สถานที่ซื้อแป้งย่างอยู่ในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งไม่ไกลจากร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านนั้นนัก ถึงแม้สถานที่ค่อนข้างไกล ทว่าคนซื้อแป้งย่างกลับยืนล้อมกันหลายชั้นจนแน่นขนัดแม้แต่น้ำยังลอดผ่านไม่ได้

หวังซีและฉังเคอมิได้เข้าไป นั่งอยู่ในเกี้ยว ให้หวังสี่เบียดเสียดเข้าไปซื้อแป้งย่างมาสองสามชิ้น

แป้งย่างนั่นยาวเท่าตะเกียบ กว้างสามนิ้วมือ ปลายทั้งสองด้านงุ้มขึ้น ด้านในเติมพริก เกลือและต้นหอมสับ ด้านนอกโรยงาขาว เพิ่งออกมาจากเตาใหม่ๆ ไอร้อนพวยพุ่ง กลิ่นหอมฉุย

หวังซีชิมไปหนึ่งคำ

รสชาติไม่เลวจริงๆ แล้วก็อยู่ท้องมากด้วย นางกินไปครึ่งชิ้นก็อิ่มแล้ว

ฉังเคอกินด้วยดวงหน้าเปี่ยมสุข ดวงตายิ้มหยีกล่าว รสชาตินี้แหละ เหมือนกับที่ข้ากินตอนเป็นเด็กไม่มีผิด

หวังซีจึงให้หวังสี่ซื้อกลับไปด้วยอีกสองสามชิ้น ให้คนที่เรือนครัวลองชิมดู ดูว่าพวกนางจะทำออกมาได้หรือไม่

ร้านแป้งย่างร้านนี้เป็นกิจการที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ในเมื่อเป็นกิจการที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เช่นนั้นก็ต้องมีเอกลักษณ์พิเศษ

หวังสี่รู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มากนัก แต่หวังซีสั่งการมาแล้ว เขายังคงรับคำยิ้มๆ ว่า ขอรับ หมุนกายไปซื้อแป้งย่างมาอีกสองสามชิ้น

ฉังเคอได้ยินแล้วดีใจมาก กล่าวว่า เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึง

มิใช่คิดไม่ถึง น่าจะเป็นเพราะภายในจิตใต้สำนึกรู้ดีว่าต่อให้นางอยากทำเช่นนี้ ก็ไม่มีคนช่วยทำให้นางได้

แต่ว่าทั้งหวังซีกับฉังเคอต่างกินกันอย่างเอร็ดอร่อย จึงไม่มีใครไปคิดเรื่องพวกนี้อย่างละเอียด ทั้งสองคนนั่งเบียดอยู่ในเกี้ยวหลังเดียวกันไปยังสถานที่ที่หวังซีกล่าวถึง

นี่…นี่ร้านขายยามิใช่หรือ ฉังเคอลงจากเกี้ยว มองป้ายขนาดใหญ่ตรงหน้า กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติคืนกลับมา

หวังซีรู้ว่านางจะต้องแปลกใจ อมยิ้ม กล่าวขึ้นว่า ผู้ใดบอกเจ้าว่าสถานที่ทำถุงหอมต้องเป็นร้านเครื่องหอมเท่านั้น? วัดต้าเจวี๋ยก็ทำถุงหอมเหมือนกันมิใช่หรือ

นั่นไม่เหมือนกันนี่นา!

ในวัดมักจะทำธูปหอมดีๆ มอบให้คนที่มาสักการะ!

ฉังเคอยังงุนงงอยู่ตรงนั้น

หวังซีจูงมือนางเดินเข้าไปข้างใน ถึงแม้ที่นี่มิใช่ร้านของตระกูลข้า แต่ก็ไม่ต่างกับร้านของพวกข้าเท่าไรนัก ก็ถือว่าข้ามิได้ปดฮูหยินผู้เฒ่า

ฝีเท้านางเบาผ่อนคลาย น้ำเสียงเบิกบาน เป็นความสุขที่มาจากใจ

เป็นครั้งแรกที่ฉังเคอเห็นหวังซีเป็นเช่นนี้

นางปล่อยให้หวังซีจูงเข้าไปในร้านยาอย่างอดไม่ได้ เห็นนางเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่คนเดินเข้าเดินออกของร้านยาไปอย่างคุ้นเคย ตรงไปยังด้านหลังของห้องโถงผ่านฉากกั้นที่เปิดเอาไว้ทั้งสี่บาน

ด้านหลังห้องโถงเป็นลานเล็กๆ ลานหนึ่ง เบื้องหน้าเป็นป้ายศิลาขนาดเท่าความสูงคนสลักคำว่า ‘ความสุข[1]’ กลับด้านเอาไว้ ซ้ายขวาเป็นเรือนปีกที่เปิดประตูค้างไว้ ภายในเรือนปีกเป็นที่นั่งรักษาคนไข้ของท่านหมอ ภายในโถงทางเดินเต็มไปด้วยคนไข้ที่มานั่งรอรับการรักษา จับกลุ่มสองถึงสามคนกระซิบกระซาบคุยกัน ยังมีผู้ช่วยในร้านอีกสองสามคนรอรับคำสั่งอยู่ข้างๆ

หวังซีพาฉังเคอเดินอ้อมป้ายไปอย่างรวดเร็ว ดึงดูดความสนใจของทุกคน

มีผู้ช่วยในร้านเงยหน้าขึ้นมาร้องบอกไล่หลังพวกนางว่า นี่ คนที่มาทีหลังไม่รับรักษาแล้ว ทว่าถูกหวังสี่ที่เดินตามเข้ามาหยุดเอาไว้ ก้าวออกไปเจรจากับผู้ช่วยคนนั้น

หวังซีและฉังเคอผ่านหลังห้องโถงมา ตรงหน้าเป็นลานเล็กๆ อีกหนึ่งลาน เบื้องหน้าเป็นป้ายสลักลายดอกไม้ เรือนปีกซ้ายขวาปิดประตูแน่นสนิท ภายในโถงทางเดินทางสองข้างก็เงียบเชียบ ไร้ซึ่งผู้คน

ความจอแจของลานหน้าคล้ายกับถูกแยกไว้ที่ลานชั้นนอกไปแล้ว

รอยยิ้มของหวังซียิ่งเบิกบานมากขึ้น ฝีเท้าก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน ก้าวเข้าไปในลานบ้านก็ตะโกนเสียงดังว่า ท่านหมอเฝิงอยู่หรือไม่ ข้ามีผู้ป่วยหนัก อยากขอให้เขาช่วยรักษา!

ระหว่างกล่าว หวังซีก็พาฉังเคอเดินอ้อมป้ายมาแล้ว

ภายในลานบ้านปลูกต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าเอาไว้ทั้งซ้ายขวา เบื้องหน้าเป็นห้องโถงห้าห้อง ถึงแม้บานประตูสีแดงจะสูงใหญ่ แต่ถูกเรือนยอดของต้นไม้ที่สูงกว่าหลังคาบ้านบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้ แสงภายในห้องโถงจึงไม่ค่อยสว่างจ้านัก ข้างโต๊ะแปดเซียน[2]กลางห้องโถงมีชายชราเคราขาวนั่งอยู่ผู้หนึ่ง

ฉังเคอประหลาดใจเล็กน้อย

หวังซีที่ไม่รู้ว่าปล่อยมือนางไปตั้งแต่เมื่อไรกลับยกกระโปรงขึ้นวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาอย่างเบิกบาน ปากยังเจื้อยแจ้วหยอกล้ออีกว่า ท่านหมอเฝิง! ท่านหมอเฝิง! วันนี้ท่านไม่ต้องออกตรวจหรือ ข้าตั้งใจมาหาท่านเป็นพิเศษ!

แต่เดิมเสียงของนางก็อ่อนหวานกังวานใสอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเหมือนนกกระจิบขับขาน ก้องกังวานอยู่ในลานบ้านอันเงียบสงบ

เรือนร่างอันกระฉับกระเฉงนั่น คล้ายกับนกนางแอ่นโผบินเข้าสู่ผืนป่า ดูอดรนทนไม่ได้เล็กน้อย

ท่านหมอเฝิงผู้นี้เป็นอะไรกับหวังซีนะ!

ขณะที่ฉังเคอกำลังขบคิดอยู่ในใจ ก็เห็นร่างของหวังซีที่วิ่งไปถึงหน้าประตูห้องโถงแล้วนั้นหยุดชะงัก เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างอยู่บนธรณีประตู ร่างคนค่อยๆ โน้มลงบนพื้น

อ๊ากกก

ทั้งในและนอกห้องโถงมีเสียงอุทานอย่างตกใจดังขึ้น

ฉังเคอยกเท้าวิ่งเข้าไปหาหวังซี

มือทั้งสองข้างของหวังซีร่ายรำวุ่นอยู่กลางอากาศ ในใจกลับตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง

เฉินลั่วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

คนที่นางเห็นน่าจะเป็นเฉินลั่วกระมัง

ขณะที่นางกำลังสงสัยอยู่ในใจนั้น เห็นเพียงว่ามีมือคู่หนึ่งปรากฏออกมาตรงหน้า

ผิวขาวสะอาดสะอ้าน ฝ่ามือใหญ่มีเรี่ยวแรง นิ้วมือเรียวสวยดุจไผ่ คว้าตัวนางเอาไว้แน่น

เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เสียงบุรุษข้างหูอบอุ่นกังวานใส คล้ายเจือรอยขบขันอยู่ด้วยหลายส่วน

หวังซียังไม่หายจากอาการตกใจ จับแขนของคนผู้นั้นเอาไว้แน่น กล่าว ขอบคุณมาก ซ้ำๆ ไม่ทันได้ดูให้กระจ่างชัดว่าใครเป็นคนประคองนางไว้ รีบเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ

ไม่เห็นเฉินลั่วที่นางเห็นเมื่อครู่ กลับเห็นท่านหมอเฝิงก้าวเร็วๆ เข้ามาหานางด้วยสีหน้าตื่นกระหนก บุรุษที่แต่เดิมนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนเคียงคู่กับเฉินลั่วผู้นั้นก็ทำหน้ายุ่งหัวคิ้วผูกเป็นปมแน่นพร้อมกับลุกขึ้นมาเช่นกัน

เมื่อครู่คล้ายกับว่าภายในห้องโถงมีคนเพียงสามคน

เช่นนั้นคนที่ประคองนางอยู่…

จากฝ่ามือ นางสัมผัสได้ว่าลำแขนนั่นหนั่นแน่น

แข็งแรงมั่นคง เต็มไปด้วยพละกำลัง

คงมิใช่…

หวังซีใจเต้นตึกๆ บนศีรษะมีเสียงของคนผู้นั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว!

นางเงยหน้าขึ้น มองเห็นดวงตาเจือรอยยิ้มคู่หนึ่ง

คิ้วคมชัด จมูกโด่งเป็นสัน ดวงหน้าหล่อเหลา ยังมีสีหน้าอบอุ่นนั่นอีก

ไม่มีส่วนไหนที่นางไม่ชอบเลย

ชัดเจนแล้วว่าคือคนที่นางเห็นจากกล้องส่องทางไกลผู้นั้น!

แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

หวังซีเหม่อลอย

คนที่ประคองนางอยู่ยิ้มกล่าวเสียงเบาว่า หากข้าปล่อยเจ้า เจ้ายืนได้หรือไม่

อา! หวังซีถึงรู้สึกตัวว่าตัวเองยังจับผู้อื่นเอาไว้แน่น จึงรีบปล่อยมือ กล่าวซ้ำๆ ว่า ขออภัย! ขออภัย! ข้ายืนได้ ข้ายืนได้!

ทว่ากรีดร้องอยู่ในใจ

มาเจอเขาที่นี่ได้อย่างไร

เขาจะรู้หรือไม่ว่าตนคือคนที่แอบสอดส่องเขาคนนั้น

เขาคงไม่รู้หรอกกระมัง

ถ้าเขารู้ จะมาประคองนางได้อย่างไร

ในหัวของหวังซีปรากฏภาพผ้าไหมสีแดงสดท้าสายลมอยู่บนดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่ในป่าไผ่สีเขียวผืนนั้นขึ้นมา

นางหน้าร้อนผะผ่าว

น้องสาว เจ้าเป็นอะไรหรือไม่

นังหนู เจ้าเป็นอะไรหรือไม่

ฉังเคอและท่านหมอเฝิงกรูกันเข้ามา ผู้หนึ่งดวงหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง อีกผู้หนึ่งดวงหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! หวังซีรีบโบกมือเป็นพัลวัน สายตากลับมองไปยังตำแหน่งของเฉินลั่วอย่างอดไม่ได้

บัดนี้เขาถอยกลับไปอยู่ข้างๆ สหายของเขาแล้ว มองนางด้วยสายตาอบอุ่น

เห็นนางมองมา ยังส่งยิ้มให้นางอย่างสุภาพอีกด้วย

มิใช่เฉินลั่วแล้วจะเป็นผู้ใด นอกเสียจากว่าฉังเคอจำคนผิด

นอกจากนี้ เขามิได้หยิ่งยโสอย่างที่ฉังเคอกล่าวไว้ ตรงกันข้ามทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนใจดีมาก

เป็นฉังเคอที่จำผิดคนหรือนางที่จำผิดคนกันแน่?

หวังซีหันไปมองฉังเคอด้วยความสับสน

ฉังเคอเหมือนกับเพิ่งสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีผู้อื่นอยู่ด้วย

นางมองเฉินลั่วด้วยอาการปากอ้าตาค้าง ในหัวตีกันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นแป้งเปียกไปแล้ว

นี่นางกำลังฝันอยู่หรือ

ไม่อย่างนั้นจะได้พบเฉินลั่วที่นี่ได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเฉินลั่วที่ดวงหน้าแต้มรอยยิ้ม อ่อนโยนและมีมารยาทอีก

เป็นนางสติไม่ดีหรือเฉินลั่วเสียสติไปแล้วกันแน่

นางกุมมือหวังซีเอาไว้อย่างคนตกใจกลัว รู้ดีว่าไม่สมควรทว่าก็อดกระซิบที่ข้างหูหวังซีไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้น เฉินลั่วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ยังมีสีหน้านั่นอีก สีหน้าอะไรของเขากันแน่ ตอนนี้เปลี่ยนมาสังหารคนด้วยใบหน้ายิ้มสีหน้าสงบแล้วหรือ

แสดงว่าเฉินลั่วยังคงเป็นเฉินลั่วผู้นั้น นางไม่ได้จำคนผิด

เพียงแต่ว่าเฉินลั่วที่นางเห็นไม่ได้เป็นเหมือนกับเฉินลั่วที่ฉังเคอกล่าวถึง!

หวังซีอยากคุยเรื่องของเฉินลั่วกับฉังเคอสักครู่หนึ่งเหลือเกิน แต่สายตาเป็นห่วงของท่านหมอเฝิงทำให้นางไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น ได้ยินท่านหมอเฝิงถามนางว่า นังหนู เจ้ามาได้อย่างไร มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า เหตุใดก่อนมาถึงไม่ให้คนมาแจ้งข้าเอาไว้ก่อน

ขณะที่กล่าว ยังขยับเท้าเข้ามา บังสายตาระหว่างนางกับเฉินลั่วเอาไว้ ไม่อยากให้พวกเขาติดต่อกันมาก ท่าทางหวาดระแวงเฉินลั่วเล็กน้อย

ท่านหมอเฝิงเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตท่านปู่ของนางเอาไว้ ตั้งแต่นางจำความได้ เขาก็อยู่ในบ้านของพวกเขาแล้ว ให้การรักษาคนในครอบครัวของพวกเขา ต่อมาเขาออกเดินทางท่องเที่ยว ท่านปู่มอบทองห้าพันตำลึงให้เขาเป็นค่าใช้จ่าย เขาตัดสินใจเปิดร้านยาที่จิงเฉิง ท่านปู่ของนางก็มอบร้านนี้ให้เขาด้วย

ก่อนเดินทางมาจิงเฉิง ท่านปู่นางยังย้ำกำชับให้นางมาเยี่ยมท่านหมอเฝิง บอกว่าหากไม่สบายตรงไหน ก็ให้มาหาท่านหมอเฝิงให้ช่วยตรวจดู

ท่านหมอเฝิงเองก็ชอบพวกนางพี่น้องเป็นอย่างมาก ตอนนางเป็นเด็กมักจะให้นางนั่งอยู่บนบ่า นางไม่สบายไม่ยอมกินยา ก็เตรียมขนมราดน้ำเชื่อมแสนอร่อยให้นาง ยังสอนนางให้รู้จักยาสมุนไพร ท่องจำเทียบยา บอกว่าเด็กสาวรู้เรื่องพวกนี้เอาไว้ อยู่ในเรือนชั้นในจะได้ไม่เสียเปรียบ ทั้งยังเล่นเป็นเพื่อนนาง สอนนางทำว่าว ผสมเครื่องหอม และทำแผ่นยาสมุนไพร

สำหรับนางแล้ว ท่านหมอเฝิงเปรียบเสมือนผู้อาวุโสในบ้านของนาง

หลังจากนางมาถึงจิงเฉิง คนแรกที่นางมาเยี่ยมเยียนก็คือท่านหมอเฝิง

ท่านหมอเฝิงทำเช่นนี้ เมื่อหวนคิดถึงสถานะของเฉินลั่วอีกครั้ง หวังซีรู้สึกซาบซึ้งใจ ก้มหน้าลงเงียบๆ หลบอยู่ด้านหลังของท่านหมอเฝิง

นางสัมผัสได้ว่าท่านหมอเฝิงรู้สึกโล่งใจ ยังมองนางอย่างพึงพอใจครั้งหนึ่งด้วย จากนั้นหมุนกายไปกล่าวกับเฉินลั่วว่า ที่คุณชายทั้งสองท่านกล่าวมาข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่าข้าเชี่ยวชาญโรคเด็กกับโรคสตรี โรคที่พวกเจ้ากล่าวมาข้าไม่แน่ใจจริงๆ คุณชายทั้งสองท่านให้ข้าตรึกตรองอย่างละเอียดสักสองสามวันค่อยให้คำตอบอีกทีก็แล้วกัน

คนที่มากับเฉินลั่วผู้นั้นเตี้ยกว่าเฉินลั่วครึ่งศีรษะ อายุประมาณยี่สิบกว่าปี หน้าตาสง่างาม ทว่าสีหน้าแฝงความเจ้ายศสูงส่งเอาไว้หลายส่วน

ถ้ามิได้ยืนคู่กับเฉินลั่ว ก็นับว่าเป็นคนโดดเด่นผู้หนึ่ง

แต่เมื่อยืนเคียงกับเฉินลั่ว ประกอบกับหวังซีเคยเห็นคนหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นมามาก นางจึงรู้สึกว่ารูปลักษณ์ของเขาค่อนข้างธรรมดาสามัญ

เขาได้ยินท่านหมอเฝิงกล่าวเช่นนี้ ดูไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง อ้าปากหมายจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าถูกเฉินลั่วส่งสายตาห้ามเอาไว้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินลั่วยิ้มบางเอ่ยกับท่านหมอเฝิง สีหน้าดูห่างเหินเล็กน้อย มิได้ดูอบอุ่นสนิทสนมเหมือนเมื่อครู่ เช่นนั้นอีกสองสามวันพวกข้าค่อยกลับมาเยี่ยมท่านหมอเฝิงอีกครั้ง

เขากล่าวและขอตัวลากลับพร้อมกับสหาย

ไม่มองหวังซีอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

หวังซีรู้สึกจิตใจสับสนว้าวุ่นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดีใจที่เขาไม่รู้ว่าตนคือคนที่แอบดูเขารำกระบี่ผู้นั้น หรือว่าดีใจที่เฉินลั่วมิได้เป็นคนไร้เหตุผลอย่างที่ฉังเคอกล่าวมากันแน่

ท่านหมอเฝิงไปส่งพวกเขาที่ประตูด้วยตัวเอง

หวังซีค้นพบว่าฉังเคอยืนห่อไหล่หลบอยู่หลังนาง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงตั้งแต่ต้นจนจบ

ออกมาเที่ยวแล้วบังเอิญเจอกับคนที่ตัวเองไม่ชอบแต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ไม่ว่าใครก็ย่อมหลบเลี่ยงโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว

ไม่เป็นไร! หวังซีปลอบโยนนาง ข้าดูแล้วเขาไม่เหมือนคนไร้เหตุผลไม่สนถูกผิดเช่นนั้น นอกจากนี้ยังเป็นการพบกันตอนที่พวกเจ้ายังเด็ก ไม่แน่ว่าเขาอาจจำเจ้าไม่ได้ก็เป็นได้

ฉังเคอได้ยินแล้วท่าทางคล้ายโกรธจนพูดอะไรไม่ออกได้แต่กล่าวเสียงดังว่า จู่ๆ ก็ได้เจอเฉินลั่วกับองค์ชายรองอย่างกะทันหัน ไม่ว่าใครก็ย่อมหวาดกลัว เข้าใจหรือไม่

………………………………………………………………………………

[1] ความสุข คนจีนนิยมติดตัวอักษรคำว่า ‘ความสุข’ กลับด้านไว้ตรงหน้าประตูบ้าน คำว่ากลับด้านในภาษาจีน (倒 อ่านว่า เต้า) พ้องเสียงกับคำว่าถึง (到 อ่านว่า เต้า) การติดอักษรคำว่าความสุขกลับด้านจึงเปรียบเปรยถึงความสุขมาถึงแล้ว

[2] โต๊ะแปดเซียน โต๊ะสี่เหลี่ยมนั่งได้แปดคน

ตอนต่อไป