“ไม่เจอกันนานนะคะ พระเจ้า”

เจ้าของร่างที่ผมเรียกนั้น คือบุคคลผู้มีผมสีดำแต่งตัวในชุดสีขาวดูดี รอบตัวของเขานั้นมีออร่าแสงสีทองเรือง ๆ ทอประกายออกมาจนเทาเอาผมรู้สึกแสบตาไม่ใช่น้อย

“ออร่าประกายเจิดจ้าของพระองค์นั้นทำเอาเนตรของข้าเบิกออก ข้านั้นฉงนว่าเหตุใดท่านถึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าเราผู้ต่ำต้อย”

ก็คิดไว้แล้วล่ะว่าคุยกับเจ้าหมอนี่ทีไร สภาพมันก็ต้องออกมาเป็นแบบนี้

คิดไปพลางมองหน้าของอีกฝ่ายที่ยังคงยิ้มอย่างมีความสุขกับความทุกข์ของผม จนผมรู้สึกอยากใช้อวัยวะด้านล่างของตัวเองส่งใส่หน้าสักหน่อย

“น่ากลัวจังเลยนะออโรร่า นี่ข้ามาหาเจ้าด้วยความหวังดีเลยนะเนี่ย ได้ยินเจ้าคิดเช่นนี้ทำเอาข้าเสียใจแย่”

เขายังคงพูดอย่างสนุกสนานเช่นเดิม ส่วนผมก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ย มองเจ้าหมอนี่อย่างหมั่นไส้แต่ทำอะไรไม่ได้

“ได้ยินเจ้าอ้างชื่อข้าอยู่บ่อยครั้ง ทำเอาข้าสะดุ้งอยู่บ่อยครั้งเลยนะ”

“พระองค์ทรงจะคาดโทษตัวเรา ที่แอบอ้างพระนามอันยิ่งใหญ่ของตัวท่านเช่นนั้นเหรอ”

“ไม่ ๆ ไม่เลยสักนิด แค่อยากชื่นชมว่าเจ้าทำตัวสมเป็นนักบุญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะพระเจ้าที่มอบพลังให้ก็รู้สึก… ดีใจมาก”

มาแปลก…

ทำไมกันนะ ทำไมรู้สึกว่าหนนี้เจ้าหมอนี่มาแปลกจนน่าสงสัยแบบสุดลิ่มทิ่มประตู นอกจากจะไม่พูดจากวนประสาทหรือเอาคำสาปอะไรมายัดใส่เพิ่ม ยังมามีชมอีกต่างหาก หรือว่าพระเจ้าก็มีกินของผิดสำแดงกับเขาเหมือนกันเนี่ย

“ชมเจ้าก็ยังผิดด้วย นี่ข้าทำตัวไม่ถูกเลยนะ”

“แล้วสรุปพระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่มีธุระอันใดกับตัวข้าผู้ต่ำต้อยกัน”

“แค่อยากถาม”

“อยากถาม?”

“เจ้ามาหาผนึกแห่งซิลฟรอเทียเพราะอะไรกัน”

มาแปลกจริง ๆ ด้วย ทำไมหมอนี่ต้องมาสนใจอะไรแบบนี้ด้วยล่ะนั่น ไม่สิอย่างอื่นก่อนเลย กับคนที่อ่านใจคนอื่นได้แบบนี้แล้วมาถามเนี่ย…. โอ้ ตายล่ะ นี่มีแผนร้ายแน่นอน

ผมรีบเหลือบตามองซ้ายขวาของตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะลืมตัวไปเลยว่ากำลังพูดกับตัวตนอะไรอยู่ และตอนนี้กำลังมีใครอยู่รอบตัวของผม

ใช่แล้ว เหล่าผู้ศรัทธาอันแสนบ้าคลั่งของพระเจ้าผู้บ้าบอ ที่พร้อมจะก้มกราบและสรรเสริญผมทุกครั้งที่เห็นอะไรก็ตามที่ผมเกี่ยวข้องกับพระเจ้า

เพราะฉะนั้น กับการที่ผมคุยกับพระเจ้าแบบพูดออกปากแถมทำตัวเหมือนมีพระเจ้ากำลังยืนอยู่เบื้องหน้าแบบนี้ แน่นอนว่าพวกสาวกสุดคลั่งนี่น่าจะคลั่งหนักกว่าเดิมระดับอาจป่าวประกาศยินดีจัดงานฉลองสามวันสามคืนซะจนลืมเรื่องที่กังวลเมื่อครู่ไปเลยก็เป็นได้

“หือ!!!”

และตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นสิ่งผิดแปลกไป นั่นคือผู้คนทั้งหลายนอกจากผมกับพระเจ้าแล้วกลับหยุดนิ่ง ไม่มีแม้การเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่การหายใจเข้าออก หรือที่สังเกตุได้ชัดเจนกว่านั้นคือหมอกไอความเย็นที่ควรจะเคลื่อนหมุนวนไปมาตามธรรมชาติก็หยุดเองเช่นกัน

“ราส ราส ได้ยินไหม”

ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา เสียงของเจ้านกกวนประสาทที่ชอบพูดกับผมตลอดเวลานั้นกลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ นั่นยิ่งทำให้ผมแน่ใจว่ากาลเวลาทั้งหมดได้ถูกหยุดนิ่งอย่างแท้จริงตามความหมายของมัน

“เห็นไหมว่าข้ามาดี เรื่องที่เจ้ากังวลข้าก็จัดการให้เรียบร้อยไม่มีใครรู้ถึงการสนทนาระหว่างพวกเรา เจ้าไว้ใจข้าได้”

พระเจ้าพูดพลางเผยยิ้มกว้างออกมาทำเอาผมยิ่งระแวงหนักกว่าเดิมว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ ทั้งหยุดเวลา ทั้งไม่กวนประสาท นี่ผมหลุดมาอยู่ต่างโลกหรือโลกคู่ขนานหรือไงเนี่ย

ฝัน นี่ผมฝันไปแน่นอน

“เห้อ… เจ้าเป็นเอาหนักขนาดนี้แล้วเราจะได้คุยกันถึงไหนไหมเนี่ย”

“การปรากฏของพระองค์ในครานี้ช่างแปลกนัก ตัวเรานั้นตกอยู่ในความสับสนอันไม่แน่นอนจนยากที่จะสามารถเข้าใจถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ได้”

พระเจ้าถอนหายใจแล้วเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อย ๆ ใบหน้าเขาดูเหนื่อยหน่ายจนผมที่ระแวงอยู่แล้วก็เริ่มพูดบ่นออกมามั่วซั่ว และเมื่อผ่านการกรองจากระบบนักบุญทรานสเลเตอร์มันก็ยิ่งเพี้ยนหนักไปกว่าเดิม

แป๊ะ

เสียงดีดนิ้วจากคนตรงหน้าดังขึ้นก็เกิดแสงวูบวาบรอบ ๆ ตัวผม จิตใจอันว้าวุ่นที่แตกกระเจิงเหมือนแก้วที่แตกหักได้กลับมาผสานกันอีกครั้งหนึ่ง

“สงบใจได้แล้วรึยังล่ะ”

โอเค แบบนี้ต้องขอบคุณกันใช่ไหมเนี่ย

ผมที่ตอนนี้เริ่มกลับมาใจเย็นได้อีกครั้งก็ได้เดินมานั่งโต๊ะที่พระเจ้าคนนี้ได้เสกขึ้นมาพร้อมกันก็มีแก้วชาและขนมถูกวางเอาไว้

“เอาล่ะครั้งนี้มาต้องบอกเป็นเรื่องที่อยากคุยกัน มีประมาณสองสามเรื่องที่อยากบอกและอยากถาม แต่ก็ตามที่ข้าได้ถามว่าแต่แรก เจ้ามาหาผนึกแห่งซิลฟรอที่ด้วยเหตุอันใด”

“ฉันแค่อยากจะตรวจสอบให้มั่นใจว่าผนึกของสิ่งนี้ยังดีอยู่เท่านั้นแหละ เพราะถ้าผนึกมันแตก ผีร้ายถล่มเมือง คงแย่น่าดู”

ด้วยว่าจิตใจของผมมันเริ่มสงบลง ทำให้คำบ่นด่าพระเจ้ามากมายสลายหายไป ทำให้ตอนนี้เริ่มกลับมาพูดแบบปกติไม่ใช่คำสรรเสริญบูชา แต่ก็ยังเหลือคำสาปสาวน้อยน่ารักที่ยังคงอยู่ แต่มันก็ไม่น่ารำคาญเท่าคำสาปอันแรกหรอก

“หืมม มีจิตใจสมเป็นนักบุญขึ้นมาเช่นนี้ ข้าควรเอ่ยชมเชยเจ้าสินะ”

“เรื่องช่วยเหลือคนก็ส่วนหนึ่งแต่อีกอย่าง ถ้าเมืองพังไป ฉันก็อดกินขนมสิ”

“เจ้าเนี่ยช่างเป็นเด็กน้อยจริง ๆ เลยนะ แล้วรู้แล้วเหรอว่าขนมนั่นมันเป็นอะไร”

“ไม่ล่ะค่ะ แต่ขึ้นชื่อว่าขนมอย่างไรมันก็ต้องอร่อยแน่นอน”

พระเจ้าถอนหายใจออกมาก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ตรงหน้าของผมก็ปรากฏขนมพุดดิ้งสีแดงสดใสหน้าทานขึ้นมา กลิ่นของมันหอมจนทำเอาท้องผมร้องขึ้นมา

“นะ..นี่มัน”

“ขนมพุดดิ้งราสเบอรรี่เกล็ดหิมะ.. ของขึ้นชื่อพื้นเมืองของที่นี่ ดังน่าดูเลยนะ”

“จะ…ใจดีแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่เนี่ย”

ผมสูดน้ำลายของตัวเองที่ไหลลงมาขึ้นไป ถึงตาจะยังมองเจ้าสิ่งหน้าอย่างเป็นประกาย มือทั้งสองนี่สั่นอย่างกับผีเข้าแต่ก็ต้องเก็บอาการไว้ก่อน เพราะขืนพลั้งมือไป อาจจะกลายเป็นการทำสัญญากับปีศาจโดยไม่รู้ตัว

“ก็บอกแล้วว่าข้ามาเพื่อคุย เจ้านี่ก็ระแวงไปเรื่อย กินไปเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่ะ”

“งั้นไม่เกรงใจนะคะ”

ไม่รอช้าผมปาความเกรงใจและความระแวงทั้งหมดทิ้ง ปล่อยให้ความกระหายในของหวานที่อัดอั้นมานานหลายสัปดาห์ให้มันชนะเหนือทุกเหตุผล

ผมรีบใช้ช้อนตักเจ้าพุดดิ้งแสนนุ่มด้านหน้าตัวเองอย่างไว เพียงแค่สัมผัสนิดเดียว ช้อนในมือก็จมเข้าไปในเนื้อนุ่ม ๆ สีแดงราวกับอัญมณีแสดงถึงสัมผัสที่ผมจะได้รับอีกไม่นาน

ง่ำ

อร่อยยยยยยย อื้ออออ ของขึ้นชื่อนี่มันอร่อยสมชื่อจริง ๆ

รสหวานปนเปรี้ยวของพุดดิ้งละลายเข้าไปในปากจนรู้สึกเพลิดเพลินไม่ใช่น้อย แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าเกล็ดน้ำแข็งที่อยู่รอบ ๆ พุดดิ้งนี่ต่างหากมันทำให้ได้รับสัมผัสของความเย็นชื่นใจแล้วก็ความสนุกจากการเคี้ยว ทำเอาเหมือนฟินขึ้นสวรรค์เลย

“อร่อย นี่มันอร่อยสุด ๆ ไปเลย อร่อยเหมือนขึ้นสวรรค์เลยอ่า”

“เจ้านี่ ช่างทำตัวเด็กน้อยจริง ๆ”

“ออโรร่าเป็นเด็กนะ!!!”

ผมเถียงกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่อยากให้เขาขัดความสุขของตัวเอง แต่ว่าไหน ๆ ก็อุตส่าห์ใจดีมอบขนมอร่อยแบบนี้ให้ ไอ้ผมมันก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักบุญคุณ จะตั้งใจฟังที่เขาพูดเป็นการตอบแทนแล้วกัน

“เอาล่ะอย่างแรก ดูเหมือนเจ้าจะทำไปเพราะความอยากตะกละล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นเจือปนเลยสินะ”

“ที่พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่พูดมา งั่ม ๆ นั้นช่างบาดลึกในจิตใจของข้าผู้ต่ำต้อยจริง ๆ งั่ม”

“จะบ่นหรือจะกินก็เอาสักอย่างสิเจ้าน่ะ”

ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยใจไม่ใช่น้อย แต่ก็ดูยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน จนผมแอบหมั่นไส้ขึ้นมา

หนอย ยิงคำสาปใส่ชาวบ้านเองแล้วยังมีมาบ่นเหรอ เดี๋ยวปาพุดดิ้งใส่หน้า… ไม่ได้ ๆ เสียดายของ กินต่อดีกว่า อย่าไปต่อปากกับมันนะออโรร่า

“ถ้างั้นเจ้าเคยได้ยินเรื่องของมณีทั้งเจ็ดแห่งดาบนักบุญเหรอเปล่า”

โห อารมณ์ไหนมาถามความรู้ระหว่างคนทานอาหาร ใจหยาบมาก!!

มณีแห่งดาบนักบุญเหรอ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเคยฟังผ่านหูมาอยู่บ้างนะ ตอนคลาสเรียนของนักบุญสมัยอยู่ที่มหาวิหาร

“จำไม่ผิดจะเป็นมณีที่มีพลังอันมหาศาลซึ่งพระเจ้ามอบให้กับนักบุญคนแรกใช่ไหมคะ”

“จะเรียกว่ามอบให้ก็ไม่ถูก เป็นให้ภารกิจรวบรวมมากกว่าแต่เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่ข้าจะถามคือเจ้ารู้ถึงตัวตนของมณีนั่นเหรอเปล่า”

“ของตำนานแบบนั้นใครจะไปรู้ล่ะคะ ถ้าอยากทดสอบความรู้ไปถามเอาจากนักบวชในมหาวิหารจะดีกว่าถามกับฉันนะ พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักยิ่งของทุกผู้คน”

นั่นล่ะ ที่รู้ทั้งหมดก็มีแค่นั้น ถ้าให้ถามรายละเอียดมากกว่านี้ล่ะก็… ลาก่อน ไม่รู้จ้า

“งั้นเหรอ แบบนั้นเองสินะ”

พระเจ้าก้มหน้าเหมือนใช้ความคิด ใบหน้าของเขานั้นยากที่จะอ่านว่าภายในนั้นคิดอะไรอยู่แต่เรื่องนั้นใครสนกัน จิตใจตอนนี้ของผมมันจดจ่อกับเจ้าพุดดิ้งเกล็ดหิมะตรงหน้ามากกว่า

“เช่นนั้นก็… อยากเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่กว่านี้ไหม”

“ไม่!!! ความคิดของพระองค์ชายลึกล้ำยิ่งใหญ่ ความปรารถนาและคาดหวังอันใดขององค์ท่านส่งถึงตัวข้า จนมิอาจคิดเป็นอื่นใดนอกจากความซาบซึ้ง”

“มาเป็นชุดเลยแหะ”

“แน่นอนสิคะ แค่เป็นนักบุญอันเป็นที่รักก็ยุ่งวุ่นวายจะตายอยู่แล้ว ถ้าจะให้ทำภารกิจอันยิ่งใหญ่อะไรอีก มิวายฉันอดทานขนมหวานแน่นอนค่ะไ

“ถ้างั้นเอาเป็นข้อแลกเปลี่ยนเป็นไง เจ้ารวบรวมมณีเหล่านั้น แล้วคำสาปทั้งหมดที่ว่ามาจะหายไป”

ฟังดูน่าสน

ถึงจะชินกับอะไรแบบนี้แล้วก็เถอะ แต่ถ้าเอามันออกไปจากชีวิตได้ จะเป็นพระคุณในชีวิตอย่างสูงมาก ๆ

“สนใจแล้วสินะ ถ้าเช่นนั้นอย่างแรกเจ้าก็มาถูกทางแล้ว มณีแห่งความเปลี่ยนแปลง กำลังรอเจ้าอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ ได้มันมาแล้วเส้นทางของเจ้าจะเปิดออก”

“เส้นทางเหรอ”

“ข้าจะมอบระบบนักบุญที่ช่วยสนับสนุนเจ้าในการเดินทางเพื่อรวบรวม มันจะช่วยเจ้าในทั้งเรื่องของการปรับพลังและมอบปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ให้”

“ลดแลกแจกแถมขนาดนี้ พระองค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่มีสิ่งใดอยู่ในใจอันยากคิดหยั่งถึงกันแน่”

“พระเจ้าจะมอบความสะดวกสบายให้แก่นักบุญของตน มีอะไรผิดแปลกล่ะ”

ที่มันแปลกก็เพราะเป็นเอ็งอะ

“สิ่งผิดแปลกคือตัวท่านผู้ยิ่งใหญ่!”

พระเจ้าไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่หัวเราะออกมา ก่อนจะเดินมาลูบหัวผมอย่างสนุกสนานจนทำเอาผมเหวอไม่ใช่น้อย

อารมณ์ไหนของมันกันเนี่ย นี่มันอยากแกล้งกันเพราะเห็นผมเป็นเด็กใช่ไหม หนอย อย่าให้โตกว่านี้อีกนิดนะ พ่อจะเตะเสยคางให้ โชคดีของนายที่ตอนนี้ขามันยังไม่ถึง

“ถ้างั้นขอให้โชคดี คำใบ้อยู่ที่ดาบตรงหน้าของเจ้า…. ขอให้โชคดีนะ อัล”

มีมาเรียกชื่อเล่นกันด้วยเหรอ หนอย นี่มันมองผมเป็นเด็กชัด ๆ เลยนี่หว่า

แต่ไม่ทันได้บ่นอะไร ทั้งพุดดิ้ง ทั้งโต๊ะและคนที่เสกขึ้นมาก็หายไปพร้อมกับกาลเวลาที่เริ่มกลับมาไหลเวียนอีกครั้งหนึ่ง

เฮ้ย เดี๋ยว เอ็งจะไปก็ไม่เป็นไร แต่เก็บพุดดิ้งของตูไว้ให้ก่อนนนนนน