บทที่ 28 เติมน้ำให้เท่ากัน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 28 เติมน้ำให้เท่ากัน
บทที่ 28 เติมน้ำให้เท่ากัน

“ทำไมล่ะ? เธอไม่อยากเรียนหรือ?” ซูเหล่าซานถามอย่างกังวล

“ไม่ต้องรีบร้อนไป พรุ่งนี้ยังต้องไปในตัวอำเภออีก วันนี้ไม่เรียนก่อนแล้วกันเนอะ? งั้นนอนแต่หัวค่ำหน่อยเถอะ” เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของสามี เหลียงซิ่วก็หัวเราะ

แต่เธอรู้สึกแย่ต่อสามี รู้สึกแย่ที่พรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไกล ทั้งยังต้องแบกของไว้บนหลังอีก แล้วแบบนี้จะไม่อยากเรียนหนังสือได้อย่างไร?

ซูเหล่าซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าก็มีเหตุผลเช่นนี้อยู่

แม่ให้ตั๋วและเงินกับเขาแล้ว รวมทั้งตั๋วเนื้อตั๋วอะไรก็ตามแต่ที่มีอยู่

แค่เงินกับตั๋วพวกนั้นโดยไม่นับพัสดุ แถมพรุ่งนี้ก็ต้องซื้อของอีกเยอะกลับมาอีก ความกดดันสูงมาก

“ทำไมไม่ให้พี่ใหญ่กับพี่รองไปกับคุณด้วยเล่า การไปทำงานก็สำคัญนะ แต่มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากวันวันหนึ่งเลยนี่” เหลียงซิ่วพูดอีกประโยค เธอรู้สึกผิดต่อสามีนัก

“การที่คุณแม่ทำแบบนี้คงมีเหตุผลแน่” ตอนที่ซูเหล่าซานพูด ท่าทางของเขาดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย

คนอื่นไม่รับรู้ แต่ตัวเขารู้ดีอย่างชัดเจนว่าในมือของตนถือเงินและตั๋วไว้มากขนาดไหน

จังหวะที่แม่มอบมันให้กับเขาก็พูดย้ำ ๆ ว่า อย่าให้คนอื่นในครอบครัวรู้ว่าซื้ออะไรกลับมา และพูดแค่ว่าเป็นของที่ส่งมาให้

เห็นได้ว่าแม้แต่พี่ใหญ่และพี่รองเองก็ไม่รู้ว่าแม่มีอาหารและตั๋วอยู่ในมือเช่นกัน

แม่ยังเชื่อมั่นในตัวเขามากที่สุด ต่อให้ต้องใช้แรงอีกหน่อยก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ

“อีกอย่างนะ ถึงบางครั้งคุณแม่จะดูลำเอียงไปบ้าง แต่เรื่องแบบนี้ท่านยุติธรรมมาก” เหลียงซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

นอกจากพ่อสามีและแม่สามีจะโปรดปรานเถียนเถียนน้อยเป็นพิเศษแล้ว กับหลานชายคนอื่นก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมด้วย แม้แต่ลูกชายทั้งสามก็ยังตักน้ำในถ้วยให้เท่ากัน ซึ่งไม่เหมือนกับบางครอบครัวที่โปรดปรานลูกชายโต แต่บีบคั้นลูกชายคนอื่นอย่างเต็มที่

ด้วยเหตุนี้แล้ว ถึงพวกเขาจะโปรดปรานซูเสี่ยวเถียนกว่าเล็กน้อย แต่คนในครอบครัวก็ไม่คัดค้าน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะโวยวายไปตั้งนานแล้ว

อีกสองห้องเองก็กำลังพูดเรื่องที่จะไปในตัวอำเภอวันพรุ่งนี้เช่นกัน

หวังเซียงฮวาพูดกับคนในครอบครัว “ทำไมคุณแม่ถึงปล่อยให้น้องสามไปในตัวอำเภอด้วย คุณเป็นพี่ใหญ่นะ น่าจะเหมาะกว่าสิ”

ซูเหล่าต้าคลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มซื่อ ๆ “ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรมากมายหรอก บางทีอาจจะเป็นเพราะของคงเยอะ แล้วฉันแบกไม่ไหว เธอก็รู้นี่ว่าเหล่าซานแรงเยอะมาก!”

หวังเซียงฮวาก็คิดเช่นกัน น้องสามเป็นน้องชายคนสุดท้องซึ่งหนุ่มที่สุด และมีเรี่ยวแรงมากที่สุด ปกติแล้วงานที่ใช้แรงส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของน้องสาม

“ใช่ ฉันคิดว่าคนที่นึกถึงไมตรีจิตของคุณพ่อเมื่อก่อนและส่งของมาให้ คงไม่ส่งอะไรมามากนักหรอก” หวังเซียงฮวาพูดต่อ “แต่ถ้าส่งของดี ๆ มาให้จริง พวกลูก ๆ ก็จะได้กินดีด้วยนะ”

“ถึงคุณพ่อคุณแม่จะโปรดปรานน้องเถียน แต่เพราะบ้านเรามีเด็กผู้หญิงคนเดียวน่ะ เธออย่าคิดไปเป็นอย่างอื่นเลยนะ!” ซูเหล่าต้ารีบพูดทันที กลัวว่าสะใภ้ของบ้านจะมีความคิดอื่น

การที่คนเป็นแม่ที่ไม่รักลูกสาว แสดงว่าสถานการณ์ในบ้านหลังนั้นไม่ดีจริง ๆ

“ฉันไม่ใช่คนคิดหยุมหยิมเสียหน่อย คุณพ่อคุณแม่เป็นคนอย่างไรทำไมจะไม่รู้เล่า” หวังเซียงฮวาพูดอย่างไม่ใส่ใจ “คุณแม่โปรดปรานน้องเถียนที่เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวในตระกูล บางครั้งมองดูก็ยังรู้สึกหวงแหน บางครั้งยังคิดเลยว่าเหตุใดน้องเถียนถึงไม่ใช่ลูกสาวของครอบครัวเรานะ?”

หลังจากฟังคำพูดของภรรยาแล้ว ซูเหล่าต้าก็ยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้น พวกเรามาขยันหน่อยไหม เผื่อจะมีลูกสาวสักคน?”

หลังจากฟังอีกฝ่ายพูดจบ ต่อให้เป็นสามีภรรยากันมานาน หวังเซียงฮวาก็หน้าแดงอยู่ดี เธอกำหมัดแล้วทุบอีกฝ่ายเบา ๆ “จริงจังหน่อยได้ไหมเล่า!”

“ถ้าจริงจัง จะมีลูกสาวกี่คนดีเล่า?” ซูเหล่าต้าพูดพร้อมอุ้มภรรยาไว้ในอ้อมแขน

บทสนทนาในห้องรองไม่ต่างจากในห้องใหญ่มากนัก แต่ด้วยคำพูดไม่กี่คำก็แก้ปัญหาได้ง่ายดาย

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูเหล่าซานตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่

จากชุมชนการผลิตหงซินมาถึงในตัวอำเภอ จะมีรถแค่รอบเดียว

รถคันนี้ไม่ผ่านชุมชนการผลิตหงซิน ดังนั้นจำต้องเข้าไปในตำบลก่อน แล้วถึงจะนั่งรถต่อเข้าไปอำเภอ

ซูเหล่าซานถือแป้งทอดแห้ง ๆ แบกน้ำเต้าใส่น้ำไว้บนหลัง มุ่งหน้าออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มองดูแล้วทำให้เหลียงซิ่วรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

แต่ในใจก็ปรารถนาว่าสามีจะเอาอาหารกลับมาได้

ยามฟ้าสว่าง ทุกคนในครอบครัวนั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน

อาหารเช้าวันนี้ไม่เลวเลย น้ำไม่ใสเหมือนก่อนหน้านี้ด้วย แถมข้าวต้มก็ข้นขึ้นตั้งเยอะ

พอกินเสร็จ ก็ไปทำงาน ไปโรงเรียน ไปทำอะไรที่ติดค้างไว้ต่อ

ซูเสี่ยวเถียนไปโรงเรียนประถมในหมู่บ้านด้วย

ในหมู่บ้านมีนักเรียนชั้นประถมไม่มากนัก นักเรียนทั้งหมดประมาณสามสิบคนจากทั้งหมดห้าชั้นเรียน

ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง เด็กในชั้นเรียนนี้มีมากสุดคือสิบสองคน เป็นเด็กผู้ชายเก้าคน และเด็กผู้หญิงเพียงสามคน

รวมทุกห้องมีซูเสี่ยวเถียนที่อายุน้อยที่สุดคือเจ็ดขวบ ส่วนอายุมากที่สุดคือสิบขวบ

ในโรงเรียนมีครูสองคน เป็นครูผู้ชายที่นามสกุลอู๋ ชื่ออู๋เหยียน ส่วนอีกคนเป็นครูผู้หญิงชื่อ หลี่ซิ่วหง ทั้งคู่เป็นยุวปัญญาชนในช่วงแรก ๆ มาถึงหมู่บ้านเมื่อห้าหกปีที่แล้วได้

พวกเขาเป็นครูในโรงเรียนประถมมาห้าหกปีแล้ว เมื่อเทียบกับครูในหมู่บ้านอื่น อู๋เหยียนและหลี่ซิ่วหงอุทิศตนในหน้าที่มาก ทั้งยังคอยเป็นห่วงเรื่องเรียนของนักเรียนด้วย

ครูของซูเสี่ยวเถียนคือหลี่ซิ่วหง และเธอก็ชอบซูเสี่ยวเถียนซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนหวานและนุ่มนวล

รอบนี้ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้มาเรียนเป็นสัปดาห์ หลี่ซิ่วหงจึงสอบถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม และยัดลูกอมหนึ่งเม็ดให้ซูเสี่ยวเถียนในตอนที่คนอื่น ๆ ไม่ได้ให้ความสนใจ

ในชั้นเรียน ซูเสี่ยวเถียนดูเหมือนจะตั้งใจเรียน แต่ในความเป็นจริงแล้วกำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือของระบบห้องสมุด

ช่วยไม่ได้ ความรู้ง่าย ๆ พวกนี้น่าเบื่อเกินไป เธอเอาเวลานี้ไปตั้งใจอ่านหนังสือดีกว่า

ครั้งนี้พ่อของเธอเข้าไปในเมือง เขาจะต้องเอาตั๋วกับเงินที่มีอยู่ในบ้านไปแน่นอน ดังนั้นเธอจะต้องตั้งใจเรียนเพื่อหาเงินแล้ว

มีเพียงคุณย่าซูเท่านั้นที่แม้ว่าจะทำงานอยู่ในนาก็ไม่สบายใจอยู่ดี กลัวว่าลูกชายที่ออกไปวันนี้จะก่อปัญหาอะไรอีก

แม้กระทั่งเรื่องซุบซิบที่ผู้หญิงในหมู่บ้านชอบพูดก็ไม่ฟัง

สุดท้ายแล้ว คนแบบพวกเขาที่ซื้อของมาเยอะ ๆ ในครั้งเดียวต้องดึงดูดความสนใจอยู่แล้ว หากทำไม่ดีก็จะถูกคนมองแล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์อีก

มนุษย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ ใครจนก็ไม่สำคัญหรอก แต่ถ้าจู่ ๆ มีใครรวยขึ้นมาจะจับตามมองอย่างไม่ละสายตาเชียวล่ะ

ซูเหล่าซานกลับมาอย่างปลอดภัยในช่วงบ่าย

ตอนที่กลับมาถึง เขาหมดแรงจากความเหนื่อยล้า เหงื่อโชก ใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะแดดหรือเพราะเหนื่อยกันแน่

ตะกร้าสานใบใหญ่ที่แบกขึ้นอัดแน่นไปด้วยของ เห็นได้ชัดเลยว่ามันหนักมาก

นอกจากซูเหล่าซานแล้ว สามพี่น้องซูโส่วเวินที่กลับมาด้วยกันยังแบกของไว้บนหลังด้วย

หลังจากซูเหล่าซานลงจากรถก็พบว่าของที่ซื้อมาเยอะเกินไป และไม่สามารถแบกคนเดียวไหว

เขาตรงไปยังประตูโรงเรียนแล้วรอสามพี่น้องเพื่อกลับบ้านด้วยกัน

เด็กหนุ่มสามคนพละกำลังมหาศาล เบาแรงเขาได้เยอะจริง ๆ

ตอนที่ลุงกับหลาน ๆ กลับมาถึงคนในชุมชนการผลิต ผู้คนยังไม่เสร็จสิ้นจากการทำงาน และซูเหล่าซานกลัวว่าจะถูกคนพวกนั้นเห็นและเข้ามาสร้างปัญหา เลยจงใจใช้ถนนเส้นเล็กเดินทาง

ถ้าใครเห็นเขากลับมาพร้อมของเยอะขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร

แต่ซูเหล่าซานไม่รู้เลยว่า ตอนที่กลับมาพร้อมกับของในตะกร้ากลับถูกคนพบเห็นเข้าแล้ว