เมื่อยามที่พระเจ้าหายไปและกาลเวลาได้หวนคืนมา ทว่าสิ่งที่แลกมานั้นมันก็ช่างยิ่งใหญ่ สิ่งที่ทำได้มีเพียงมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเศร้าโศก

พุดดิ้งงงงงงง

ไม่นะ พุดดิ้งแสนอร่อยมันหายไปแล้ววว

หน็อยแน่ ไอ้พระเจ้าบ้า จะไปทั้งทีก็ไปแต่ตัวสิ ฮือออ พุดดิ้งแสนอร่อยนั่นยิงกินไม่หมดเลยอะ

“พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ มาหาข้าและจากไป ไม่เหลือแม้แต่สิ่งสำคัญให้ข้านั้นสัมผัส”

อ๊ะ แย่แล้วสิ เงียบก่อนออโรร่า
สงสัยจะบ่นมากไป จู่ ๆ ปากผมมันก็เริ่มขยับออกมาเอง จนต้องรีบหยุดความคิดเพราะไม่งั้นอาจจะเผลอพูดอะไรแปลก ๆ ออกไปได้อีกมาก

“ว่าไงนะครับท่านนักบุญ…. จะบอกว่าอาคมของพระเจ้าหายไปแล้วงั้นเหรอครับ”

เสียงของท่านดยุคดังมาจากข้างหลังอย่างกังวลทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังไปวูบ ๆ กับความผิดพลาดของตัวเองที่สร้างขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว

นั่นไง ว่าแล้วว่าเจอกันทีไร จบลงแบบนี้ทุกที เจ้าพระเจ้าบ้าเอ้ย… เดี๋ยววว

“ยามได้พานพบ ทุกครานั้นจบลงดั่งที่มันเป็นไปทุกครา องค์ท่านผู้ยิ่งใหญ่”

“เอ่อ…หมายความว่าไงกันเหรอครับ พวกเราความรู้น้อยมิอาจเข้าใจวจีอันยิ่งใหญ่ของท่านนักบุญ”

โชคดีไป อย่างน้อยความคิดของผมเมื่อครู่มันก็ยังไม่ได้เจาะจงเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เพราะงั้นจึงยังไม่ได้มีคำที่ส่อแววทำให้เกิดเรื่อง

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่มีบางอย่าง…”

“นั่นท่านร้องไห้?”

เสียงร้องทักขึ้นมาของเขาทำเอาผมเลื่อนมือของตัวเองไปจับที่แก้ม สัมผัสของความชื้นที่ขอบตานี่ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสภาพอะไร

ตายแล้วเรา นี่เผลอร้องไห้เพราะพุดดิ้งหายงั้นเหรอเนี่ย ต้องเก็บอาการก่อน เดี๋ยวมีใครรู้แล้วซวยเอาแน่

“อัลคะ ร้องไห้งั้นเหรอคะ อย่าบอกนะว่า…..”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นค่ะ แค่เอ่อ…..เอ่อ…”

จะใช้ข้ออ้างอะไรดีเนี่ย บอกตามตรงก็อาย พูดอะไรไปมั่ว ๆ เดี๋ยวก้เกิดเรื่องใหญ่อีก ผมต้องทำอย่างกันดีเนี่ย

‘ยัยหนู เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงได้หลั่งน้ำตา เจ้าเห็นอะไรจากดาบเล่มนั้น มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ รีบบอกมาเร็ว’

ดูเหมือนราสเองจะไม่เห็นในสิ่งที่ผมเห็น ก็เลยกลายเป็นว่าทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้องแล้วจ้องดาบเล่มนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมา ฉากแบบนี้ถ้าไม่ใช่เจ้าของดาบได้กลับมาพบดาบอีกครั้งก็เป็นคนอื่นที่เห็นฉากความฉิบหายวายวอด

“อย่าบอกนะว่าท่านนักบุญเห็นแล้วถึงภัยพิบัติของกลอริเอล”

“เป็นเรื่องจริงเหรอเนี่ย”

“แย่แล้วไง นักบวชที่แคว้นเราไม่ได้มีมากเท่ากับเมืองหลวงซะด้วย”

นี่ไง ความฉิบหาย!!!

ต้องรีบแก้ ต้องรีบแก้… ใช่แล้ว เบี่ยงเบนประเด็น เอาเป็นใช้เรื่องนั้นไง เรื่องของภารกิจที่ว่านั่น อะไรนะ.. มณีแห่งความเปลี่ยนแปลง

“ไม่ใช่ค่ะ แค่ว่ากำลังซึ้งใจค่ะ ว่ามณีแห่งความเปลี่ยนแปลงได้มาอยู่ตรงหน้า”

ตำราว่าไว้ เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม ดังนั้นอยู่กลางดงคนคลั่งศรัทธาก็ต้องใช้เหตุผลแบบศรัทธาเข้าอ้างมันถึงจะถูก

อัจฉริยะ!!!

“มณีแห่งความเปลี่ยนแปลง? บ้าน่าในผนึกแห่งซิลฟรอเทียงั้นเหรอ”

ใบหน้าของพวกเขาทั้งหลายแทนที่จะดีใจปลาบปลื้ม กลับดันหน้าซีดเผือดกว่าเดิม บางคนมีถึงขั้นตกใจแล้วหันหน้าไปพูดคุยกันราวกับโลกจะแตก.. ไหงงั้นล่ะ

“แย่แล้ว งานนี้แย่แน่ ๆ”

“ผนึกคลายออกอย่างแท้จริงแล้วสินะ”

“ถ้างั้นจอมปีศาจนั่นก็หลุดออกมาแล้ว… ไม่ได้การ นี่มันเลวร้ายกว่าที่คิดไว้มาก”

นี่ผมคาดการณ์อะไรผิดไปงั้นเหรอ ไหงพวกเขาสติแตกกว่าเดิมเนี่ย

“จริงเหรอคะอัล ที่ว่ามณีแห่งความเปลี่ยนแปลงได้อยู่ที่ซิลฟรอเทีย… ที่ว่าผนึกนั่นได้พังไปแล้วน่ะค่ะ”

เอ้า.. ผนึกจอมปีศาจนี่ใช้มณีแห่งควมเปลี่ยนแปลงในการผนึกงั้นเหรอ… งานงอกแล้วไง นี่ผมทำให้เรื่องมันใหญ่กว่าเดิมงั้นเหรอ

‘เรื่องนี้มันเรื่องใหญ่มากเลยนะยัยหนู สรุปว่าเจ้าเห็นจริง ๆ ใช่ไหม’

เอ่อเรื่องมณีแห่งความเปลี่ยนแปลงนั่น… พระเจ้าบ้านั่นมันบอกมาเองอะ ว่าดาบตรงหน้าคือเป้าหมายแรกที่เขาต้องการให้ผมต้องจัดการ

“มณีแห่งความเปลี่ยนแปลง พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงกล่าวกับตัวเราผ่านสุรเสียงอันยิ่งใหญ่ ซิลฟรอเทียคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง คือประสงค์แรกที่พระองค์ต้องการ”

‘ภารกิจการเก็บมณีแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์… นอกจากนักบุญคนแรกและเด็กสาวคนนั้นแล้วก็ไม่มีใครได้รอบมอบหมายเช่นนี้อีก แสดงว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ’

เอาจริงดิ เรื่องใหญ่งั้นเหรอ นึกว่าแค่อยากแกล้งผมซะอีก แต่เรื่องคำพูดของเจ้าราสนั้นช่างมันก่อนตอนนี้ที่ผมต้องสนใจก็คือ…

“พวกเราจะตายกันหมด!!!”

เสียงกรีดร้องของขุนนางท่านหนึ่งดังขึ้นมาจนท่านดยุคต้องรีบห้ามปราม

“ใจเย็นก่อน ถึงแม้เจ้าปีศาจนั่นจะมาแต่เรามีนักบุญที่เป็นที่รักของพระเจ้าอยู่นะ”

“แต่ว่านั่นน่ะ คือจอมปีศาจแห่งเหมันต์ที่มีแต่ท่านฟรอเทียที่ปราบมันได้นะครับท่านดยุค กับตอนนี้ที่พวกเราไม่มีผู้สามารถใช้ดาบเล่มนั้นได้แล้วจะทำกันอย่างไร!!”

ตามหลักการเสียจริง เจ้าดาบมีเลือกเจ้าของกับเขาด้วย ก็นะ เป็นดาบในตำนานทั้งที ถ้าไม่เล่นตัวหน่อยเดี๋ยวมันจะเสียชื่อแย่

“อย่าแตกตื่นไป ในยุคนั้นอาจไม่สามารถทำได้ แต่ตอนนี้ ที่นี่ เรามีท่านนักบุญออโรร่า ผู้ถูกกล่าวขานว่าเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่เรสเวนน่า ไม่สิ ตั้งแต่โลกแห่งนี้เคยมีมา เช่นนั้นแล้วเรายังต้องกลัวอีกงั้นเหรอ”

ปลุกใจได้ยอดเยี่ยมมากท่านดยุค แต่ถามสุขภาพผมสักคำหน่อยได้ไหมว่าพร้อมจะไปลุยเหรอเปล่า

“เรื่องนั้น….”

ไม่สิ ลองคิดดูดี ๆ ไอ้ที่มันวุ่นวายขนาดนี้มันก็ความผิดเรานี่หว่า คนเราเรียนผูกมันก็ต้องเรียนแก้ ขี้กลางทางมันก็ต้องเก็บ เพราะงั้น

“ทุกท่านโปรดใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ หนูเข้าใจความกังวลของทุกคนแต่ว่าตอนนี้ขอหนูตรวจดูให้มั่นใจก่อน”

ขอร้องล่ะอีดาบในตำนาน ช่วยหลงเหลืออาคมอะไรก็ได้ให้ผมอ้างหน่อยเถอะ หรืออย่างน้อยก็โชว์ปาฏิหาริย์อะไรก็ได้ให้ผมรอดจากสถานการณ์ตอนนี้ที

“หนูอาจจะกังวลในนิมิตของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่เกินไปจนคุมอาการเมื่อครู่ไม่ได้ ทว่านิมิตก็ยังเป็นนิมิต ยังไม่ใช่ความจริงที่เกิดขึ้น หากพวกเราหาทางแก้ได้มันก็จะไม่เกิด…”

ปรับการแสดงให้ตัวเองเหมาะสมกับการเป็นนักบุญ:ขั้นสูง

ผมค่อย ๆ ก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ เข้าหาดาบเล่มนั้น และทุกย่างก้าว แสงสว่างรอบตัวของออโรร่าผู้นี้ก็เจิดจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้หลายคนที่ร้องกังวลเมื่อครู่เริ่มสงบสติอารมณ์กันได้ แถมยังกู่ร้องอย่างยินดีกันมาอย่างรัว ๆ

“ดูสิ ดูความยิ่งใหญ่ของท่านนักบุญ”

“ความเย็นแห่งซิลฟรอเทียยังไม่อาจส่งผลอันใดต่อท่าน เช่นนั้นจอมปีศาจก็ไม่มีวันสู้ท่านนักบุญได้”

“ท่านออโรร่า!!!”

ใจร่ม ๆ ไว้ก่อน นี่มันเวทฮีตเตอร์เรืองแสงเองนะพวกนาย มันแค่ตรงกับเงื่อนไขเท่านั้น แต่ถ้าเจอพลังระเบิดภูเขา เผากระท่อมของจอมปีศาจ แม้จะไม่หนาวตายก็เจอก้อนน้ำแข็งทับหัวแตกได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นช่วยใจร่ม ๆ กันไว้ก่อน

เมื่อเดินมาถึงตัวดาบ แสงสว่างจากผมที่ส่องออกมาก็ทำให้ใบดาบที่ใสกระจ่างเหมือนน้ำแข็งในยามฤดูหนาวสะท้อนกลับออกมาจนฉากออกมาดูศักดิ์สิทธิ์เกินบรรยาย ยิ่งเรียกเสียงเชียร์จากด้านหลังมาไม่ขาดสาย

“ดูสิ ดาบกำลังตอบรับท่านออโรร่า”

“นี่ล่ะความหวังของพวกเรา”

ไปหมดแล้ว สมงสมอง

ผมได้แต่ถอนหายใจแล้วเพ่งสมาธิของตัวเองกับเจ้าดาบตรงหน้า แน่นอนว่าผมไม่รู้สึกผิดปกติอะไรจากมันจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

พอตรวจสอบได้ไหมราส

‘ขอใช้เวลาสักครู่ ระหว่างนี้เจ้าลองใช้ปาฏิหาริย์ดูอีกที’

เข้าใจแล้ว

ผมนั่งคุกเข่าลง ก่อนจะเริ่มทำการเอื้อนเอ่ยคำร่ายออกมาโดยในใจก็อธิษฐานขอให้มันแสดงถึงความจริงที่ถูกปิดอยู่ข้างใน

“ตัวข้าคือผู้รับใช้ของตัวตนอันสูงเหนือใคร ความจริงทั้งหมดล้วนอยู่ใต้พระองค์ เช่นนั้นขอความจริงเหล่านั้นจงประจักษ์ให้แก่ข้าผู้นี้ด้วยเถิด”

สิ้นคำพูดของผม แสงสว่างก็เกิดประกายเจิดจ้าจากใบดาบ ครั้งนี้มันไม่ได้มาจากการสะท้อนแสงแต่มาจากตัวของดาบเอง โดยแสงสว่างสีฟ้าอ่อน ๆ ของมันที่เกิดประกายออกมาได้สาดส่องไปทั่วห้องพร้อมกับนิมิตบางอย่างที่มันแสดงให้เห็น

ภาพของบาเรียที่เกิดรอยร้าวอย่างหนัก พร้อมทั้งพลังสีดำมืดที่พุ่งถาโถมเข้ามาทำลายบาเรียจากทางเหนือ ไม่ใช่แค่นั้น วิญญาณร้ายอันเปี่ยมล้นด้วยความแค้นมากมายได้ไหลทะลักพยายามเข้ามาในเมือง

ทุกครั้งที่พวกมันเข้ามา ประกายแสงสีฟ้าจากดาบเล่มนี้ก็พุ่งเข้าหาเหล่าวิญญาณร้าย มันพยายามอย่างหนักเพื่อจะหยุดยั้งวิญญาณร้ายที่ว่า ทว่าจำนวนของพวกมันมากเกินไป และพลังของดาบเล่มนี้ที่ถดถอย จึงมีวิญญาณร้ายที่ยังคงหลุดรอดเข้ามาได้

….

เรื่องจริงเหรอเนี่ย…

หลังได้รับรู้ถึงความจริงที่ว่า ความมโนของเหล่าขุนนางทั้งหลายกลับกลายเป็นเรื่องจริง นั่นทำเอาผมรู้สึกถึงเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ไหลออกมาจากหน้าของตัวเอง แม้อากาศมันจะเย็นแต่ใจนี้กลับร้อนรุ่มเสียเหลือเกิน

‘อาคมยังพอมียัยหนู แต่มันช่าง….’

เลือนรางมากสินะ

‘เจ้าเองก็ตรวจจับได้เหมือนกันสินะ งานนี้ไม่ดีแล้ว’

อืม ไม่ดีสุด ๆ เลยล่ะ

ช่วยข้าด้วย… พาข้าไปหานายแห่งข้า….

เสียง? ราสเมื่อครู่นายว่าอะไรเหรอเปล่านะ?

‘หือ ข้าบอกว่างานนี้ไม่ดีแล้ว’

ไม่ใช่ ที่ผมหมายถึงคือ…

นายแห่งข้า ผู้มีพันธะแห่งเหมันต์ นักบุญผู้ถูกเลือกกำลังอยู่ไม่ไกล

เสียงนั่นมันทำให้ผมตระหนักได้ว่าที่พูดอยู่นั้นไม่ใช่ราส แต่เป็นอีกคน เป็นอีกตัวตน คือตัวตนที่อยู่ข้างหน้าผม

ดาบน้ำแข็งทอแสงเรื่อย ๆ ราวกับมันอยากจะพยายามสื่อสารกับผม พยายามจะบอกประสงค์ของตัวมัน

นายของเจ้างั้นเหรอซิลฟอร์เทีย ใครกัน ใครกันคือนายของนาย

ผมรีบถามมันหนัก ๆ แต่ก็นึกถึงคำมันได้ว่ามันกล่าวถึงนายของมันที่เป็นนักบุญ.. งานงอกแล้วไง แบบนี้อย่าบอกนะว่าผมจะได้ควงดาบจริงกับเขาน่ะ

นายของข้า.. นักบุญ นักบุญแห่งยุคสมัย… เดี๋ยว… ช่างแปลก

อะไรแปลก บอกมาสิ บอกมา!!!

ทำไมถึงมีตัวตนของนักบุญถึงสองตัวตน… มิควรเป็นเช่นนี้ มิควรเป็น…

ตัวตนสองตัวตน… มันบอกว่ามีนักบุญถึงสองคนงั้นเหรอ… บ้าน่า ตามหลักการแล้วนักบุญควรจะมีแค่คนเดียวตามตำนานที่ระบุไว้สิ

ไม่ เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าจำไม่ผิด พลังแห่งนักบุญของผมมันไม่ได้มาจากปาฏิหาริย์ของโลกที่เกิดขึ้น แต่เป็นการแทรกแซงของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วแปลว่ามีนักบุญโดยธรรมชาติ อยู่งั้นเหรอ

ถ้างั้นขอจัดเต็มเสียหน่อยแล้ว!!!

“จงแสดงตัวตนอันแท้จริง ภายใต้อำนาจแห่งเรา ผู้รับใช้อันเป็นหนึ่งแห่งพระผู้สร้างทุกสิ่ง จงแสดงถึงตัวตนที่เจ้าตามหา ซิลฟอร์เทีย!!”

สิ้นคำพูดของผม แสงสว่างสีฟ้าได้เรืองรองเจิดจ้าจากใบดาบแห่งเหมันต์แดนเหนือ แม้จะเจิดจ้าทว่ากลับมิแสบตา มันช่างอบอุ่นราวกับได้อาบแสงอันศักดิ์สิทธิ์จนแม้ความหนาวเย็นใดก็มิอาจจะพานพบ

ถัดจากนั้น ความรู้สึกอบอุ่นได้จางหาย มันถูกแทนที่ด้วยความหนาวเย็น ความหนาวเย็นที่ไม่ได้ทำร้ายผู้สัมผัสแต่มันเย็นเข้าไปถึงจิตใจ ความเย็นอันแสนสงบ

แสงสว่างสีฟ้าได้เจิดจ้ารอบ ๆ ตัวของผม มันพวยพุ่งขึ้นมาจากทั่วร่างกาย แสงอันศักดิ์สิทธิ์ของดาบในตำนาน

“นี่มันเรื่องอะไรกันคะอัล… อัลกำลังทำอะไรน่ะ”

ผมหันไปตามเสียงของซิลวี่ที่ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ และเสียงของเหล่าขุนนางที่ต่างพูดกันดังอื้ออึงจนฟังความแทบไม่ออก

ที่ตรงนั้นเองที่ผมได้เห็น ร่างของเด็กสาวผมสีทองอันแสนคุ้นเคยที่บัดนี้ร่างกายของเธอกำลังมีแสงเรืองรองออกจากร่างไม่ต่างจากร่างของผม และขณะเดียวกัน ดวงตาสีฟ้าของเธอก็ทอประกายออกมาอย่างสวยงดงามราวกับอัญมณีล้ำค่า

…..

โอเค ยินดีด้วย ซิลวี่ ขออนุญาตโยนภาระให้เลยแล้วกัน

เห็นไหม ใครบอกตอนนี้กาว เนี่ย เข้าบทจริงจังแล้ว