ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนที่เปิดเผยความรักที่คลุมเครือของนางกับหลินซือเย่าแล้ว การเตรียมงานแต่งและขึ้นบ้านใหม่ก็ดำเนินมาได้สองวันแล้ว
โชคดีที่นางแอบเย็บชุดแต่งงานของทั้งสองคนและผ้าคลุมหน้าเอาไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ทัน ซูสุ่ยเลี่ยนไม่รู้ว่าหลินซือเย่ารู้นานแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่ที่นางซื้อผ้าแพรต่วนสีแดงมาวันนั้น เขาก็รู้แล้วเพียงแต่กลัวว่านางจะอาย จึงไม่ได้เอ่ยออกมาให้รู้เท่านั้น
สองวันนี้ซูสุ่ยเลี่ยนไปเดินหาซื้อผ้าที่ร้านผ้าอีกรอบ เลือกเอาผ้าไหม ผ้าต่วนเงางามสีมงคลสองสามชิ้น เร่งทำเป็นผ้าห่มมงคลปักลายนกเป็ดน้ำเล่นน้ำ กับลายดอกโบตั๋นติดก้านใบแสดงถึงคู่สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง ยังมีปลอกหมอนและผ้าคลุมปลอกหมอนสำหรับสองคนที่ปักลวดลายและสีเดียวกันคู่หนึ่ง แล้วตัดชุดใหม่เป็นผ้าดิ้นทองสีม่วงระยิบสำหรับทั้งสองคนสวมหลังแต่งงานอีกคนละหนึ่งชุด
ยังหาเวลาว่างไปเดินร้านฝ้าย สั่งผ้าห่มและเบาะนอนทั้งแบบบางและหนาอย่างละชุด ส่วนเสื้อผ้าสำหรับไว้ใส่หน้าหนาว ซูสุ่ยเลี่ยนสั่งตัดแค่ชุดบุนวมตัวในสองชุดสำหรับสองคน ส่วนตัวนอกนางจะเป็นคนลงมือเย็บและปักลายเอง
แม้หลายวันนี้จัดการบ้านใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนกลางคืนเขาและนางยังต้องกลับไปนอนโรงเตี๊ยมเหมือนเดิม เช้าวันรุ่งขึ้นค่อยไปปัดกวาด พวกเขาคิดจะเลือกวันดีย้ายเข้าบ้านใหม่ ในเมื่อตอนนี้ตั้งใจจะย้ายพร้อมจัดงานแต่งงาน ก็ย่อมต้องให้ความสำคัญในการเลือกวันมงคล
ดังนั้นช่วงก่อนหน้านี้ลูกหมาป่าสองตัวจึงไม่ได้ตามมาด้วย เพราะบ้านของพวกมันที่หลินซือเย่าให้เฝิงเหล่าลิ่วสร้างนั้นเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อวาน วางไว้ทางทิศใต้ของต้นอิงเถาหลังบ้าน
เถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมรู้ว่าทั้งสองจะแต่งงานและย้ายเข้าบ้านใหม่พร้อมกันในวันสองวันนี้ ยังกำชับให้เชิญนางและลูกสองคนไปร่วมดื่มสุรามงคลที่บ้านด้วย
ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งจะคิดได้ว่าควรต้องจัดงานเลี้ยงดื่มสุรามงคล
เดิมคิดว่าสองคนไม่มีญาติที่นี่ ไม่จัดงานเลี้ยงก็ไม่เป็นไร ดังนั้นจึงคิดว่าก็แค่ลงครัวผัดอาหารสองจาน อุ่นสุรามาอีกกาก็พอแล้ว แต่ตอนนี้ป้าเหลากำลังชวนเถ้าแก่เนี้ยให้มาดื่มสุรามงคล ไม่ใช่ว่าต้องวางแผนจัดงานหรือ
ดังนั้นหลินซือเย่าจึงไปตามเฝิงเหล่าลิ่วมาช่วย ตั้งแต่เฝิงเหล่าลิ่วรับงานไปสองครั้ง ได้ไม้ไปเปล่าๆ ไม่น้อย ก็รู้สึกขอบคุณหลินซือเย่ามาก พอได้ยินว่าจะให้ไปช่วยงานแต่ง เขาไม่พูดสักคำก็รีบมาช่วยงานทันที
……
วันที่เจ็ดเดือนแปด อากาศแจ่มใส
ซูสุ่ยเลี่ยนใช้ด้ายแดงฟั่นเป็นพู่เชือกหนาขนาดเท่าๆ กันผูกไว้กับเครื่องเรือนทุกชิ้น แม้แต่เก้าอี้ก็ไม่เว้น ยังเรียนรู้การแปะกระดาษอักษรมงคลบนหน้าต่างและประตูทุกบานมาจากป้าเหลาอีกด้วย
ส่วนหลินซือเย่าก็ไปเดินวนรอบลานบ้านอีกครั้งเพื่อตรวจดูให้ละเอียดว่าในลานบ้านยังมีอะไรที่ยังเตรียมไม่เรียบร้อยอีกบ้างไหม เพิ่งจะเดินกลับมาจากต้นอิงเถา ก็เห็นป้าเหลาพาบรรดาป้าๆ มาอีกห้าหกคน หัวเราะคุยกันสนุกสนานเดินมาตามทาง ไม่นานพวกนางก็มาเคาะประตูบ้าน
“คุณชายหลิน นางหนูซูไม่อยู่หรือ”
ป้าเหลาเห็นว่าคนเปิดประตูก็คือหลินซือเย่า ก็มองเข้าไปด้านในพลางถามด้วยท่าทีเกร็งไม่น้อย
หลินซือเย่าพยักหน้า หลีกทางให้พวกนางเข้ามา “อยู่ข้างใน”
ป้าเหลาส่งสัญญาณให้ป้าๆ ด้านหลังตามเข้าไป พวกป้าทั้งหลายพอเผชิญหน้ากับหลินซือเย่าที่มีท่าทางเย็นชาก็อดรู้สึกเกร็งขึ้นมาไม่ได้ จึงต่างผลักกันไปมาก่อนจะเดินเข้าประตูไป
พอเข้าไป ภาพเบื้องหน้าที่เห็นเป็นบ้านที่จัดได้ลงตัวประณีตงดงามต่างจากบ้านของตน บรรดาป้าทั้งหลายต่างส่งเสียงชื่นชม คุยจ้อกแจ้กกันจนลืมไปว่าด้านหลังพวกนางยังมีหลินซือเย่าเดินตามมา
กลุ่มป้าๆ ส่งเสียงคุยกันดังเดินเข้ามาถึงห้องโถง ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากห้องนอน เจอบรรดาป้าทั้งหลายแย่งกันชมไม่หยุด
“นางหนู บ้านเจ้าตกแต่งได้ดีจริง”
“ใช่ คิดไม่ถึงเลยว่าฝีมือแม่นางซูจะเยี่ยมยอดเยี่ยมเช่นนี้! ดูนกเป็ดน้ำเล่นน้ำนี่สิ ดูราวกับมีชีวิตขนาดไหน!”
“นั่นไว้ก่อนเถอะ เจ้ามาดูผ้าม่านนี่สิ บ้านข้าก็ใช้ผ้าฝ้ายทำม่าน แต่พอผ่านมือแม่นาง ทำไมเปลี่ยนไปเลย”
“ข้าว่าผ้าม่านม้วนนี้ก็ไม่เลว นางหนู ครั้งหน้าสอนข้าบ้างว่าทำอย่างไร ข้าจะได้เอาไปอวดตาแก่ที่บ้าน”
“จุ๊ๆ พวกเจ้าเห็นไหม พอเข้ามา ให้ความรู้สึกเหมือนเมืองฝานฮัวที่ไหน เหมือนบ้านตระกูลใหญ่ในเมืองชัดๆ”
……
ซูสุ่ยเลี่ยนถูกพวกนางชมจนหน้าแดง นางเรียกทุกคนเข้าไปนั่งพลางคิดจะเข้าไปในครัวต้มน้ำร้อนมาชงชา กำลังจะเข้าครัวก็เห็นหลินซือเย่ายกกาน้ำชากระเบื้องเคลือบขาวลายครามเข้ามา อีกมือยังถือจอกชาหูเดี่ยวเข้ามาพวงหนึ่ง
“คุณชายช่างใส่ใจจริงๆ กลัวแม่นางเหนื่อย ฮิฮิ…” ป้าคนหนึ่งในนั้นเห็นดังนี้หัวเราะสัพยอก
“เจ้าอย่าว่าไป คุณชายหลินมีความสามารถจริงนะ! นางหนูมีวาสนาแท้!” ป้าเหลาได้ยินป้าคนนั้นสัพยอกซูสุ่ยเลี่ยนก็หัวเราะชื่นชมตบท้ายตามมาอีกประโยค
ซูสุ่ยเลี่ยนอดมองไปทางหลินซือเย่าที่เดินออกมาจากห้องนอนไม่ได้ ตอนหันกลับไปมองเขาก็สบเข้ากับแววตาอ่อนโยนอบอุ่นของเขาพอดี
ป้าโจวแอบหัวเราะสะกิดป้าเหลา ป้าที่เหลือก็พากันแอบหัวเราะคิกคักตาม ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนอายจนหน้าแดงจากใบหูลามไปถึงลำคอ
หลินซือเย่าเห็นเข้าก็ยิ้มมุมปากก่อนจะเดินออกจากห้องไปสำรวจรอบๆ ต่อ
“เอาละ ไม่เหลวไหลละ เจ้าพวกหน้าหนานี่นะ ไม่เห็นหรือว่านางหนูนี่อายหน้าแดงไปหมดแล้ว” ป้าเหลาเห็นหลินซือเย่าออกไปก็คิดจะคุยเรื่องจริงจัง โบกมือให้พวกที่เหลือหยุดหยอกล้อ
“ใช่แล้ว นางหนู วันนี้พวกเรามากันที่นี่ คือว่าอย่างนี้นะ นางหนูจะแต่งงานก็ต้องมีของขวัญออกเรือน โบราณว่าเป็นมงคล ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีผู้ใหญ่ หลายวันนี้ข้าลองคิดดู หรือว่าให้พวกเรารวมกันมอบของขวัญเป็นเหมือนสินเดิมออกเรือนให้เจ้า เจ้าว่าดีไหม” ป้าเหลาตบหลังมือซูสุ่ยเลี่ยนเบาๆ พลางยิ้มเสนอ
ในหมู่ชาวบ้านหากลูกสาวออกเรือน อาจมีสินเดิมติดตัวไปด้วยไม่มาก แต่บรรดาเพื่อนบ้านช่วยกันเพิ่มเติมให้อีกส่วนได้ แม้ไม่ได้สูงค่าอะไร แต่แฝงความมงคลว่า เสริมวาสนามงคล
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ฟังก็เริ่มคิดว่ามีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย ได้แต่พยักหน้าเห็นชอบตาม “อย่างนั้นรบกวนป้าเหลาช่วยจัดการแทนข้าด้วย ต้องรบกวนท่านป้าทั้งหลายแล้ว”
“ที่ไหนกัน พวกเราน่ะล้วนเหมือนอาซ้อเหลาแหละ ที่บ้านก็มีลูกสาว ครั้งหน้าลูกสาวออกเรือน แม่นางก็มอบของขวัญเพิ่มเติมให้ก็พอ ฮาๆ…” นางเถียนที่มีนิสัยไม่อ้อมค้อมอธิบายตอบซูสุ่ยเลี่ยน แสดงให้เห็นว่านางไม่ต้องเก็บมาคิดมาก
พวกนางได้ยินป้าเหลาเสนอว่าจะเพิ่มของขวัญแต่งงานให้ ในใจแต่ละคนก็เริ่มคิดคำนวณขึ้นมาทันที ดูซูสุ่ยเลี่ยนฐานะดีกว่าพวกตนมาก ครั้งหน้าลูกสาวพวกตนออกเรือน ไม่พูดถึงว่าที่ช่วยเป็นค่าของขวัญออกไปจะได้คืนมาเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจได้ก้อนโตกว่ากลับคืนมาอีก ดังนั้นพอป้าเหลาเสนอขึ้น บรรดาป้าอีกห้าคนก็ไม่มีผู้ใดไม่ยินยอมทำตาม
“ยินดีๆ” ซูสุ่ยเลี่ยนอมยิ้มพยักหน้ารับคำ ไม่พูดเรื่องอื่นต่อ เอาแค่พวกนางมีน้ำใจ ครั้งหน้าคืนกลับไปก็ควรต้องให้มากสักหน่อย
“ตกลง พวกเรากลับไปเตรียมตัวกันสักหน่อย ตอนบ่ายค่อยเอามาให้นางหนูเสริมมงคล!” ป้าเหลาเห็นซูสุ่ยเลี่ยนรับคำอย่างเบิกบาน ก็บอกให้บรรดาป้าทั้งหลายกลับไปเตรียมของขวัญแต่งงานให้นาง
“โอย อาซ้อเหลาจะรีบไปไหน! พวกเราขอไปเดินดูรอบๆ บ้านแม่นางก่อน ไว้จะได้เอาไปยั่วนางฮัว” นางเถียนกล่าวกับป้าเหลา หันไปยิ้มให้ซูสุ่ยเลี่ยนกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้อะไร นางฮัวน่ารังเกียจจริงๆ พอรู้ว่าเจ้าซื้อบ้านเก่าผู้ใหญ่บ้านไป เจอใครก็ซุบซิบว่า ‘บ้านนั่นอยู่ได้ที่ไหน ซื้อบ้านผุพังไปไม่สู้เช่าเรือนข้างในบ้านนข้าอยู่คุ้มกว่าอีก สิบห้าตำลึง จุ๊ๆ ซื้อบ้านผุพังไป ไม่รู้จักใช้ชีวิตจริงๆ’ ” นางเถียนถ่ายทอดวาจานางฮัวที่ประกาศไปทั่วด้วยเสียงดังฟังชัด
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่สนใจเท่าไร ดูท่าเรื่องซื้อบ้านนี่จะทำให้นางกลายเป็นคู่กรณีกับนางฮัวไปเสียแล้ว แต่ปัญหาคือคนที่ฉีกสัญญา เห็นกันอยู่ว่าไม่ใช่นาง แต่ข่าวแพร่ออกไป คนไม่รู้ยังคิดว่านางเป็นคนไปทำให้ตระกูลฮัวไม่พอใจ
ใช่แล้ว ย่อมต้องไม่พอใจ เงินสี่สิบตำลึงหายวับไป เสียหน้าอีก นางฮัวและสะใภ้ฮัวสองคนก็ย่อมติดค้างในใจ พอตอนนี้มารู้ว่าซูสุ่ยเลี่ยนถึงกับตกแต่งบ้านเก่าทรุดโทรมใกล้พังจนเป็นบ้านใหม่สะอาดสะอ้านงามตา จัดแต่งได้อย่างหรูหราไม่น้อย ตนเองก็ย่อมไม่อาจเชิดหน้ากล่าวเช่นนั้นต่อไปได้
……
ยามเซิน[1]ตอนบ่าย ป้าเหลากับป้าๆ ที่มีลูกสาวใกล้ถึงเวลาออกเรือนอีกห้าครอบครัวก็มาถึงบ้านซูสุ่ยเลี่ยนตรงตามนัด
อ้อ ลืมบอกไป ตอนแรกหลินซือเย่าสั่งให้เฝิงเหล่าลิ่วทำป้ายชื่อบ้าน ใช้อักษรจีนมาตรฐานแกะเป็นคำว่า ‘ตระกูลซู’ แขวนไว้เหนือประตูหน้า แต่กลับถูกซูสุ่ยเลี่ยนปลดลง บอกว่าอย่างไรก็ต้องแขวนว่า ‘ตระกูลหลิน’ ปรากฏเลยไม่ได้แขวนอะไรทั้งนั้น
ป้าทั้งหกยังตั้งใจเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใหม่ แต่ละคนมีห่อผ้าใหญ่น้อยคล้องไว้ที่แขน
ป้าเหลาให้หลินซือเย่าเอากะละมังล้างหน้าใบใหม่มาวางไว้บนโต๊ะกลมในห้องนอน
ทั้งหกกล่าววาจาอวยพรมงคลไปพลางหยิบเอาของขวัญออกมาจากห่อผ้าไปพลาง
“นางหนู เจ้าอย่าหัวเราะข้านะ ป้าเหลาให้ธรรมดาไปสักหน่อย แต่วันหน้าต้องได้ใช้” ป้าเหลาพูดพลางหยิบเอาตาชั่งที่มีจานชั่งออกมาจากห่อผ้า เป็นงานจากเหล็กฝีมือประณีตชิ้นกะทัดรัด น่าจะเป็นฝีมือลูกชายที่เป็นช่างตีเหล็กของนางตีเอง
“ใช่ๆ พวกเรามอบก็ถือเอามงคลเป็นหลัก” นางเถียนเป็นคนมอบคนที่สอง มอบหวีไม้หอมที่เถียนต้าฟู่ทำเอง เป็นหวีหกอันที่มีขนาดไม่เท่ากัน ความห่างซี่หวีก็ต่างกัน วางอยู่ในกล่องไม้หอมเช่นกัน ดูดีไม่น้อย ซูสุ่ยเลี่ยนขอบคุณอย่างดีใจ
“ข้ามองออก นางหนูชอบของชิ้นเล็กๆ น่ารัก สำหรับพวกเราแล้ว ของพวกนี้พวกเราย่อมไม่เข้าตา” ป้าเหลาเห็นดังนี้ก็อดสัพยอกไม่ได้ พูดจนซูสุ่ยเลี่ยนเขินขึ้นมาจริงๆ
หลินซือเย่าได้ยิน แววตาก็เต็มไปด้วยความขบขำ ใช่สิ นึกถึงตะเกียบและช้อนไม้ที่นางเพลิดเพลินกับการแกะสลักไว้ใช้เองคนเดียวในป่าตอนนั้นขึ้นมา
“ข้าน่ะ ตั้งใจจะมอบถุงผ้าใส่เงินปักด้วยมือข้าเองนี้ให้เจ้า แต่ดูงานปักของแม่นางเองแล้ว ก็รู้สึกอายที่จะเอาออกมาให้แล้ว” นางเหอเดิมเป็นช่างปักที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในเมืองฝานฮัว แต่พอได้เห็นงานปักผ้าห่มและปลอกหมอนของซูสุ่ยเลี่ยนก็รู้สึกว่าต่างชั้นกันมาก กลับบ้านไปก็นึกลังเลว่าจะมอบถุงผ้าใส่เงินให้ดีไหม เพียงแต่ในบ้านตนนอกจากถุงผ้าใส่เงินนี่แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้อีกแล้ว
ซูสุ่ยเลี่ยนรู้จักพวกนางจากการแนะนำของป้าเหลา ย่อมรู้ว่าพวกนางก็คือบรรดาสตรีที่มีฝีมือปักผ้าในเมืองฝานฮัว
“ป้าเหอ อย่าได้กล่าวเช่นนี้ ข้าชอบถุงผ้าใส่เงินนี้ ของเดิมก็เก่ามากแล้ว พรุ่งนี้จะได้ใช้ใบนี้ที่ท่านมอบให้พอดี” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มรับถุงผ้าใส่เงินที่ปักเป็นกิ่งไม้เขียวหยกมรกตเกาะเกี่ยวให้ความหมายถึงคู่สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง ขอบคุณป้าเหอที่มอบของขวัญให้ท่าทางจริงใจ
“แม่นาง บ้านข้าไม่มีช่างฝีมืออะไร ก็ขอมอบสิ่งนี้ละกัน อย่าได้รังเกียจ” คนที่พูดก็คือป้าฟางที่บ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านซูสุ่ยเลี่ยน ทุกคนในครอบครัวนางล้วนทำนาเพาะปลูก ดังนั้นของที่มอบให้ได้ก็เป็นเมล็ดพันธุ์เม็ดอวบห่อใหญ่ ในนั้นมีเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่ปลูกในพื้นที่นี้หลายห่อ มีทั้งพวกถั่ว พวกข้าว พวกแตง พวกผักเป็นต้น ทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนดีใจจนขอบคุณไม่หยุด ของพวกนี้เป็นของที่พวกเขาไม่ได้เตรียมไว้ก่อนจริงๆ หลังเก็บเกี่ยวที่นาสองหมู่ก็จะตกเป็นพื้นที่ของตน นางต้องการเมล็ดพันธุ์จริงๆ
ส่วนนางวังกับนางสุ่ยมอบเครื่องประดับ คนหนึ่งเป็นปิ่นไม้จันทน์แกะสลักฝีมือประณีต อีกคนเป็นต่างหูมุกงามคู่หนึ่ง
ซูสุ่ยเลี่ยนดีใจจนกล่าวขอบคุณไม่หยุด แต่ไรมานางก็ชอบเครื่องประดับเรียบง่าย เครื่องประดับสะดุดตาหลายชิ้นในห่อผ้านั่นถูกนางโยนลงหีบอย่างไม่ต้องคิดเลยแม้แต่น้อย ที่สวมอยู่ทุกวันนี้เป็นพวกเครื่องหยกเรียบง่ายที่หลินซือเย่ามอบให้นางตอนเทศกาลชีซี
“ดูๆ นางหนูนี่ เห็นอะไรก็ว่าดีไปหมด” ป้าเหลาเห็นดังนี้ก็สัพยอกนาง ทำเอาทุกคนหัวเราะกันหน้าบาน
—————-
[1] การบอกเวลาแบบจีนจะบอกเป็น 12 ยามดังนี้ ยามจื่อคือ 23.00 – 24.59 น. ยามโฉ่วคือ 01.00 – 02.59 น. ยามอิ๋นคือ 03.00 – 04.59 น. ยามเหม่า คือ 05.00 – 06.59 น. ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ยามซื่อ คือ 09.00 – 10.59 น. ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น. ยามเว่ย คือ 13.00 – 14.59 น. ยามเซิน คือ 15.00 – 16.59 น. ยามโหย่ว คือ 17.00 – 18.59 น. ยามซวี คือ 19.00 – 20.59 น. และยามไฮ่ คือ 21.00 – 22.59 น.