ตอนที่ 27 โยนความผิดให้คนอื่นแบบโจ่งแจ้ง
เย่ซิวตู๋ผู้นิ่งสงบมาโดยตลอดพลันเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง ส่วนเสิ่นอิง โม่เสียนและพ่อบ้านต่างตกใจเสียจนคางแทบแตะพื้น วิธีเปิดประตูเช่นนี้…ก็ได้ด้วยหรือ?
นี่มัน แม่นางอวี้ที่อยู่ในห้องจะโกรธเจียนตายหรือไม่? เจ้าเด็กนี่อีกเดี๋ยวอย่าเจอกับความทุกข์ทรมานก็แล้วกัน
เย่ซิวตู๋ได้สติกลับมาเป็นคนแรก เขาขมวดคิ้วและตะโกนบอกเสิ่นอิงว่า “รีบพาตัวเขาไป”
พูดเช่นนี้กับแม่นางคนหนึ่ง เขาพอจะจินตนาการได้เลยว่าจุดจบของหนานหนานจะเป็นเช่นไร
เสิ่นอิงดึงสติกลับคืนมา เขาย่อตัวลงเพื่ออุ้มหนานหนานออกไป
เสียง ‘แอ๊ด’ ดังขึ้น ประตูห้องกลับถูกคนที่อยู่ด้านในเปิดออกในเวลานี้
หนานหนานยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น ก็หันไปพูดกับเย่ซิวตู๋ด้วยความตื่นเต้น “เห็นไหม เปิดประตูแล้ว”
สี่คนที่เหลือที่อยู่นอกประตูถึงกับศีรษะแข็งทื่อ หันมองอวี้ชิงลั่วเงียบ ๆ
อีกฝ่ายหลุบตามองเด็กเล็กอย่างเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้หัวใจของคนฟังแทบหยุดเต้น คนที่นี่ไม่มีใครกล้าขยับตัวขณะได้ยินนางเปล่งเสียงสามพยางค์ผ่านไรฟันทีละคำ
“อวี้ฉิงหนาน!!!”
“เสียงนี้มัน… คุ้นหูจังแฮะ” หนานหนานยิ้มด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว มือเล็ก ๆ ดึงกลับมาอย่างกระสับกระส่าย ร่างเล็ก ๆ สั่นเทิ้มไม่เหลือความทะเยอทะยานใด ๆ
อวี้ชิงลั่วใช้มือจับคอเสื้อของเขาจากด้านหลัง “ไหนเจ้าลองพูดคำพูดเมื่อครู่ใหม่อีกครั้งซิ”
“เฮือก…” หนานหนานสูดลมเย็นเข้าปอดอย่างหนัก ครั้นหันหน้ากลับมาอย่างอ่อนแรง ก็พบอวี้ชิงลั่วในเวลาอันรวดเร็ว ดวงตาของเขาเบิกกว้างโดยมิอาจควบคุมได้ ริมฝีปากเริ่มสั่นระริก ผ่านไปนานกว่าจะเปล่งเสียงตะกุกตะกักผ่านปากเล็ก ๆ สีชมพูนั้น
“ท่าน…ท่านแม่!!!”
ท่านแม่?
เสิ่นอิงและพ่อบ้านแทบยืนไม่อยู่จนเกือบล้มไปกองที่พื้น แม้โม่เสียนจะไม่เคยเห็นหน้าอวี้ชิงลั่ว แต่เขาก็เคยได้ยินเรื่องของนางมาก่อน บัดนี้รูม่านตาหดเล็กลงอย่างต่อเนื่องแล้ว
เพียงแต่ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ คนที่เขาตามหาครึ่งค่อนวัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะเหมือนไกลสุดขอบฟ้า แต่ใกล้อยู่แค่ตา
ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีแค่เย่ซิวตู๋เท่านั้นที่ถึงกับคิ้วขมวดอย่างห้ามไม่อยู่ นางเป็นแม่คนแล้วหรือ? ทั้งยังมีบุตรชายโตขนาดนี้แล้ว?
จู่ ๆ เส้นขาด ๆ ในสมองของเขาก็ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย สายตาล้ำลึกมองไปที่ดวงหน้าของอวี้ชิงลั่ว และมีร่องรอยการพินิจพิเคราะห์อยู่ในนั้น
เสิ่นอิงยังไม่กล้าเชื่อ จนกระทั่งขาทั้งสองข้างของเขาไม่อ่อนยวบแล้ว จึงรวบรวมความกล้าก้าวเท้ามาข้างหน้า ถามด้วยคำพูดประจบเสียงเบา “แม่…แม่นางอวี้ หนานหนาน…หนานหนานคือบุตรชายของเจ้าหรือ?”
อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเบา ๆ สายตาที่ค่อนข้างซับซ้อนรีบกวาดไปที่ร่างของเย่ซิวตู๋ปราดหนึ่ง แม้ว่าจะรวดเร็ว แต่ก็ถูกเขาจับได้ เพียงชั่วพริบตา คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น
โม่เสียนก็รู้สึกฉงน สายตาจึงเบนไปทางหนานหนาน
เจ้าเด็กคนนี้ดูเหมือนจะตกใจจนสติหลุดไปแล้ว น้ำตาของเขาไหลลงมาในเวลาอันรวดเร็ว ศีรษะก็ก้มลงไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
มุมปากโม่เสียนกระตุกวูบ เป็นเรื่องยากที่รวมท่าทางของเขาในตอนนี้กับช่วงเวลาสองวันที่ทำตัวไม่มีขื่อไม่มีแปรวมเข้าด้วยกัน
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูถูกปิดอย่างแรง
เพียงแต่ครั้งนี้ คนที่ถูกพาเข้าไปด้วยยังมีหนานหนานที่เมื่อครู่เพิ่งแสดงท่าทีเย่อหยิ่งจองหอง
คนอื่น ๆ ที่อยู่นอกประตูหันสบตากัน ช่างเป็นความจริงที่มิอาจยอมรับได้เสียจริง
เสิ่นอิงวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเย่ซิวตู๋สองสามก้าว พลางกระซิบเสียงเบา “นาย นายท่าน นี่ นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว แม่นางอวี้ดูเหมือนคนอายุไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดด้วยซ้ำ หนานหนานอายุห้าขวบแล้ว แม่…แม่นางอวี้คนนี้คงไม่ใช่ว่ามีลูกตั้งแต่สิบสองสิบสามปีหรอกกระมัง”
“นั่นสิ พวกเราออกตามหาข้างนอกตั้งครึ่งค่อนวัน คิดไม่ถึงเลย ว่านางจะอยู่ในจวนโม่ของเรา” โม่เสียนกุมขมับ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ยังเป็นความจริงที่รับได้ยาก
เย่ซิวตู๋เม้มปาก เขาเพียงแค่มองประตูห้องบานนั้นไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เสิ่นอิงถอนหายใจลากยาว แอบรู้สึกตงิดในใจ “แม่…แม่นางอวี้เป็นมารดาของหนานหนานจริง ๆ ไยข้าถึงรู้สึกว่า…นายท่าน ท่านคิดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาอาจจะไม่ใช่แม่ลูกแท้ ๆ อาจจะ…อาจจะเก็บมาเลี้ยงก็เป็นได้นะขอรับ?”
เย่ซิวตู๋มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เก็บมาเลี้ยง? มีความเป็นไปได้จริง ๆ ที่จะเป็นเช่นนี้ อายุของแม่นางอวี้ดูไม่คล้ายกับคนที่มีลูกโตขนาดนี้
โม่เสียนพยักหน้า “ข้าเองก็คิดว่า…”
เสียงของเขายังพูดไม่ทันจบ ในห้องก็มีเสียงร้องไห้ฟูมฟายดังออกมา
“ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว ฮือออออ ท่านแม่ ท่านอย่าทิ้งข้านะ ท่านแม่ ข้าไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในห้องคือท่าน เมื่อครู่ข้าก็แค่พูดจาเหลวไหล ฮือออ ท่านแม่”
คนที่อยู่ด้านนอกร่างตัวสั่นวูบ ถึงกับใจเต้นแรงเพราะเสียงร้องจะเป็นจะตายนี้
หนานหนานที่อยู่ในห้องคุกเข่าลงบนพื้น มือทั้งสองข้างออกแรงกอดต้นขาของอวี้ชิงลั่ว ทั้งยังออกแรงใช้หน้าเล็ก ๆ ถูที่กระโปรงจนน้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของนาง
“ท่านแม่ ท่านเป็นผู้ใหญ่มีความใจกว้าง อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับความไร้มารยาทเช่นนี้ของข้าเลย ท่านก็รู้ว่าคำพูดของข้ามันไร้สมอง ท่านเองก็รู้ว่านิสัยของข้าเหมือนท่านพ่อ มิอาจเทียบท่านแม่ที่มีความเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่องและน่ารักได้”
อวี้ชิงลั่วมุมปากกระตุก นิสัยไร้สมองเหมือนท่านพ่อ? หลังจากที่นางและเย่ซิวตู๋ได้ไปมาหาสู่กัน เหตุไฉนนางถึงรู้สึกว่านิสัยนี้เหมือนนางล่ะ?
เสิ่นอิงและโม่เสียนที่อยู่นอกประตูหันมาสบตากัน พูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ไม่ใช่แม่ลูกแท้ ๆ แน่นอน”
จะมีมารดาแท้ ๆ ที่ไหนปฏิบัติกับบุตรชายของตนเองเช่นนี้ ทำให้ร้องไห้ขนาดนี้? ดูสิไม่มีคำพูดปลอบใจสักคำ
“ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านมาก ห่างจากท่านแม่ไปไม่กี่วัน ข้าไม่ได้กินของดี ๆ ไม่ได้นอนหลับเต็มตื่นจนร่างกายซูบผอม ท่านแม่ลูบดูสิ เนื้อที่แก้มน้อย ๆ ของข้าตอบลงตั้งเยอะเลยใช่หรือไม่?” หนานหนานกอดต้นขาของอวี้ชิงลั่วด้วยท่าทางน่าเวทนา ครั้นเห็นว่าท่านแม่เอาแต่ทำหน้าตาเคร่งเครียดไม่พูดไม่จา ภายในใจก็เริ่มเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
โม่เสียนอดมุมปากกระตุกวูบอีกสองหนมิได้ พูดโกหกแบบไม่ลืมหูลืมตา เป็นเช่นนี้นี่เอง
อวี้ชิงลั่วอดทนอดกลั้น ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว นางจับหนานหนานให้ลุกขึ้น…และย้ายไปยืนข้าง ๆ จากนั้นก็มองชายกระโปรงที่ยับยู่ยี่เพราะถูกเขาใช้หน้าถูไถไปมาด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะหันมาถลึงตามองเขา “อวี้ฉิงหนาน วันนั้นแม่พูดกับเจ้าว่าอย่างไร?”
หนานหนานเม้มปาก ออกแรงกะพริบตากลมโตสองครั้ง ก่อนตอบเสียงเบา “ท่านแม่บอกให้ข้ารออยู่ที่นั่น”
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
“พูดถึงเรื่องนี้ ท่านแม่ นี่มิใช่ความผิดของข้าจริง ๆ นะ” หนานหนานราวกับถูกผีเข้าสิง เขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างเร่งรีบ เดินไปเลื่อนเก้าอี้เล็ก ๆ มานั่งด้วยตนเอง ก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านแม่ เรื่องนี้ต้องโทษท่านอาโม่ ข้านั่งอยู่บนคานดี ๆ ท่านอาโม่คนนั้นคิดจะวิ่งยังพอทน แต่ยังทำให้ข้าต้องวิ่งหนีไปด้วย ท่านว่าเขาคงว่างมากกระมัง ถึงได้ใช้ข้าเป็นโล่กันลูกธนู?”
โม่เสียนที่อยู่หน้าประตูตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว สายตาของเขาประสานเข้ากับเสิ่นอิงที่มองด้วยความเห็นอกเห็นใจ ขณะที่ตนเกิดความคิดอยากลากหนานหนานออกมาตบแรง ๆ สักฉาด
ขอร้องล่ะ เขายืนอยู่ข้างนอกห้อง โยนความผิดให้คนอื่นแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้ เคยคิดถึงความรู้สึกของเขาบ้างหรือไม่?
………………………
สารจากผู้แปล
เตรียมโดนหม่าม้าลงโทษเลยจ้าเจ้าเด็ก โทษฐานพูดแรงขนาดนั้น
สงสารโม่เสียน อยู่ดี ๆ ก็โดนโยนความผิดมาให้แบบงงๆ จบงานนี้ไปไหว้พระเก้าวัดนะคะ
ไหหม่า (海馬)