จู่ ๆ เฉินผิงอันก็เริ่มคิดได้ว่าคนในหมู่บ้านกล่าวถูกต้องทั้งหมด เฉินเฉิงเยี่ยไม่ใช่ลูกชายแท้ ๆ แต่เขากลับเลี้ยงดูอีกฝ่ายอย่างดี ชายหนุ่มผู้นี้ทั้งเย่อหยิ่ง ทะนงตนและเห็นแก่ตัวยิ่ง!
แต่ลูกชายคนเล็ก… เฉินเฉินเป็นลูกชายของเขาแท้ ๆ!
หากในอนาคตเขาส่งเด็กชายคนนี้เข้าโรงเรียน แล้วเฉินเฉินจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้หรือไม่? แล้วถ้าหากเด็กชายได้ดีแล้วจะปฏิเสธที่จะเลี้ยงดูพ่อแท้ ๆ ของตนหรือเปล่า…
ขณะที่เฉินผิงอันใช้ผ้าเช็ดเท้า เขากล่าวคำออกอย่างเรียบง่าย “ชวนฮวา… ตอนนี้เฉินเอ๋ออายุเจ็ดขวบแล้ว ตอนนี้มีแค่เฉิงเยี่ยที่อ่านหนังสือออก ข้าจึงอยากส่งเฉินเอ๋อไปเรียนหนังสือด้วย!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้หลินชวนฮวาตกตะลึง นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉิงผิงอันจะมีความคิดเช่นนี้
นางจึงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “สามี… การเล่าเรียนต้องใช้เงินมากโข เงินที่มีทั้งหมดเราลงทุนซื้อที่ดินไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ครอบครัวเราจะสามารถดูแลนักปราชญ์พร้อมกันสองคนได้!”
เฉิงผิงอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “เฉิงเยี่ยไม่ใช่ลูกในไส้ของข้า แต่ข้าก็ยังส่งเขาไปเรียนได้ แล้วข้าต้องอดทนเพื่อให้บุตรชายของข้าอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อย่างนั้นหรือ? นอกจากนี้แม่นางหยุนยังทิ้งทรัพย์สินต่าง ๆ ไว้มากมาย แม้เราจะใช้บางส่วนซื้อที่ดินไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกมาก! ข้าคิดว่าจะเอาทรัพย์สมบัติพวกนั้นไปแลกกับเงินเพื่อส่งเสียให้เฉินเอ๋อเล่าเรียน…”
ในตอนนี้เองที่หลินชวนฮวาเริ่มไม่พอใจ
ในหัวนางคิดอยู่อย่างเดียวคือ… ห้ามให้เฉินผิงอันรู้ว่าปิ่นปักผมอันนั้นอยู่ที่ไหน!
หากว่าต้องส่งเด็กชายคนนั้นไปเรียนหนังสือ ก็ย่อมต้องคืนปิ่นปักผมให้เขา… เช่นนั้นแล้วนางจะไปหาปิ่นปักผมที่ล้ำค่าเช่นนี้ได้จากที่ใดอีกเล่า?
หลินชวนฮวาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโศกเศร้า นางจับแขนของเฉินผิงอันอย่างแผ่วเบาพร้อมกล่าวต่อ “สามี… แต่ท่านมอบปิ่นปักผมนั้นให้ข้าแล้วมิใช่หรือ?”
เฉิงผิงอันกุมมือนางไว้แน่นก่อนจะกล่าวปลอบ “นั่นคือของขวัญที่ดีที่สุดซึ่งข้ามอบมันให้เจ้า แต่เฉินเอ๋อคือลูกชายของเรา ข้าอยากให้เขามีอนาคตที่สดใด… ส่วนเจ้ายังสามารถหาปิ่นปักผมอันใหม่ได้”
หลินชวนฮวาเย้ยหยันอยู่ในใจ ‘ข้าก็เป็นคนโง่เขลาเช่นเจ้า แล้วเราจะสามารถให้กำเนิดบุตรชายที่เฉลียวฉลาดได้อย่างไร?’
นอกจากนี้ แม้ว่าเด็กชายจะฉลาดปราดเปรื่อง แต่ด้วยนิสัยขี้ขลาดตาขาวเช่นนั้น… ความฉลาดจะมีประโยชน์อะไรเล่า?
เขาไม่มีวันกลายเป็นนักปราชญ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างเฉิงเยี่ยได้!
ประการแรก… การบ้านของเฉิงเยี่ยได้รับการชื่นชมจากอาจารย์ อีกทั้งพ่อของเขาไม่ใช่ชายบ้านนอกเช่นเฉิงผิงอัน!
นอกจากนี้นางก็อายุไม่น้อยแล้ว กว่าเฉินเอ๋อจะมีอนาคตสดใสคงใช้เวลาหลายปี นางจึงไม่ต้องการที่จะทำงานหนักยาวนานขนาดนั้น
แต่เฉิงผิงอันตัดสินใจแล้ว ดังนั้นเฉิงเยี่ยคงจะมีทางออกว่าควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี
‘เฉิงเยี่ยฉลาดหลักแหลมยิ่ง เขาต้องหาทางออกให้ข้าได้แน่!’
หลินชวนฮวาคิดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ
ในความคิดของเฉินผิงอันแล้ว หลินชวนฮวาเป็นหญิงอ่อนโยนและอ่อนแอ นางปฏิบัติกับสามีราวกับเทวดา… เช่นนี้จึงทำให้เขารู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์อย่างแท้จริง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ขัดขืนอะไรนัก จึงคิดว่าทุกสิ่งคงราบรื่น
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วเฉินผิงอันจึงผล็อยหลับไป…
หลังจากเสียงกรนดังขึ้น หลินชวนฮวาจึงแน่ใจว่าเขาหลับสนิทแล้ว นางจึงย่องออกจากห้องและเข้าไปในห้องของเฉิงเยี่ย!
“เฉิงเยี่ยอย่าเพิ่งนอน แม่มีเรื่องต้องคุยกับเจ้าเดี๋ยวนี้”
เฉินเฉิงเยี่ยลืมตาขึ้นด้วยความเกียจคร้าน เมื่อเห็นว่าเป็นแม่จึงตะคอกกลับด้วยความเกรี้ยวกราด “พรุ่งนี้ค่อยคุยไม่ได้หรือไร?”
แต่หลินชวนฮวารีบกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เป็นเรื่องสำคัญ… รอไม่ได้แล้ว!”
“ลูกรู้ไหมว่าวันนี้เฉินผิงอันกล่าวสิ่งใด… เขาบอกว่าจะส่งเด็กน้อยนั่นไปโรงเรียน เช่นนี้มันจะทำให้เจ้าต้องลำบากมากขึ้น นอกจากนี้เขายังต้องการปิ่นปักผมที่เมียเก่าทิ้งเอาไว้ด้วย ซึ่งมันไม่ได้อยู่กับแม่แล้ว… สถานการณ์ของครอบครัวไม่สามารถส่งเสียบุตรชายถึงสองคนได้ ดังนั้นเราต้องเอาความคิดบ้า ๆ นี้ออกจากหัวของเขาให้ได้!”
หลังจากที่เฉิงเยี่ยได้ยิน เขาลืมตาพร้อมกับลุกขึ้นนั่งด้วยความเร่งรีบ “ไอ้โง่นั่นคิดจะส่งลูกชายไปโรงเรียนงั้นหรือ? นี่เป็นฝีมือของนังผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นหรือไม่?”
แม้หลินชวนฮวาจะไม่เข้าใจว่าลูกชายกล่าวถึงใคร แต่นางก็คิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องกำจัดความคิดนั้นออกจากศีรษะของสามีโดยเร็วที่สุด
“เฉิงเยี่ยเป็นคนฉลาด ช่วยแม่คิดหาวิธีด้วยเถิด”
เฉิงเฉิงเยี่ยเผยสีหน้าไม่พอใจนักพร้อมกล่าวต่อ “เมื่อครู่แม่บอกว่าต้องมอบปิ่นปักผมให้เขาไปงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นแม่คงต้องไปอธิบายเรื่องนี้กับเฉิงผิงอันด้วยตัวเองแล้ว ไม่ต้องรอให้ข้าสามารถเป็นขุนนางได้หรอก เพราะข้าไม่ต้องการให้ใครพูดว่าข้ามีพ่อเป็นคนขี้คุก!”
“แต่เขาเป็นพ่อเจ้า! แม้ในอนาคตเจ้าจะไม่เลี้ยงดูเขาก็ย่อมได้ แต่ตอนนี้เขากำลังลำบาก เจ้าจะไม่ช่วยเขาได้อย่างไร?”
เฉินเฉิงเยี่ยผลักผู้เป็นแม่ออกอย่างรุนแรงก่อนจะตะหวาดกลับ “แม่ไปช่วยเขาเอง ตอนนี้เขาได้รับจากเราไปมากมายแล้วไม่ใช่หรือ? อีกทั้งข้าก็เปลี่ยนนามสกุลแล้ว ทั้งที่ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ… ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะแม่ไม่อยากเป็นหม้ายเท่านั้น!”
หลินชวนฮวากล่าวออกพร้อมน้ำตา “เหตุใดจึงคิดว่าข้าไม่อยากเป็นหม้าย? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าพ่อของเจ้าก่ออาชญากรรมร้ายแรง! ข้าจึงต้องยอมเป็นหม้ายเพื่อให้เจ้ามีอนาคตที่สดใส หากไม่ทำเช่นนี้เจ้าจะได้เรียนหนังสืองั้นหรือ? เราควรขอบคุณไอ้โง่เฉินผิงอันที่เชื่อถือคำโกหกเหล่านั้นด้วยซ้ำ!”
“หากแม่คิดทำเพื่อข้าจริง เหตุใดจึงไม่อดทนให้ตลอดรอดฝั่งเล่า? ให้ข้าเดา… เมื่อสามวันก่อนแม่ไปหามันมาใช่หรือไม่? หากทำเพื่อข้าจริงโปรดตัดขาดกับเขาเสีย!”
“วันข้างหน้าข้าจะไม่เพียงถูกตราหน้าว่ามีพ่อขี้คุก แต่ยังมีแม่เป็นหญิงที่แหกประเพณีตามวิถีของสตรี! แม่คิดถึงข้าบ้างหรือไม่? เอาล่ะสำหรับเฉินเอ๋อ แม่จงบอกกล่าวกับเขาว่าไม่ต้องเสียเงินมากมายหรอก ข้าจะสอนหนังสือเขาเอง!”
แต่หลินชวนฮวาโต้เถียงอย่างไม่พอใจ “จะให้เด็กนั่นถ่วงเวลาเจ้าได้อย่างไร? เวลาของเจ้ามีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเพราะมัน!”
“ข้ารู้ว่ามีเวลาไม่มาก แต่หลังจากสอนไปสักพักหนึ่ง… ข้าจะบอกกับเฉินผิงอันว่าเด็กคนนี้โง่เขลาและไม่สมควรที่จะเรียน เขาคงไม่อยากจะให้ข้าเสียเวลาเพื่อสอนเด็กหัวช้าหรอกมั้ง!?”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหลินชวนฮวาจึงรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“อ้อ! เดี๋ยวข้าจะทำปิ่นปักผมปลอมเพื่อทดแทนอันเก่า เจ้าโง่นั่นไม่มีทางดูออก! ความจะไม่แตกถ้าแม่ไม่เอามันไปขาย…”
เฉินเฉิงเยี่ยมองใบหน้าชั่วร้ายของผู้เป็นแม่ก่อนจะตะคอกอย่างรำคาญ “ข้าแก้ปัญหาให้แล้ว แม่ก็กลับออกไปสักที พรุ่งนี้ข้าไม่อยากจะตื่นมาพร้อมกับความวุ่นวายเดี๋ยวสมองจะไม่ปลอดโปร่ง ข้าต้องการพักผ่อน มีหนังสืออีกมากที่ข้าต้องอ่าน!”
หลินชวนฮวากล่าวออกอย่างห่วงใย “แน่นอนว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าจะหมกตัวอยู่ในห้องเช่นนี้คงไม่ดีนัก ออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกบ้างเถิดลูก…”