตูมาแล้วออกมา คุณชายรองเฉินลั่วของจวนเจิ้นกั๋วกงกับองค์ชายรองมาหาท่านทำไมหรือ
……………………………………………………………………….
[1] ไหล่หมูแก้ว นำเนื้อบริเวณหัวไหล่พร้อมหนังไปตุ๋นกับเครื่องเทศให้นุ่ม จากนั้นนำเนื้อที่ได้มาม้วนกับผ้าหรืออื่นๆ ให้เป็นแท่งกลมแล้วแช่ตู้เย็นหนึ่งคืน เมื่อได้ที่แล้วนำมาฝานเป็นแผ่นบางๆ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มต่างๆ
[2] เขาอู๋จื่อ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในไห่หนาน
[3] อาหารไหวหยาง อาหารสไตล์หยางโจว
[4] ถู่ปัว ทิเบต
ตอนต่อไป