ตั้งแต่ตอนนั้นมา เจ้าพวกลิงก็ติดชั้นแจเลย

หลังจากการโจมตีของปีศาจเมื่อครู่ เจ้าพวกิงก็มาล้อมวงซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้อยู่รอบๆชั้น

จากนั้นชั้นก็เห็นลิงตัวนึงเปิดประตูเข้ามา ถือเนื้ออะไรซักอย่างที่คล้ายๆไก่เสียบไม้ย่าง

เพราะไม่มีจาน เลยใช้ใบไม้มาเป็นที่รองแทน

เจ้าพวกนี้มีปัญญาควบคุมรถจักรไอน้ำได้ยังไงเนี่ย?

ไอ้รถคันนี้มันจะไม่เป็นไรจริงๆใช่มั้ย?

“อุกี๊! อุเกี๊ย! อุก๊า!”(ท่านเซนต์ครับ! นี่เนื้อส่วนที่ดีที่สุดครับ! เชิญเลยครับ!)

มันยื่นเนื้อมาให้พร้อมพูดอะไรซักอย่าง

ไรอ่ะ? หรือว่านี่เป็นวิธีทดแทนบุญคุณที่ชั้นช่วยไว้เมื่อกี๊เหรอ?

ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากกินเนื้อที่แค่เอาไปย่างโง่ๆไม่มีปรุง

ยิ่งกว่านั้น นี่มันเนื้อของเจ้านกตัวเมื่อกี๊ไม่ใช่เรอะ? ยิ่งไม่อยากกินเข้าไปใหญ่เลยเว้ย

ก่อนอื่นเลย ตั้งแต่ที่ชั้นมาเกิดในร่างกายนี้ ก็กินเยอะขนาดนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว

ในชีวิตก่อน ก่อนที่ชั้นจะเริ่มป่วยนี่ชั้นก็มีความอยากอาหารสูงกว่าคนปกติน่ะนะ แต่หลังจากเกิดใหม่มานี่ สงสัยร่างกายชั้นจะเข้าโหมดประหยัดพลังงานซะล่ะมั้ง

จากการส่งเสริมร่างกายด้วยพลังเวทย์ ทำให้ชั้นสามารถไม่ต้องกินต้องดื่มได้ห้าวันติด แถมควาต้องการที่จะเข้าห้องน้ำก็ลดตามไปด้วย

ถึงเอลริสคนก่อนจะเป็นอีตะกละก็เถอะนะ

ในขณะเดียวกัน เจ้าผู้พิทักษ์ที่ยื่นเนื้อมาให้ก็มองมันซะตาแวววับเชียว ดูท่าจะอยากกินมาก น้ำลายไหลแล้วเฮ้ย

“…เชิญทานได้เลยจ้ะ เอาไปแบ่งกับคนอื่นๆเถอะนะ ชั้นไม่หิวน่ะจ้ะ”

“อุกี๊! อุกี๊!”(ท่านเซนต์! ใจดีจริงๆครับ!)

พอบอกว่าให้เอาไปกินกันเอง พวกมันก็พุ่งเข้าสวาปามทันที

คำที่ได้ยินเจ้าพวกนี้พูดบ่อยๆนี่คือพูดถึงชั้นสินะ

เริ่มจะเหนื่อยใจกับเจ้าลิงพวกนี้แล้วสิ แต่ในที่สุดรถจักรไอน้ำก็มาหยุดอยู่กลางป่า

ดูเหมือนจะถึงที่หมายแล้วสินะ

“อุก๊า! อุกะ”(มาถึงที่หมายแล้วครับ! กรุณาระวังตอนลงจากรถด้วย)

พวกผู้พิทักษ์ทำท่าบอกให้พวกเราลงได้แล้ว ชั้นกับลุงไอส์เลยลงมาจากรถ

พวกผู้พิทักษ์มาล้อมรอบตัวชั้นกับลุง ทำทีเหมือนจะคอยคุ้มกันให้

“อุโก๊ อุกะก้า”(จากตรงนี้ไปนิดเดียวเองครับ ท่านเซนต์โปรดเดินระวังด้วย)

คิดว่าน่าจะพูดกับชั้นอยู่มั้ง ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะ

พวกผู้พิทักษ์เดินนำหน้าชั้นกับราชาไอส์ไป

ป่านี้…ค่อนข้างจะสงบเลยนะเนี่ย

สัตว์ตัวเล็กๆคล้ายกับกระรอกตกลงมาบนไหล่ชั้น จากนั้นก็กระโจนไปยังต้นไม้อีกต้น

หมู่นกบนต้นไม้ส่งเสียงร้องไม่หยุด ถ้าดูดีๆก็จะเห็นแมวขนาดตัวเท่าเสืออยู่ในป่าด้วย

ยังไงนะ…ไอ้นั่นมันแมวที่วิวัฒนาการจนตัวขนาดเท่าเสือ หรือว่าเป็นเสือที่สงบจัดจนคล้ายกับแมวบ้าน…ไม่รู้ดิ อันไหนก็ได้มั้ง

เอาเป็นว่าเป็นสายพันธุ์แมวที่ไม่มีบนโลกก่อนนั่นแหละ

มาคิดดูดีๆ ปกติชั้นเจอแต่พวกปีศาจเป็นประจำ แต่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสัตว์ของโลกนี้เลยแฮะ

“อุกุก๊า”(จากตรงนี้ไปครับ)

พวกผู้พิทักษ์หยุดเดิน จากนั้นก็ผายมือเหมือนกับบอกให้ไปด้านหน้าต่อ

ข้างหน้านี้คือที่อยู่ของคนที่ถูกเรียกว่า โหร สินะ

เอาล่ะ ได้เวลาเจอกันแล้ว

ชั้นกับลุงไอส์เดินไปกันต่อโดยไม่มีพวกผู้พิทักษ์

แต่ตอนที่จะทำแบบนั้น เสียงปริศนาก็ดังขึ้น

“ข้ารอเจ้าอยู่เลย… จากจุดนี้ไปมีแค่เอลริสที่ผ่านไปได้”

นั่นคือเสียงของโหรรึ?

รู้ชื่อชั้นก่อนจะได้แนะนำตัวอีก อาจเป็นเพราะว่าเป็นคนทำนายการเกิดของเซนต์ก็จริง แต่…ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่

ถึงจะรู้ชื่อของเซนต์ก็เถอะ แต่ชั้นเป็นตัวปลอมนี่นา แบบนั้นจะรู้ได้ยังไง

ลุงไอส์มองมาที่ชั้นอย่างเป็นห่วง ส่วนชั้นก็พยักหน้าและเดินต่อไปคนเดียว

ทางเข้ามีต้นไม้พันกันอย่างไม่เป็นธรรมชาติปิดบังอยู่

เบื้องหลังนั้นคือทะเลสาบ แค่นั้นแหละ

อะไรอ่ะ? ไม่เห็นมีใครเลย

หรือชั้นต้องดำลงไปในทะเลสาบ?

ระหว่างที่จดจ่ออยู่กับทะเลสาบนั้น ชั้นก็สังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งโผล่ขึ้นมา

ตัวที่โผล่ออกมาก็คือ—เต่า

กระดองกว้างราวๆห้าแมตรเห็นจะได้

เป็นเต่าที่ตัวใหญ่พอจะให้คนนั่งบนหลังได้เลย

เข้าใจล่ะ ชั้นต้องขี่เจ้าเต่านี่ลงทะเลสาบสินะ

แบบอุราชิม่า ทาโร่ใช่ป่ะ?

“มาแล้วสินะ เซนต์ตัวปลอมที่ยิ่งเสียกว่าตัวจริงเอ๋ย ข้ารอเจ้ามานานแล้ว ชื่อของข้าคือ โปรเฟตะ…พวกมนุษย์รู้จักข้าในนามของโหร”(โปรเฟต=โหร)

ตอนที่ชั้นตัดสินใจจะขี่เจ้าเต่า อยู่ๆมันก็เปิดปากพูดขึ้นมา

ก็นึกว่าเต่าตัวนี้เป็นพาหนะให้ขี่ไปถึงโหร ไม่นึกเลยว่าจะเป็นโหรซะเอง

อา เข้าใจล่ะว่าทำไมลุงไอส์ถึงบอกว่า “ถ้าได้เจอกันตรงๆก็จะเข้าใจเอง…”

นึกไม่ถึงเลยว่าโหรคนนี้จะไม่ใช่คนด้วยซ้ำ

ไม่สิ สัตว์ที่พูดได้นี่มันปีศาจไม่ใช่เหรอ? ดีไม่ดีจะมหามารด้วยซ้ำ

ไม่ใช่ว่าแกเป็นสมุนของแม่มดหรอกนะ?

“ท่านคือ…ปีศาจหรือเปล่าคะ?”

“คะฮ่ะฮ่ะ ที่เจ้าจะคิดเช่นกันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ข้าไม่ใช่ปีศาจหรอกนะ ก็แค่เต่าธรรมดาๆตัวหนึ่งที่ถูกเลือกให้เป็นโฆษกของโลกนี้”

เต่าธรรมดาที่ถูกเลือกโดยโลก ไอ้แบบนั้นมันธรรมดาตรงไหนนิ?

แต่ก็เข้าใจแหละว่าจะสื่ออะไร

ถ้าพูดกันจริงๆ เซนต์เองก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของโลก

โหรเองก็คงเป็นตำแหน่งที่คล้ายๆกัน

แต่ทำไมถึงเป็นเต่าล่ะ?

“สงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมเต่าจึงถูกเลือก? ก็ไม่มใช่อะไรพิเศษหรอก เป็นเพราะอายุขัยที่ยาวนานกว่าน่ะ เผ่าพันธุ์ของข้าคือเต่าพันปี ก็ตามชื่อเลย พวกเรามีอายุขัยยาวกว่าหนึ่งพันปี เป็นตัวตนที่สามารถคงอยู่ได้นาน และสามารถถ่ายทอดการกำเนิดของเซนต์ไปได้เรื่อยๆ”

งี้เอง เพื่อลดระยะห่างระหว่างรุ่นสู่รุ่นสินะ

ทำให้เริ่มคิดเลยนะเนี่ย ถ้าแบบนี้เซนต์ไม่จำเป็นต้องเป็นมนุษย์ก็ได้รึเปล่า?

ตั้งแต่แรกแล้ว มนุษย์ก็ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่เหมาะสมกับการสู้รบอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว ถ้าสู้กันจริงๆนี่เทียบกับแมวบ้านยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

จริงอยู่ที่ในโลกแห่งดาบและเวทมนตร์นี้อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป แต่ถ้าพูดถึงความสามารถทางกายภาพ พวกสัตว์ป่านี่กินขาดมนุษย์ไปไม่รู้เท่าไร

ถ้าอย่างนั้น แทนที่จะให้มนุษย์มาเป็นเซนต์ สู้ให้สัตว์ที่มีพลังสูงอย่างเสือหรือหมีมาเป็นเซนต์ จากนั้นก็ทำให้มีสติปัญญาสูงขึ้น แบบนั้นก็จะได้เซนต์ที่แข็งแกร่งที่สุดมาแล้วรึเปล่า?

ก็คงไม่เก่งเท่าชั้นแรอก แต่อย่างน้อยก็คงเหนือกว่าเซนต์รุ่นก่อนๆพอสมควรเลย

ถ้าเอาสัตว์ป่ามาเป็นเซนต์แทน จากนั้น—นั้น—นั้น

…ไม่อ่ะ ไปไม่ถึงแม่มดแหง

เพื่อจะให้เซนต์สามารถสู้กับแม่มดได้ ก็จะต้องทำอะไรซักอย่างกับพวกสมุนของแม่มดก่อน

หรือก็คือ จะต้องมีทหารและอัศวินมากมายต้องเสียสละกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าให้หมีมาเป็นเซนต์นี่ พวกทหารส่วนใหญ่ก็คงไม่กระตือรือร้นจะปกป้องเท่าหรอก

ยิ่งจะทำให้แยกออกจากปีศาจทั่วไปยากด้วย

สมมติโหรบอกว่า “หมีตัวนี้คือเซนต์” จะมีอัศวินซักกี่คนที่ทุ่มกายและใจเพื่อปกป้องหมีตัวนั้นกันเชียว

ให้มาปกป้องหมีเนี่ยนะ

เพราะแบบนั้น ให้เอาสัตว์อื่นมาเป็นเซนต์นี่คงยาก เพราะจะไม่ได้รับความร่วมมือจากมนุษย์เท่าที่ควร

จะทำให้ต้องออกไปสู้ตัวเดียวซะเปล่าๆ

ตัวเดียวนี่ยังไงก็ไม่รอด ไม่มีทางต้านทานปีศาจจำนวนมากได้หรอก

“ท่านเรียกชั้นว่าเป็นเซนต์ตัวปลอม แสดงว่ารู้ตัวตนของชั้นอยู่แล้วหรือคะ…?”

“ใช่แล้ว เจ้าน่ะไม่ใช่เซนต์ เป็นเพียงชาวบ้านที่เกิดในหมู่บ้านเดียวกันเซนต์ตัวจริง และมีพรสวรรค์สูงส่งก็เท่านั้นเอง”

ฟุมุ รู้สินะ

ก็นะ ยังไงก็เป็นคนที่พยากรณ์การเกิดของเซนต์นี่นา

จะรู้ว่าใครเป็นตัวจริงตัวปลอมก็ไม่แปลก

ที่ไม่เข้าใจก็คือ เจ้านี่รู้ชื่อของชั้นได้ยังไง? และรู้ได้ยังไงว่าชั้นจะมาที่นี่?

“เอาล่ะ มีอะไรจะถามข้าอีกไหม? เดี๋ยวข้าตอบให้หมดเลย ข้าล่ะอยากหาคนคุยด้วยมานานแล้ว เจ้าลิงพวกนั้นพูดอะไรข้าก็ไม่เข้าใจสักอย่าง”

“รู้ชื่อของชั้นได้อย่างไรหรือคะ? แล้วก็ ท่านพูดราวกับรู้อยู่แล้วว่าชั้นจะมาที่นี่…”

“คะฮ่ะฮ่ะ ต้องรู้อยู่แล้วสิ ข้ามีพลังที่สามารถทำให้รับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกได้จากที่นี่ ข้าได้เห็นมาหมดแล้วล่ะ วีรกรรมของเจ้าน่ะ”

อุวะ พลังน่ารังเกียจ ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยรึยังไงกัน

แต่ถ้าแบบนั้น จะรู้เรื่องที่ชั้นจะมาวันนี้ก็คงไม่แปลก

ได้ยินมาว่าโหรคือโฆษกของพระเจ้า…ไม่สิ ของโลก

ถ้าเป็นตัวโลกเองก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

โหรที่สามารถได้รับรู้ความต้องการของโลก ก็จะรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกด้วยเช่นกัน… แบบนั้นล่ะมั้ง

โอเค เข้าใจเรื่องนั้นแล้ว ถามเรื่องต่อไปละกัน

“ที่บอกว่า รอมานานแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไรหรือคะ?”

“ใช่แล้ว ข้าอยากจะพบเจ้ามานานแล้วอย่างไรล่ะ เพราะว่าเจ้าคือ จุดแปรผัน”

จุดแปรผัน? หมายถึงยังไงอ่ะ?

ไม่เข้าใจแฮะ

“ขอโทษนะคะ ช่วยอธิบายเรื่องนี้ได้ไหมคะ ชั้นไม่ค่อยจะเข้าใจ”

“ที่เจ้าจะไม่เข้าใจก็ไม่แปลกหรอก คงต้องอธิบายก่อนสินะ แต่สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดต่อจากนี้เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อจนราวกับเป็นเทพนิยาย เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”

เหลือเชื่อเหรอ

โลกนี้มีเวทมนตร์ แม่มดและเซนต์ถือกำเนิดขึ้นจากเจตจำนงค์ของโลก ยิ่งไปกว่าเรื่องพวกนี้อีกเหรอ…เอาเถอะ ลองฟังก่อนแล้วกัน

อาจจะได้รู้อะไรใหม่ๆก็ได้

“ข้าเคยบอกไปแล้วใช่ไหมว่าข้าสามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้น่ะ แต่แล้ววันหนึ่ง…ข้าก็สัมผัสได้ถึงโลกอื่นขึ้นมา”

พอได้ยินแบบนีั้น ชั้นก็ตกใจ

ดูเหมือนว่าเจ้าเต่าจะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกก่อนของชั้นได้

มันขยับหัวช้าๆและพูดต่อ

“ในโลกนั้นมีบันทึกชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘เกมุ’ เป็นบันทึกเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้… ชื่อของบันทึกนั้นคือ ‘บุปผานิรันดร์ร่วงโรย’ ราวกับว่าเป็นบันทึกของใครบางคนที่เฝ้ามองโลกใบนี้อยู่ โลกของเกมุนั้นจะเล่าผ่านมุมมองของชายหนุ่มที่ชื่อว่าเวอร์เนล…ถึงภาพประกอบบันทึกออกจะพิลึกก็เถอะ ตาโตขนาดนั้น แต่จมูกเล็กเหลือแค่จุด…”

พะ พิลึกเรอะ? เจ้าเต่านี่กล้าหมิ่นสองมิติว่าพิลึกเรอะ?

ภาพ 2D คือผลลัพท์ของการค้นคว้าอย่างยาวนาน สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาโดยบรรพบุรุษของเรา มันคือชีวิตและวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น อย่ามาหาว่ามันพิลึกนะเฟ้ย

ภาพโมเอะคือศิลปะแห่งจินตนาการ ไม่จำเป็นต้องสมจริงหรอกเว้ย ไอ้เต่าโง่!

…โอเค เรื่องนี้เอาไว้ก่อน

ดูเหมือนว่าเจ้าเต่านี่จะรู้เกี่ยวกับเกมสินะ

“แต่ในบันทึกนั้น มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกจากความเป็นจริงในโลกนี้…นั่นคือเจ้า เอลริส”

“ชั้น…แตกต่างหรือคะ?”

“ใช่ เจ้าน่ะคือเซนต์ตัวปลอม แต่ก็สมจริงเสียยิ่งกว่าของจริง ตั้งแต่อดีตมาไม่มีเซนต์คนใดที่เหมาะสมกับคำว่าเซนต์ไปมากกว่าเจ้าอีกแล้ว น่าขันเสียจริง…ที่ตัวปลอมกลับจริงเสียยิ่งกว่าของจริงซะอีก ขนาดได้เห็นด้วยตาตนเองยังยากที่จะเชื่อเลยว่าเจ้าไม่ใช่เซนต์… แต่เพราะอะไรบางอย่าง ‘เอลริส’ในเกมุน่ะ…แตกต่างจากตัวเจ้าเป็นคนละขั้วเลย …เธอคือผู้หญิงที่อยู่บนจุดสูงสุดของคำว่า ต่ำช้า”

ชั้นหายใจลึกเมื่อได้ฟังคำอธิบายที่โปรเฟตะพูดเกี่ยวกับเกม

เอลิรสที่แตกต่างจากตัวชั้น ผู้หญิงที่อยู่บนจุดสูงสุดของคำว่า ต่ำช้า…เอลริสคนก่อน

จริงอยู่ที่เนื้อในชั้นเองก็อาจจะชั่วไม่ต่างกัน แต่เอลริสคนห่อนไม่มีฉากหน้าคอยบังไว้เหมือนชั้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าเต่ากำลังพูดถึงอีอ้วนริสอยู่

ทำไมโปรเฟตะถึงรู้เกี่ยวกับโลกก่อนที่จะถูกเปลี่ยนได้…ไม่เข้าใจเลย

ประมาณแสงดาวรึเปล่า?

แสงจากดาวที่เราเห็นในตอนกลางคืนนั้นจริงๆแล้วคือแสงจากอดีต

แสงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทางจากดวงอาทิตย์มายังโลกประมาณแปดนาที เท่ากับว่าดวงอาทิตย์ที่เห็นบนฟ้านั้นไม่ใช่ดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน แต่เป็นจากแปดนาทีก่อน

เราไม่สามารถดูดาวในห้วงเวลาปัจจุบันได้

อาจจะเป็นแสงจากหลายปี หลายสิบปี หรือหลายร้อยปี…เป็นแสงที่ถูกส่งออกมาเมื่อนานมาแล้วกว่าจะมาถึงโลก

ระยะห่างระหว่างโลกสองใบอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้

โปรเฟตะจึงสามารถมองเห็นได้แค่ภาพในอดีตจากโลกนั้น…แต่ไม่ใช่ภาพในปัจจุบัน…อะไรอย่างนั้นเหรอ? หรือชั้นคิดมากไป?

คงคิดมากไปจริงๆนั่นแหละ

ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าโลกนั้นกลายเป็นอดีต ก็แปลว่าชั้นเดินทางย้อนอดีตน่ะสิ

ชั้นเล่นบุปผานิรันดร์จนจบไปแล้ว

ถ้าเกมที่ชื่อว่า บุปผานิรันดร์ร่วงโรย สร้างขึ้นจากการเฝ่ามองโลกนี้จนจบล่ะก็

การที่ชั้นมาเกิดใหม่ในฐานะของเอลริสก็ต้องถูกเรียกว่าชั้นกลับมาเกิดใหม่ในอดีตเหมือนกัน

ในนิยายไซไฟน่ะ มีคำกล่าวที่บอกว่าถ้าเดินทางเร็วกว่าแสงก็จะสามารถย้อนเวลาได้

ชั้นไม่คิดหรอกนะว่าวิญญาณเดินทางได้เร็วกว่าแสงน่ะ แถมยังย้อนกลับมาอย่างน้อยตั้งสิบเจ็ดปี

ชั้นไปกลับสองโลกมาหลายรอบแล้ว ไม่คิดว่าเวลาของทั้งสองโลกจะต่างกันขนาดนั้นหรอกนะ

ฟุโดวบอกว่าเวลาบนโลกนั้นกับในโลกนี้น่ะไหลไม่เท่ากัน…แต่ก็มีแค่ 17 ปีแรกที่ต่างกันอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีความห่างที่เห็นได้ชัดแบบนั้นอีก

สัปดาห์นึงในโลกนั้นก็เท่ากับสัปดาห์นึงในโลกนี้ แบบนั้นแหละ

ชั้นไม่คิดว่าไม่กี่วันที่ผ่านไปในโลกนั้นจะเท่ากับ 17 ปีในโลกนี้หรอกนะ

แล้วก็ชั้นเริ่มจะกลับไปเก็บเสี้ยววิญญาณจากทางฝั่งนั้นที่ไม่ได้ติดมาด้วยตอนชั้นเกิดใหม่…แต่ทำไมถึงเพิ่งมาเกิดในช่วงปีนี้ล่ะ

แสดงว่าสิบเจ็ดปีผ่านไปแล้วชั้นก็กลับมาที่ไทม์ไลน์เดิมแล้วเหรอ?

เพราะชั้นกลับมาไทม์ไลน์เดิม เลยไม่มีความแต่งต่างระหว่างเวลาในโลกนั้นและโลกนี้อีก แบบนั้นรึเปล่า?

นี่ก็แค่สมมติฐานของชั้นน่ะนะ ต้องหาหลักฐานมาสมทบก่อนตอนกลับไปฝั่งนั้น

ถ้าชั้นเดาถูกล่ะก็…ก็แสดงว่าชั้นกลับมาเกิดใหม่สิปเจ็ดปีในอดีตของโลกนี้ล่ะมั้ง

แต่สิ่งที่เคยเห็นมันต้องมาจากในอดีตไม่ใช่เหรอ?

โปรเฟตะเห็นบุปผานิรันดร์หลังถูกวางขายแล้ว

มันวางขายเมื่อสี่ปีก่อน ดังนั้นอย่างน้อยเจ้าเต่าก็น่าจะสามารถสังเกตไทม์ไลน์นอกเหนือจากนั้นได้

จากที่พูดมา บางทีมันอาจจะสามารถเห็นโลกนั้นได้ในช่วงหลายวันถึงหลายปีก่อน นี่ชั้นต้องกระโดดผ่านกำแพงมิติตอนกลับมาเกิดใหม่รึเปล่า หรือว่า…มันอาจจะ…ไม่สิ…เวรเอ๊ย ไม่เข้าใจเลย

หยุดคิดเรื่องนี้เถอะ

แต่เดิมชั้นก็โง่อยู่แล้วอ่ะนะ คิดไปก็มีแต่จะงงกว่าเดิม

ปล่อยให้ตัวชั้นอีกคนกับอิจูอินซังจัดการที่เหลือดีกว่า

____________________________________

ตอนนี้งงมากๆบอกตรงๆ แปลไปปวดหัวไป ถ้าไม่เข้าใจที่เขียนไปก็ไม่เป็นไรนะเออ เพราะเอลริสแกเดามั่วถั่วไปงั้นแหละ