ตอนที่ 26 นังสารเลวเปิดประตู

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 26 นังสารเลวเปิดประตู

“เกิดอะไรขึ้น?” ไม่ใช่ว่าถูกเจ้าเด็กนั่นวางพิษอีกหนกระมัง

“นายท่าน หนานหนานบอกว่า แค่ก หากท่านไม่คืนแมงป่องให้เขา เขาจะอดอาหารขอรับ” ครั้นโม่เสียนนึกถึงท่าทางของหนานหนานที่ลั่นวาจาอย่างชอบธรรมว่าจะตายวันเดือนปีเดียวกับแมงป่อง เส้นเลือดที่ศีรษะก็เริ่มปูดออกมา

อดอาหาร? เย่ซิวตู๋ฟังแล้วอดขำไม่ได้ “เขามีความสุขก็ดีแล้ว”

โม่เสียนเบิกตากว้าง นายท่าน ท่านจริงจังกับเด็กคนนี้จะดีจริง ๆ หรือขอรับ?

โม่เสียนอ้าปากอยากโน้มน้าวใจอีกสักสองประโยค ถึงอย่างไรแล้วก่อนที่จะออกจากห้อง สายตาที่หนานหนานมองมาด้วยความน่าสงสารจนแทบจะคุกเข่าให้เขาก็ทำให้เขาแอบทนไม่ไหว แต่เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนายท่าน คำพูดมากกว่านี้ที่มาถึงมุมปากจึงถูกกลืนกลับลงคอไป

…หนานหนาน อาขอโทษเจ้าด้วยนะ เจ้า…อดอาหารเถอะ…

โม่เสียนกระแอมเบา ๆ และเปลี่ยนท่าทางเป็นการเป็นงาน ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ระหว่างทางของหนานหนานให้ฟังไปหนึ่งรอบ

เย่ซิวตู๋พอจะนึกใบหน้าโอ้อวดของเด็กน้อยออก เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะพูดเช่นไร ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะได้เจอเด็กที่น่าสนใจเช่นนี้อีก

“เจ้าบอกว่าเขาลงจากหลังของพยัคฆ์ทมิฬ แล้วเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งหรือ?”

“ขอรับ”

เย่ซิวตู๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวเสียงทุ้มว่า “เจ้าไปตรวจสอบดูว่าในซอยนั้นมีอะไรผิดปกติ”

โม่เสียนพยักหน้า “ขอรับ”

“แล้วก็ สั่งให้คนไปเฝ้าที่โรงเตี๊ยมที่หนานหนานพักอยู่ หากมารดาของเขาปรากฏตัว รีบมารายงานทันที”

“เข้าใจแล้วขอรับ”

โม่เสียนลงไปแล้ว ภายในห้องจึงเหลือเย่ซิวตู๋เพียงลำพังอีกครั้ง ขวดที่อยู่บนโต๊ะยังคงอยู่ แมงป่องที่อยู่ในนั้นดูเหมือนจะกระวนกระวายใจ มันแกว่งร่างไปมาเพื่อมุดออกจากขวด แม้ว่าจะเป็นการเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ แต่กลับไม่ท้อถอยแม้แต่น้อย เหมือนกับเจ้าเด็กคนนั้นจริง ๆ

หนานหนานโมโหมาก ไม่เพียงแต่เสี่ยวไป๋เหอจะถูกจับตัว แต่วิธีอดข้าวอันโหดร้ายเช่นนี้ก็ใช้ข่มขู่ท่านอาคนนั้นไม่ได้ผล

เขาเป็นคนไร้หัวใจจริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเต็มใจทำร้ายอัจฉริยะตัวน้อยผู้น่ารักและงดงามที่มิอาจใช้มนุษย์มาบรรยายได้ลงคอ คอยดูเถอะ พวกเขาทั้งหมดนั่นคอยดูเถอะ หากเขาเป็นผีแล้วจะไม่ปล่อยพวกเขาแม้แต่คนเดียวเลย

หนานหนานโกรธมาก โกรธเสียจนง่วงนอน ไม่รอให้โม่เสียนกลับมา เขาก็ผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัวทันทีที่หัวถึงหมอน

โม่เสียนแทบจะคุกเข่าให้เขา เขาบอกว่าจะร่วมเป็นร่วมตายบุกและถอยไปพร้อมกับแมงป่องไม่ใช่หรือ? เสี่ยวไป๋เหอยังพยายามดิ้นรนอยู่ แต่เขาไม่เพียงแต่นอนหลับปุ๋ย แต่ยังรู้จักถอดเสื้อพับเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ข้าง ๆ ทั้งยังรู้จักล้างหน้าล้างตาบิดขี้เกียจนอนห่มผ้าห่ม ช่างไร้น้ำใจไร้คุณธรรมชัด ๆ

โม่เสียนแอบถอนหายใจ เขาคิดว่าตนเองบริสุทธิ์เกินไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเชื่อคำพูดของเด็กที่แสดงสีหน้าน่าสงสาร อดข้าวอะไรกัน เชื่อถือไม่ได้สักนิด

หนานหนานนอนหลับสบายใจเฉิบ ส่วนทางด้านอวี้ชิงลั่วกลับไม่สบายใจจนแทบทนไม่ไหว

แมงป่องออกไปครึ่งค่อนวันยังไม่กลับมา ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว นางก็ยังไม่เห็นเงาของมันกลับมา สถานที่แห่งนี้มีความซับซ้อน คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกกระมัง

อวี้ชิงลั่วไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ในวันรุ่งขึ้นจึงมีท่าทางเฉื่อยชาลงอย่างมาก

อาหารเช้าที่พ่อบ้านให้คนนำมาให้นางก็ไม่กิน ได้แต่ผลักไปด้านข้างและขึ้นไปนอนบนเตียง

การนอนครั้งนี้ทำให้ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ถึงยามสามแล้ว เลยเวลาที่นางต้องเปลี่ยนยาให้เย่ซิวตู๋แล้วด้วย

คนบางคนรออยู่ที่ตู๋เซวียนครึ่งค่อนวันแต่ก็ยังไม่เจอใคร ความอดทนที่เหลืออยู่ไม่มากจึงหายไปอย่างสมบูรณ์ เสิ่นอิงมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยจิตใจที่สั่นหวิว เขาชะโงกหน้ามองไปที่ประตูอยู่หลายหน ได้แต่อธิษฐานว่าอวี้ชิงลั่วจะรีบปรากฏตัวออกมา เพื่อไม่ให้เขาต้องติดร่างแหไปด้วย

“นายท่าน” พ่อบ้านรีบวิ่งมาและกระซิบว่า “แม่นางอวี้ยังไม่ตื่นขอรับ”

“เหอะ” เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “นางนอนเก่งดีนะ”

เสิ่นอิงกลืนน้ำลาย โน้มน้าวเสียงเบาว่า “นายท่าน แม่นางอวี้อาจจะเหนื่อย เมื่อวานนางก็ช่วยถอนพิษให้เผิงอิง ทั้งยังต้องรักษาให้นายท่านอีก นางเป็นสตรี ย่อมต้องพักผ่อนให้มาก ๆ จึงจะมีแรงน่ะขอรับ”

เขาเพิ่งพูดจบ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาแหลมคมสายหนึ่ง เสิ่นอิงตกใจเสียจนต้องรีบปิดปากให้สนิทอย่างว่าง่าย

“เจ้านี่ช่างรักหยกถนอมบุปผาเสียเหลือเกินนะ” เย่ซิวตู๋ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เย็นเยียบยิ่งกว่า

เสิ่นอิงน้ำตาร่วงอย่างเงียบ ๆ นี่เขาได้รับความขุ่นเคืองจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่หรือ? น้ำเสียงของนายท่านไยถึงมีความรู้สึกอิจฉา?

เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย และลุกขึ้นยืนในทันที “ไป ไปดูนางสักหน่อย”

“หา?” เสิ่นอิงชะงัก เขารีบเรียกพ่อบ้านและรีบตามไป ตอนนี้เขากลัวว่านายท่านกับแม่นางอวี้จะทะเลาะกันเสียเหลือเกิน นายท่านดูเหมือนจะหมดความอดทนแล้ว แม่นางอวี้เองก็ไม่มีทางยอมเสียเปรียบ เขาต้องไปดูสักหน่อย

ทั้งสามคนยืนอยู่หน้าประตูห้องอวี้ชิงลั่ว เย่ซิวตู๋มองดูประตูที่ปิดสนิท คิ้วของเขาผูกเข้าหากันอย่างห้ามไม่อยู่ ยกมือขึ้นมาทำท่าจะเคาะอยู่หลายหน แต่ก็หยุดลงอีกครั้ง เสิ่นอิงและพ่อบ้านที่อยู่ข้าง ๆ มองด้วยสายตาที่มิอาจบรรยายได้ เหตุไฉนนายท่านถึงได้เปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงเพียงนี้

“เสิ่นอิง เจ้ามาเคาะประตู” เย่ซิวตู๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง

เสิ่นอิงที่ถูกขานชื่อถึงกับหนังตากระตุก จากนั้นจึงเคาะประตูสองทีอย่างว่าง่าย “แม่นางอวี้? แม่นางอวี้? ตื่นหรือยังขอรับ?”

อันที่จริงอวี้ชิงลั่วได้ยินเสียงตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่คิดจะสนใจก็เท่านั้น นางคิดว่าพวกเขาเคาะประตูสองสามครั้งก็คงกลับไปเอง จึงนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง

เสิ่นอิงอยากหมุนกายออกไปเหลือเกิน แต่นายท่านยืนขวางอยู่ เขาอยากไปก็ไปไม่ได้อยู่ดี

หลังจากหยุดชะงักครู่หนึ่ง เขาจึงยกมือขึ้นเริ่มเคาะประตูอีกหน “แม่นางอวี้? นายท่านของเรามีเรื่องอยากพบเจ้า ตื่นหรือยัง? นี่ก็สายมากแล้วนะ”

อวี้ชิงลั่วถึงกับกลอกตามองบน ยังคงไม่สนใจอีกเช่นเคย

เย่ซิวตู๋จ้องเสิ่นอิง ราวกับไม่พอใจที่อีกฝ่ายใช้น้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยนเช่นนั้น

เขาจึงยื่นมือผลักเสิ่นอิงไปด้านข้าง ตอนที่เขากำลังยกมือขึ้น จู่ ๆ ก็มีร่างเล็ก ๆ วิ่งโซซัดโซเซเข้ามาหา

เย่ซิวตู๋ชะงัก และได้ยินเสียงโกรธเคืองของหนานหนาน “ท่านอา ข้าโกรธจริง ๆ แล้วนะ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นแขก เด็กตัวเล็ก ๆ ผิวบอบบางมีราคา ท่านไม่ให้ข้ากินไม่ให้ข้าดื่ม ท่านยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”

เสิ่นอิงหน้าถอดสี เขาคิดว่าฟ้าคงกำลังจะถล่มลงมาแล้ว เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้พุ่งเข้ามาหาตอนที่นายท่านอารมณ์ไม่ค่อยดี? เขาเงยหน้ามองโม่เสียน อีกฝ่ายก็ยักไหล่อย่างจนปัญญาเช่นกัน

หนานหนานพุ่งมาตรงหน้าเย่ซิวตู๋ หมัดเล็ก ๆ ชกเข้าที่น่องของเขาแรง ๆ และแค่นเสียง “ข้าอยากกินไก่ทอดกรอบ ๆ ข้าอยากดื่มสุราที่เคยดื่มเมื่อวันก่อน ข้าอยากกินเนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้องู และเนื้ออื่นอีกเยอะ ๆ เลย ข้าอยากกินเนื้อ…”

หน้าผากของเสิ่นอิงปรากฏเส้นสีดำสามเส้น เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนเขาเป็นสัตว์กินเนื้อเสียได้?

หนานหนานเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ไหวติง จึงเงยหน้ามอง ก็เห็นมือของเย่ซิวตู๋ที่ยกขึ้นมาเตรียมเคาะประตู เขากะพริบตาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะกะพริบตาอีกหน รีบเบือนสายตากระซิบถามเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอา พวกท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?”

เย่ซิวตู๋หันไปส่งสายตาหาเสิ่นอิง อีกฝ่ายจึงรีบอุ้มหนานหนานเพื่อพาเขาออกไป

เย่ซิวตู๋เบนสายตากลับมาอีกหน เขาเคาะที่ประตูอีกสองหน “แม่นางอวี้ เปิดประตู”

บานประตูยังคงนิ่งสนิทไม่ไหวติง

หนานหนานหมุนร่างเล็ก ๆ ราวกับงู เพียงไม่นานก็กระโดดลงมาจากตัวเสิ่นอิง เขาช้อนสายตามองเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง ก่อนจะมองด้วยสายตาดูหมิ่นอย่างเปี่ยมล้น “ท่านอา คนที่อยู่ในห้องไม่ยอมเปิดประตูหรือ ท่านนี่ไร้ประโยชน์จริง ๆ”

“…” เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว เขาไม่สนใจอีกฝ่ายและเคาะประตูต่อไป “แม่นางอวี้ เปิดประตู”

หนานหนานแสดงออกว่าตนเองทนดูไม่ไหวอีกต่อไป จึงลากเย่ซิวตู๋ให้ถอยไปด้านหลังสองสามก้าว ส่วนตนเองพุ่งตรงไปที่ด้านหน้าประตู แค่นเสียงเบากล่าวว่า “ท่านอา ท่านเคาะแบบนี้ไม่มีประโยชน์หรอก ท่านต้องเคาะแบบนี้”

หนานหนานใช้ฝ่ามือเล็ก ๆ ออกแรงทุบประตู เคาะไปพลางก็ตะโกนไปพลาง “เปิดประตู ๆ ๆ เจ้ามีปัญญาขโมยบุรุษ แน่จริงก็เปิดประตูออกมา อย่าเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ด้านในไม่พูดไม่จา ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในนั้น เจ้ามันจิ้งจอกไร้ยางอาย ฮ่า ๆ ๆ ๆ เปิดประตู ๆ ๆ นังสารเลว ๆ ๆ”

…………………………

สารจากผู้แปล

หนานหนานเอ๊ย เล่นพูดแบบนี้กับแม่ก็เตรียมตัวอดข้าวของจริงได้เลยค่ะ

สงสารบริวารของนายท่านเย่เหลือเกิน เหมือนเป็นสนามอารมณ์ของสองสามคนนี้

ไหหม่า (海馬)