บทที่ 30 ศึกสะใภ้
บทที่ 30 ศึกสะใภ้

ตระกูลผู้เฒ่าซู

คุณย่าซูมองดูของต่าง ๆ ที่วางอยู่บนเตียงเตาของห้องโถง เธอตื่นเต้นจนแววตาเกือบเป็นประกาย

ในที่สุดบ้านเราก็ดีขึ้นได้ด้วยของกินเยอะแยะเหล่านี้

“ลำบากแกแล้วเหล่าซาน เดินทางรอบนี้ไม่เสียเที่ยวเลย ไม่ต้องกังวลว่าจะกินไม่พอแล้วล่ะ”

ธัญพืชฤดูร้อนยังไม่ได้เก็บเกี่ยว และอาหารของครอบครัวก็ไม่ค่อยพอแล้ว

คุณย่าซูกำลังวางแผนอาหารในแต่ละมื้อให้กับครอบครัวขนาดใหญ่ของเธออยู่ และมันไม่สามารถผสมน้ำเพื่อให้กินอิ่มได้จริง ๆ

วันนี้เหล่าซานแบกอาหารกลับมาไม่น้อยเลย และความกดดันตัวเองก็ลดลงไปมาก

“คุณแม่ครับ อาหารพวกนี้พอให้พวกเรากินได้สองสามวันเลย อดทนไม่กี่วันธัญพืชหน้าร้อนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ชีวิตครอบครัวเราในปีนี้ดีขึ้นไม่น้อยเลย” ซูเหล่าซานยิ้มซื่อ

“ที่แกต้องพูดคือขอบคุณ… ขอบคุณคนจิตใจดีที่ยังจำพระคุณของพ่อแกได้!”

คุณย่าซูเกือบพูดว่าต้องขอบคุณราชามังกรเสียแล้ว แต่โชคดีที่เธอหยุดตนเองได้ทัน

แต่ก่อนที่ซูเหล่าซานจะพูด คุณย่าซูก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งออก

ครั้นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไป จากนั้นก็รีบพูด “เหล่าซาน แกเก็บอาหารพวกนี้ไว้ในห้องเก็บของก่อน ส่วนเนื้อชิ้นนี้ใส่ไว้ชั้นใต้ดินอย่าให้ใครเห็น ยังมีน้ำตาลสองห่อและผ้าสองผืนอีก ช่างเถิด อันนี้เดี๋ยวฉันเก็บเอง…”

คุณย่าซูจัดอาหารทุกอย่างให้เป็นที่โดยไม่รอช้า

ซูเหล่าซานไม่รู้ว่า เหตุใดมารดาวัยชราถึงพูดแบบนี้ แต่ก็ยุ่งอยู่กับการบอกให้หลานชายอีกสองสามคนให้ถือของไป

คุณย่าซูไม่ลืมบอกคนในครอบครัวด้วย ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้พูดออกมา

“ถ้าปากพวกแกไม่มีหูรูดจนทำให้คนอื่นรู้แล้วเอาของดี ๆ ไป ดูเหมือนจะไม่หยุดแค่หักขาพวกแกเสียแล้ว!”

การที่บ้านของตนจะมีของกินเยอะขนาดนี้ คาดว่าต้องตกเป็นเป้าสายตาผู้คนบ้างแล้วล่ะ แถมเมื่อไม่นานมานี้ คนที่แทบจะไม่มีข้าวกินในหมู่บ้านก็มีไม่น้อยด้วย

ถึงซูเหล่าซานจะบอกว่าไม่มีคนเห็น แต่ใครจะรู้เล่า? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนเห็นมันล่ะ?

โดยเฉพาะหลิวซิ่วอิงที่เป็นพวกพูดมาก ถ้าถูกเธอพบเห็นเข้า ต่อให้ต้องแย่ง เธอก็ต้องแย่งอย่างแน่นอน

เมื่อซูเหล่าซานกลับมาถึงห้องโถงก็เห็นแม่ถือผ้าผืนหนึ่งที่กำลังพลิ้วไปมา ไม่รู้ว่าวางแผนจะทำเสื้อผ้าหรือกางเกงกันแน่

“เหล่าซาน นี่คือของที่คนอื่นเขาส่งมาให้เราหรือ? บนพัสดุเขียนว่าผู้ใดส่งมาหรือไม่?”

หลังจากหายจากอาการตื่นเต้น คุณย่าซูก็นึกถึงคำถามที่สำคัญยิ่งขึ้นได้ แม้ของพวกนี้จะหาได้ยาก แต่เมื่อรับของมาแล้วก็ต้องรู้ให้ได้ว่าใครเป็นผู้มีพระคุณ?

“คุณแม่ ยังมีจดหมายอีกฉบับ ผมเกือบลืมไปเลย!” ซูเหล่าซานรีบหยิบจดหมายยับยู่ยี่ออกจนอ้อมแขนแล้วส่งให้ผู้เป็นแม่

คุณย่าซูจ้องเขา “ไม่มีตาหรือไง? แม่แกจะรู้จักคำพวกนี้ไหมเล่า?”

หลังจากด่าลูกชายเสร็จ คุณย่าซูสั่งให้ซูซานกงเรียกคุณปู่ซูเข้ามา และให้ซูโส่วเวินอ่านจดหมาย

“ให้หลานรักของฉันอ่านเถิด เจ้าเด็กดื้อคนนี้โตแล้วแท้ ๆ แต่ยังอ่านได้ไม่น่าฟังเท่าหลานรักเสียเลย!” คุณปู่ซูมองไปที่หลานชายคนโตอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วมองซูเสี่ยวเถียนอย่างปลื้มปีติ

ซูเสี่ยวเถียนละอายใจ คุณปู่เห็นว่าพวกพี่ ๆ รักเธอมากเกินไป อยากจะให้เขาเเกลียดชังเธอหรือ?

“คุณปู่คะ ให้พี่ใหญ่อ่านเถอะค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างนุ่มนวล

คุณย่าซูยิ้ม “ตาเฒ่า ฉันรู้ว่าแกรักน้องเถียน แต่น้องเถียนเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ให้หลานคนโตอ่านเถอะ”

ซูโส่วเวินถือจดหมายแต่ไม่ได้อ่าน แต่ไม่อ่านก็ไม่ได้!

“อ่านสิ!” คุณปู่ซูขมวดคิ้ว

จากนั้นซูโส่วเวินถึงเริ่มอ่าน

เป็นจดหมายฉบับสั้น ๆ เขียนถึงตัวตนของผู้ส่ง และยังพูดอีกว่า เมื่อตอนหนุ่มได้คุณปู่ซูช่วยไว้ถึงได้มีชีวิตรอด หลังจากนั้นก็ไปเข้าร่วมกับการปฏิวัติ และตอนนี้ทำงานอยู่ที่มณฑล ถ้ามีเวลาจะมาหาคุณปู่ซูที่ชุมชนการผลิตหงซินด้วยตัวเองในอนาคต เนื้อหาในจดหมายเขียนประมาณนี้

คุณปู่ซูพูดอย่างตื่นเต้น “คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กยาจกในตอนนั้นจะประสบความสำเร็จแล้ว ชั่วชีวิตตาเฒ่าคนนี้ที่ช่วยผู้คนไว้มาก มีเพียงเด็กคนนี้เท่านั้นที่ยังคงจำพระคุณในตอนนั้นได้!”

ซูเสี่ยวเถียนตกตะลึง ทำไมเธอจำไม่ได้เลยว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในชีวิตครั้งก่อนด้วย? หรือยังเด็กเกินไปที่จะรู้เรื่อง?

แต่ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ยังมีภาพลวงตาอันนี้อยู่ ต่อไปเธอคงไม่กลัวที่จะเอาตั๋วกับเงินออกมาแล้ว

ขณะที่คนในครอบครัวกำลังสนทนาอยู่ในห้องโถง ประตูก็ถูกคนผลักให้เปิดออก

“ฉันได้ยินมาว่าบ้านพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่กำลังร่ำรวยเลย พี่สะใภ้คะ ไม่ใช่ว่าฉันพูดแทนน้องชายของท่านหรอกนะ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ตาเฒ่าบ้านฉันกับพี่ใหญ่เนี่ยก็เกิดจากแม่คนเดียวกัน พ่อคนเดียวกันเลี้ยง เวลามีอะไรดี ๆ จะลืมบ้านฉันได้อย่างไรล่ะ?” หลิวซิ่วอิงพูดตรง ๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว

คุณย่าซูแทบจะโกรธกับความไร้ยางอายของหลิวซิ่วอิงผู้นี้

“แกว่าอะไรกัน ใครบอกว่าครอบครัวฉันรวย? ไหนแกชี้ให้ฉันดูสิ ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ฉีกปากแก ไอ้ปากที่มันยื่นยาวออกมาจะใช้กินข้าวหรือกินอึกันแน่? ทำอย่างไรถึงจะดึงออกมาได้?”

ตอนที่คุณย่าซูด่าคนเธอแข็งแกร่งมาก ได้ยินว่าพวกเด็ก ๆ อายนักแต่ตนเองกลับไม่รู้ตัวเลย

ซูเสี่ยวเถียนฟังอย่างเพลิดเพลิน ย่าของเธอยังแรงดีอยู่เลย

ใช่แล้วล่ะ คนที่สามารถจัดการกับหลิวซิ่วอิงมาได้หลายปีและยังไม่แพ้ใคร ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

หลิวซิ่วอิงเป็นพวกหน้าหนา ต่อให้คุณย่าจะด่าแบบนี้ก็ยังไม่สนใจ

ด่าอยู่สองประโยคแล้วทำอะไรหรือไม่? ซูเสี่ยวฉิน ยัยเด็กที่เลี้ยงเสียข้าวสุกนั่นบอกว่าตระกูลซูมีของดี ๆ ไม่น้อยเลย ต้องเอากลับมาให้ได้สักหน่อย

“พี่สะใภ้ มันก็ไม่ใช่ของสำคัญอะไรกับพี่หรือเปล่า? ทำไมถึงไม่เต็มใจกันเล่า?”

“ถ้าอย่างนั้นไม่รวมของทั้งสองครอบครัวไว้ด้วยกันล่ะ อย่างไรเสียแกก็ใจกว้างอยู่แล้ว!” คุณย่าซูตอกกลับ

หลิวซิ่วอิงคิดแต่จะเอาเปรียบ แต่ไม่อยากขาดทุน

“พี่สะใภ้ บ้านฉันมีอะไรกันล่ะ เกือบจะตั้งหม้อไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ” หลิวซิ่วอิงเขินอาย

“จริงหรือ? ฉันจำได้ว่าอาหารที่แจกให้บ้านแกเมื่อปีก่อนไม่น้อยเลยนี่ พอดีเลยเนี่ยที่บ้านคนเยอะแต่อาหารน้อย กินหมดไปแล้วล่ะ!” คุณย่าซูยิ้มตาหยี

“อาหารอะไรกันคะ พี่สะใภ้ ฉันได้ยินมาว่าที่บ้านพี่มีน้ำตาล แล้วยังมีขนมไข่อีก! แบ่งมาให้ฉันหน่อยสิ เด็ก ๆ ที่บ้านอยากกินมากเลย” หลิวซิ่วอิงยังทำตัวหน้าด้านหน้าทน

“ไม่มี!” คุณย่าซูปฏิเสธทันที

แต่หลิวซิ่วอิงกลับหมุนตัวนั่งลงบนเตียงเตา

“โอ้โห ยังมีผ้าอีกหรือ พี่สะใภ้ แบ่งมาให้ฉันครึ่งหนึ่งสิ จินหวาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใหม่มานานแล้ว”

เมื่อเห็นผ้าผืนนั้นบนเตียงเตา ดวงตาทั้งสองของหลิวซิ่วอิงเกือบชื้นน้ำ นี่เป็นผ้าที่มีแค่คนในเมืองเท่านั้นที่มี แตกต่างจากที่พวกเขาถักทอเอง

“เอาเถิด หากไม่ใช่ว่าปีก่อน ครอบครัวของแกไม่ใช่ได้ผ้าฝ้ายมาสิบจินแล้วก็ยังแบ่งให้ฉันอีกครึ่งหนึ่งด้วยหรอกเหรอ” คุณย่าซูพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

“ผ้าฝ้ายพวกนั้นไว้ทำเสื้อผ้าให้จินหวาและอิ๋นหวา” หลิวซิ่วอิงพูดทันที “พี่สะใภ้ พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ของเด็ก ๆ ต้องแย่งมา”

“ผ้าผืนนี้ฉันเอาไว้ทำเสื้อผ้าให้น้องเถียนหลานรักกับน้องเก้า แกจะมาแย่งไปได้อย่างไร?” คุณย่าซูพูดด้วยท่าทางจริงจัง

หลิวซิ่วอิงโกรธจัด โกรธจนเนื้อตัวสั่น

นังแก่นี่ยังอยากเอาของบ้านเธอไปอีก ฝันหรือไง!

คุณย่าซูไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป เธอพูดต่ออย่างใจเย็น “อย่าคิดจะกินเฉย ๆ ด้วย คนที่ทำได้ก็มีแต่หมูกับหมาเท่านั้นละ ไม่ใช่คนสักหน่อย หลิวซิ่วอิง ถ้าแกอยากได้อะไรจากบ้านฉันก็ต้องเอาของมาแลก ฉันไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียหน่อย”

หลิวซิ่วอิงโกรธมามากพอแล้ว อีกทั้งตอนนี้ยังโดนด่าอีก แค่คิดก็รู้ว่าโกรธขนาดที่สุดท้ายก็ต้องเดินจากไปด้วยความโกรธ!

เดิมทีซูเสี่ยวฉินรอหลิวซิ่วอิงเอาของดี ๆ กลับมาบ้าน แต่คิดไม่ถึงว่ากำลังรอหลิวซิ่วอิงที่โกรธจัดกลับมาต่างหาก