บทที่ 29 ตั๊กแตนตำข้าวและนกกระจิบ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 29 ตั๊กแตนตำข้าวและนกกระจิบ
บทที่ 29 ตั๊กแตนตำข้าวและนกกระจิบ

คนที่เห็นสี่ลุงหลานกลับมาพร้อมกับกระเป๋าเล็กและใหญ่คือคังอี้เยี่ย

คังอี้เยี่ยมาถึงที่หมู่บ้านเมื่อสองปีก่อนเพื่อทำงานก่อสร้าง เมื่อมาถึงชุมชนการผลิตหงซินก็เริ่มคิดหาทางหนีจากชีวิตขมขื่นในชนบท

เธอไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่หลังจากแอบหนีไปถึงสองครั้งก็ถูกคนในครอบครัวส่งตัวกลับมา

สถานการณ์ในครอบครัวย่ำแย่จึงไม่ง่ายเลยที่จะส่งตัวเธอมายังพื้นที่ชนบท ไม่นับที่มีคนกินข้าวน้อยลงนะ เธอยังถูกคาดหวังให้เก็บอาหารเพื่อช่วยครอบครัวไว้ที่นี่ด้วย

แล้วจะมาปล่อยให้เธอกลับไปกินแรงได้อย่างไร

หลังจากโดนจับได้ถึงสองครั้งติดกัน คังอี้เยี่ยจึงยอมรับชะตากรรมที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในชนบทที่ชุมชนการผลิต

ทว่าเธอไม่ชอบทำงานตั้งแต่เด็กแล้ว หากกลับไปในเมืองไม่ได้ก็ไม่คิดจะทำงาน

เธอต้องหาตระกูลดี ๆ ในชุมชนการผลิตเพื่อแต่งงานออกไป

ในความคิดของเธอ ตราบใดที่หาคนที่เหมาะสมได้ก็จะได้ไม่ต้องทำการทำงาน

แต่ชุมชนการผลิตหงซินยากจนเกินไป ครอบครัวที่สถานการณ์ในบ้านดี ๆ มีอยู่น้อย และไม่มีคนที่เหมาะจะแต่งงานด้วย ถ้าผู้ชายไม่แย่จนเกินไป ก็มักจะไม่ถูกใจเธอ

ครอบครัวส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ แม้แต่กินให้อิ่มยังยากเลย และคังอี้เยี่ยที่ไม่ยินยอมลำบากก็เลยไม่ชอบคนพวกนี้

เธอเลยเลือกเยอะเช่นนี้อยู่สองปี และก็ยังไม่ได้แต่งงานออกไปไหน กลับกันมันทำให้คนในชุมชนการผลิตรู้ว่าเธอเป็นคนเกียจคร้านคนหนึ่ง

หลังจากนั้นมา เธอก็ยังเดินบนเส้นทางที่จะได้รับอาหารและเงินมาอย่างง่าย ๆ ซึ่งมาจากวิธีที่ไม่ปกติบางอย่าง จึงได้รับประโยชน์อยู่บ้าง

แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว!

เธอยังคิดหาคนที่จะแต่งงานด้วย!

แต่เธอไม่ได้สนใจผู้ชายในตระกูลซูเลย หนึ่งคือตระกูลผู้ซูไม่มีคู่ครองที่เหมาะจะแต่งงานด้วย สองคือสถานการณ์ของตระกูลซูย่ำแย่มาก

ได้ยินมาว่า แม้กระทั่งกินให้อิ่มยังทำไม่ได้เลย แต่งเป็นสะใภ้ตระกูลแบบนี้จะพาไปลำบากหรือไม่?

ทว่าในช่วงสองวันที่ผ่านมา ผู้คนในชุมชนการผลิตบอกว่าตระกูลผู้ซูได้รับใบรับพัสดุ

ได้ยินมาว่ามันถูกส่งมาจากคนที่คุณปู่ซูช่วยไว้ตอนยังหนุ่ม

คนในชุมชนการผลิตยังลืออีกว่าต้องส่งของดี ๆ มาให้อีกเพียบแน่นอน!

เพราะอย่างนี้เธอจึงให้ความสำคัญกับตระกูลซูมากขึ้น

ได้ข่าวว่าวันนี้ซูเหล่าซานไม่ได้ไปทำงาน เดาว่าคงไปรับพัสดุ

ดังนั้นเธอจึงขอลาในตอนบ่ายแล้วไปเดินเล่นอยู่แถวถนนเส้นเล็กแห่งนี้ เพื่อรอให้ซูเหล่าซานกลับมา

ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น มันยังทำให้เธออีกเห็นว่าซูเหล่าซานกลับมาพร้อมกับของมากมายอย่างไร

ตะกร้าสานใบนั้นใหญ่มาก แม้ว่าจะสูงประมาณครึ่งหนึ่งของคน แต่ซูเหล่าซานที่เป็นคนแข็งแกร่งยังแบกเหนื่อยจนหอบหายใจ

เมื่อรวมกับของที่หลานชายทั้งสามถืออยู่ ดวงตาของคังอี้เยี่ยก็เป็นประกาย

เธอเริ่มคิดหาวิธีว่าจะไปแบ่งเอาอาหารจากตระกูลผู้เฒ่าซูอย่างไร

ซูเหล่าซานเป็นผู้ชายที่ร่างกายดูแข็งแกร่งคนหนึ่ง

มีคนหนึ่งจ้องซูเหล่าซาน และมีคนหนึ่งจ้องคังอี้เยี่ยด้วย

คนที่จ้องคังอี้เยี่ยไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นซูเสี่ยวฉินจากตระกูลซูที่อยู่บ้านรอง

เมื่อซูเสี่ยวฉินได้ยินว่าตระกูลผู้เฒ่าซูได้รับใบพัสดุจึงตื่นเต้นมาก แต่ก็คิดได้ว่าตอนนี้คนในครอบครัวใหญ่ไม่ชอบเธออีกแล้ว ต่อให้มีของดี ๆ พวกเขาก็จะไม่ให้เธอกินแน่นอน

ประจวบเหมาะกับเห็นสีหน้าของคังอี้เยี่ย ดังนั้นจึงคิดใช้ประโยชน์จากนาง

ต่อให้สุดท้ายแล้วเธอจะไม่ได้กินของดี ๆ แต่ถ้าสามารถทำให้คนอื่น ๆ รังเกียจซูเสี่ยวเถียนและทำให้เด็กคนนั้นไม่มีความสุขได้ เธอก็ยินดี

“พี่เยี่ย หนูได้ยินมาว่าพี่ไม่สบาย แล้วเหตุใดถึงออกมาเดินเล่นข้างนอกเล่า?” ซูเสี่ยวฉินรอให้เงาของซูเหล่าซานลับสายตาก่อน ถึงค่อยเดินเข้าไปทักทายคังอี้เยี่ย

อีกฝ่ายตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซูเสี่ยวฉิน

“เด็กคนนี้นี่ ทำไมมาไม่ให้สุ้มให้เสียงเล่า?” คังอี้เยี่ยลูบอกก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดออกมา

“พี่เยี่ย ก็หนูได้ยินมาว่าวันนี้พี่ป่วยนี่ถึงได้ถามไง” ซูเสี่ยวฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและพูดด้วยรอยยิ้ม

“อยู่บ้านแล้วอุดอู้น่ะก็เลยออกมาเดินเล่นเสียหน่อย ไม่มีอะไรหรอก” คังอี้เยี่ยไม่อยากคุยกับซูเสี่ยวฉินต่อ จึงหมุนตัวกลับหมายจะเดินจากไป

“พี่เยี่ย พี่ใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในหมู่บ้านพวกเรามันไม่ง่ายเลยนะ อย่างป้าหรูอวี่ก็มีครอบครัวที่คอยปกป้องนะ ชีวิตดีขึ้นเยอะเลย” ซูเสี่ยวฉินพูดลอย ๆ

หรูอวี่ที่ว่ากันว่าเธอเป็นคนหนุ่มสาวกลุ่มแรกที่มาถึงหมู่บ้าน พอหลายปีให้หลังเห็นว่าไม่สามารถกลับไปในเมืองได้แล้วก็พบผู้ชายที่มั่นคง และเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งปฏิบัติต่อเธออย่างดี และเขาก็สู่ขอเธอเข้าบ้าน

ตอนนี้เธอมีทั้งลูกชายลูกสาว และยังเป็นที่ชื่นชอบของสามีกับตระกูลแม่สามีด้วย เธอจึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย

คังอี้เยี่ยสถบใส่ซูเสี่ยวฉินหนึ่งที “แกเป็นแค่เด็กน้อยเอง พูดแบบนี้ไม่กลัวคนหัวเราะเยาะเอาหรือไง”

ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่กลับทำให้หัวใจของคังอี้เยี่ยสั่นไหว

แล้วก็ไม่รู้ว่าเหตุใด ร่างกายอันแข็งแรงของซูเหล่าซาน จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นภายในใจของเธอ

ซูเหล่าซานแก่ว่าเล็กน้อย และยังมีภรรยาแล้ว

ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่าซูเหล่าซานรักภรรยามากที่สุด

ผู้หญิงในชนบทส่วนใหญ่มักจะถูกสามีทุบตี มีเพียงเหลียงซิ่วเท่านั้นที่ได้รับการปกป้องจากซูเหล่าซาน

มีครั้งหนึ่งที่เหลียงซิ่วเท้าพลิกล้มไปบนพื้น ซูเหล่าซานจึงแบกเธอขึ้นหลังพากลับบ้าน

เพราะแบบนี้ จึงไม่รู้ว่ามีผู้หญิงในหมู่บ้านกี่คนที่แอบอิจฉาอยู่

พอคิดถึงตรงนี้ คังอี้เยี่ยก็รู้สึกว่าบางทีเธออาจทำบางสิ่งได้จริง ๆ!

ซูเสี่ยวฉินมองดูคังอี้เยี่ยที่จากไปพร้อมกับท่าทางครุ่นคิด ก่อนมุมปากจะปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

นี่ยังไม่พอหรอก คังอี้เยี่ยเป็นคนไร้ความสามารถ ทำได้แค่รังเกียจซูเสี่ยวเถียนเท่านั้น แต่ถ้าอยากได้ประโยชน์ด้วยก็ต้องมาหาย่าเธอเท่านั้น

ตราบใดที่เธอกลับบ้านและบอกเล่าเรื่องนี้ให้ย่าฟัง ด้วยความสามารถของย่าแล้วมักจะเอาของสักอย่างกลับบ้านมาด้วยได้

ต่อให้เอากลับมาแล้วเธอไม่ได้กิน ขอแค่ไม่เข้าปากซูเสี่ยวเถียนก็ถือว่าดีแล้ว

ซูเหล่าซานซึ่งกำลังเก็บของอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าท่าทางลึกลับของตนเองดึงดูดความสนใจของคนอื่นเสียแล้ว

“พ่อสาม เหตุใดวันนี้ถึงเอาของดี ๆ กลับมาเยอะขนาดนี้ล่ะครับ? มีคนส่งมาให้หรือ? ต้องเป็นคนมีเงินขนาดไหนถึงเอาของดี ๆ พวกนี้มาให้เราได้เนี่ย” ซูซื่อเลี่ยงพูดเจื้อยแจ้วอยู่รอบ ๆ ซูเหล่าซาน

ของในตะกร้าสานส่วนใหญ่กินได้และมีอาหารหลากหลายชนิด แน่นอนว่ามีผ้าอยู่สองผืนด้วย

เด็กหนุ่มน้ำลายสอ เขาไม่สนใจเรื่องผ้า และแววตาเต็มไปด้วยความกระหายในของกิน

“นี่คือข้าวขาวหรือเนี่ย ลุงสาม ข้าวขาวเยอะมากเลย แถมยังมีน้ำตาลทรายขาวอีก เป็นของดีจริง ๆ หวานมากเลย โอ้โห ลุงสาม เหตุใดตอนเดินมาถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะครับ นี่ยังมีเนื้อชิ้นโตอีก? เยอะกว่าเนื้อเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาอีก…”

“พี่รอง เสียงของพี่จะทำพ่อของหนูเวียนหัวแล้ว หนูก็เวียนหัวเหมือนกัน!” ในที่สุดซูเสี่ยวเถียนก็ทนพี่รองที่ส่งเสียงรบกวนยิ่งกว่านกไม่ได้

ซูซื่อเลี่ยงรีบปิดปากฉับไว

ถ้าเสียงดังจนกับพ่อสามเวียนหัวไม่เป็นไร แต่กับน้องเล็กไม่ได้เลย ย่าต้องทุบเขาแน่ ๆ เลย

แต่เขาปิดปากเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “น้องเล็ก น้องไม่อยากกินเนื้อหรือ? น้ำลายพี่จะไหลลงมาอยู่แล้ว…”

ซูเสี่ยวเถียนคิดอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่มีแค่พี่รองเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ ถ้าพี่ชายทั้งเก้าเป็นเหมือนกันคงเสียงดังตายเลย!

สถานการณ์เป็นเช่นนี้จนกระทั่งคุณย่าซูกลับมาจากนา

ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก คุณย่าซูใช้กำลังกับหลานชายอย่างรุนแรง

เธอแค่โบกไม้กวาดและขับไล่ซูซื่อเลี่ยงที่น่ารำคาญออกไป

ซูซื่อเลี่ยงที่ถูกคุณย่าซูไล่ก็ไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว เขาจึงไปหาฉือเก๋อเพื่อเรียนวาดรูป

โชคดีจริง ๆ ที่ตอนนี้เขามีครูอยู่