บทที่ 39 ไล่ออกจากสำนัก

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเพียงหัวเราะออกมาเล็กน้อย แสงแดดค่อยๆ ย้อมดวงตาของนาง  

หยวนหมิงบ่นเสียงดังว่า “พี่น้องทั้งสองของเจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก ถึงได้คิดที่จะใช้ผึ้งพิษมาทำร้ายเจ้าเช่นนี้ แต่พวกนางก็ได้รับผลกรรมตอบแทนอย่างสาสมแล้ว ก็ถือเสียว่าได้เห็นความไร้ยางอายของพวกนางไปก็แล้วกัน เจ้าพวกที่ยังหลงเชื่อนิสัยของคนโง่เขลาเช่นนี้ได้นั้นล้วนแต่ไร้สมองสิ้นดี!” 

แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ย่อมไม่ได้ยินสิ่งที่หยวนหมิงพูด นางยื่นมือออกไปพยุงเฮ่อเหลียนเหมยที่บาดเจ็บสาหัส แล้วร้องไห้ฟูมฟาย จนคนที่เห็นต่างก็รู้สึกปวดใจไปตามๆ กัน “พี่ใหญ่ ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ ข้ากับน้องสามยอมให้ท่านได้ทำตามใจอยู่เสมอ ท่านกลั่นแกล้งข้า ข้าก็ไม่เคยว่าอะไร เพราะไม่ว่าอย่างไรในร่างของท่านก็มีสายเลือดของตระกูลเฮ่อเหลียนไหลเวียนอยู่ แต่เรื่องเช่นนี้ไม่อาจมองข้ามไปได้ ในโลกนี้พวกเราต้องทำตามกฏหมายบ้านเมืองที่องค์ฮ่องเต้ทรงบัญญัติเอาไว้นะเจ้าคะ!” 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางอย่างเย็นชา นางเอามือกอดอก มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าน้องรองกับข้าจะเห็นตรงกัน เรื่องนี้ไม่อาจมองข้ามได้จริงๆ” 

หากวันนี้เปลี่ยนจากนางเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้แทนนางคงไม่แคล้วถูกคนทั้งสองใส่ร้ายป้ายสีเป็นแน่ คำพูดของคนเรานั้นน่ากลัวนัก แค่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ใช้เพียงคำเดียวก็ล่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตกหลุมพรางของนางได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ไม่รู้ว่าจะหาหลักการหรือเหตุผลมาโต้แย้งได้อย่างไร 

แต่นางไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนที่จะยอมปล่อยให้พวกนางมาใส่ร้ายตัวเองได้ อยากให้นางชดใช้หรือ เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์น่ะรึ กลยุทธ์ของนางยังอ่อนหัดนัก! 

ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นใบหน้าอันไม่ทุกข์ร้อนของเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมาในใจ 

แต่เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่เชื่อว่านังคนไร้ค่าคนนี้จะยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาได้! 

ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน แล้วนางจะทำอะไรได้หรือ 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์หัวเราะเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่ใบหน้าภายนอกของนางดูราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน [1] “ข้ารู้ว่าท่านคงไม่สนใจที่ข้าพูดหรอกเจ้าหรอกค่ะ ต่อให้ข้าอธิบายอีกสักกี่ครั้ง สุดท้ายท่านพี่ก็คงคิดที่จะหาเรื่องข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมู่หรงซื่อจื่ออยู่ดี ข้าทนได้ทุกอย่างเจ้าค่ะ แต่พี่ใหญ่ น้องสามยังเด็กนัก นางจะทนพี่ใหญ่ได้อย่างไร ท่านไม่มีหัวใจหรือเจ้าคะ” 

ยิ่งพูดเท่าไหร่ นางก็ยิ่งดูโศกเศร้าขึ้นเท่านั้น นางพูดจาโน้มน้าวจนกระทั่งทุกคนยังรู้สึกสะเทือนใจไปกับนาง น้ำตาของนางร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสายเหมือนสร้อยลูกปัดที่สายขาด นางแสดงได้ดีทีเดียว เพราะภาพนั้นทำให้บรรดาหนุ่มๆ ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็อดที่จะลุกขึ้นมาปกป้องนางไม่ได้! 

“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องความบ้าผู้ชาย และความไร้เหตุผลของคุณหนูผู้นี้มาก่อน แต่พอได้มาเห็นนางในวันนี้ ก็ยิ่งทำให้ข้าเชื่อ นางทำตัวไร้ยางอายยิ่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก ต่อให้มีคนยกนางให้ข้า ข้าก็คงไม่อยากได้ผู้หญิงนิสัยเช่นนี้แน่ ไม่แปลกใจเลยที่มู่หรงซื่อจื่อจะทนนางไม่ไหว!” 

“อย่าพูดแบบนั้นสิ นางทำถึงขนาดนี้ก็มิใช่เพื่อมู่หรงซื่อจื่อหรือ” 

“นั่นก็ต้องดูด้วยว่ามู่หรงซื่อจื่อต้องการให้นางทำเช่นนั้นหรือเปล่า!” 

เมื่อได้ยินดังนั้น การเคลื่อนไหวของมู่หรงฉางเฟิงก็ชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าอันเย็นชาของเขาหันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวย “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าเจ้าควรหยุดทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้เสียที แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่เคยฟังคำพูดของข้าเลย ครั้งนี้ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่!” 

หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้พูดครั้งที่แล้ว เขาก็คิดว่านางคงยอมแพ้เรื่องเขาไปแล้ว 

แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ คำพูดในตอนนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับของนางอย่างแท้จริง 

แต่เขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าความโหดเหี้ยมอำมหิตของนางจะเพิ่มมากขึ้นก็เพราะเขา! 

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงฉางเฟิง ดวงตาของเฮ่อเหลียนเหมยที่ถูกผึ้งพิษต่อยในตอนแรกก็เป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย โชคดีที่พี่รองลงมือได้รวดเร็ว นางถึงไม่ต้องเจ็บตัวเปล่า อย่างไรเสียนางก็เป็นคนเลี้ยงผึ้งพิษมากับมือ ตอนที่ไม่มีใครอยู่ นางค่อยดึงพลังปราณของตนกลับมาก็ยังได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำให้นังคนชั้นต่ำคนนี้ได้พบจุดจบเสียที! 

ถึงนางจะชนะการประลอง แต่แล้วอย่างไรเล่า นางก็ยังถูกคนทั้งโลกเกลียดขี้หน้าอยู่ดี! 

ฮ่าๆ คุณหนูไร้ค่าตัวน้อยๆ ที่สูญเสียอำนาจบารมีไปอย่างนางกล้ามาสู้กับพวกนางหรือ ช่างไร้หัวคิดยิ่งนัก! 

“ใช่แล้ว นางไม่ควรรอดตัวไปได้ง่ายๆ!” 

“คนเช่นนี้ไม่สมควรที่จะอยู่ในสำนักไท่ไป๋!” 

“ขับไล่นางออกไป! ไล่นางออกไป!” 

ในเวลานี้ บรรดาลูกศิษย์ต่างก็เริ่มพูดตามกันทีละคนสองคน ทุกเสียงล้วนแต่พุ่งเป้าไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย 

มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้น สีหน้าท่าทางของแต่ละคนดูดุร้ายป่าเถื่อน ราวกับต้องการกลืนนางเข้าไปทั้งตัว ดูเหมือนว่านางจะไม่เป็นที่รักของพวกเขาจริงๆ เพราะนางสามารถทำให้พวกเขาสามัคคีกลมเกลียวกันได้ถึงเพียงนี้เชียว 

ชายชราที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ด้านหนึ่งรู้สึกกังวลใจยิ่งนัก เขาอยากเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะช่วยนางอย่างไร 

เขาไม่เชื่อว่าลูกศิษย์ของเขาจะใช้ผึ้งพิษไปต่อยใคร 

นังหนูคนนี้เป็นคนสุขุมรอบคอบ ดังนั้นนางไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้แน่! 

แต่… ร่างของผึ้งพิษก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลูกศิษย์ของเขาหมดทางตอบโต้ 

เขากลัวจับใจ กลัวว่าคนพวกนี้จะขับไล่คนออกไปได้ตามอำเภอใจ 

แต่ว่ามันจะเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ 

เฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่มีทางตอบโต้จริงๆ หรือ 

แน่นอนว่าไม่! 

สาเหตุที่นางไม่พูดนั้นไม่ใช่เพราะนางกำลังสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปอยู่ แต่เป็นเพราะนางกำลังใช้ความคิดต่างหาก แน่นอนว่านางไม่อยากเสียแรงอธิบายโดยเปล่าประโยชน์ 

เพราะการมีอยู่ของหยวนหมิงนั้นไม่สามารถบอกใครได้ และคงไม่มีใครเชื่อว่าเฮ่อเหลียนเหมยจะเป็นคนที่ปล่อยผึ้งพิษออกมาต่อยตัวเองแน่ 

ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาพูด สู้นางเอาหลักฐานมาโยนให้พวกเขาดูเลยจะดีกว่า 

นางเชื่อว่าหลักฐาน… จะต้องอยู่บนร่างของเฮ่อเหลียนเหมยนั่นเอง! 

และเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ยังไม่รู้เรื่องนั้น นางยื่นมือออกไปขวางมู่หรงฉางเฟิงเอาไว้ “ซื่อจื่อเจ้าคะ ครั้งนี้ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า ท่านปล่อยพี่ใหญ่ไปได้หรือเปล่าเจ้าคะ แค่นางยอมคุกเข่ารินน้ำชาขอโทษน้องสาม เช่นนั้นเราก็ทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเสียก็ได้ อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าทนเห็นนางถูกไล่ออกไปเช่นนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” 

หลังนางพูดจบ ดวงตาของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็หลุบลงต่ำ ขนตายาวงอนของนางปิดบังความพอใจที่ทะลักออกมาเอาไว้ 

นางไม่มีทางลืมเรื่องที่นังคนชั้นต่ำนี่เกือบจะทำให้นางต้องคุกเข่าขอขมานางเมื่อสองสามวันก่อนไปได้ ตอนนี้นางจะเอาคืนให้สาสม! 

“คุณหนูเจียวเอ๋อร์ เจ้าใจดีเกินไปแล้ว ผู้หญิงใจร้ายเช่นนี้ไม่คู่ควรกับความสงสารของเจ้าหรอก ครั้งนี้อย่าโทษว่ามู่หรงซื่อจื่อไม่ยกโทษให้นางเลย แม้แต่พวกข้าก็ทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้!” ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านเจ้าสำนักก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเราแค่ต้องรวมตัวกันไปขอให้เขาขับไล่นางออกจากสำนักก็พอ!” 

ต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทำตัวเหลือรับเช่นนี้ ย่อมทำให้ทุกคนสูญเสียความเยือกเย็น และรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยทีเดียว 

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับทำเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเล่นกับใบไม้ในมืออย่างใจลอย “คนที่ปล่อยผึ้งพิษออกมาคือคนที่จะต้องออกจากสำนักใช่หรือเปล่า” 

ไกลออกไป ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังคิดจะปรากฏตัวพลันได้ยินคำพูดของนางเข้าเสียก่อน เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนเวที ดวงตาอันล้ำลึกที่ตกอยู่ในภวังค์ของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา 

ในตอนนั้นเองที่ตู๋ซูเฟิงกับคนอื่นๆ รีบรุดขึ้นไปบนเวที โดยมีเด็กชายหัวโล้นถือซาลาเปาอยู่ข้างๆ 

“ใครเป็นคนปล่อยผึ้งตัวนี้ออกมา” ตู๋ซูเฟิงมองผึ้งพิษที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาที่เฉียบคมราวกับสามารถมองทุกคนออกอย่างทะลุปรุโปร่งคู่นั้นเคลื่อนผ่านพวกนางไปทีละคน สายตาโกรธเกรี้ยวของเขาทำให้คนที่ถูกมองแทบหายใจไม่ออก เขาไม่เคยคิดเลยว่าที่สำนักไท่ไป๋แห่งนี้จะมีคนไร้สำนึกขนาดกล้าใช้พิษชนิดนี้อยู่ด้วย! 

เฮ่อเหลียนเหมยร้องไห้คร่ำครวญ “ท่านเจ้าสำนัก ท่านต้องจัดการแทนข้านะเจ้าคะ ข้าเพียงพูดกับพี่ใหญ่แค่ไม่กี่คำ บอกให้นางเลิกวิ่งไล่ตามมู่หรงซื่อจื่อเสียที แล้วจากนั้นนางก็ปล่อยผึ้งพิษมาต่อยข้าเจ้าค่ะ!” 

ตู๋ซูเฟิงรับฟังอย่างใจเย็น แต่ทันใดนั้นเขาก็จ้องเฮ่อเหลียนเหมยอย่างดุร้าย “เป็นเช่นนี้จริงหรือ” 

เฮ่อเหลียนเหมยที่ถูกมองกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริง แต่นางก็ยังยืนยันคำพูดของตัวเอง “จริงเจ้าค่ะ!” 

“ท่านเจ้าสำนัก เมื่อครู่พวกเราทุกคนต่างก็มองดูอยู่ข้างสนามนี่ คนที่กระทำการอันน่ารังเกียจเช่นนี้ลงไป จะต้องเป็นศิษย์ใหม่จากหอสามัญไม่ผิดแน่! ต่อให้นางจะชนะ แต่พฤติกรรมของนางก็ไม่อาจยอมรับได้ สมควรที่จะต้องได้รับโทษอย่างรุนแรง!” บรรดาอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างสนามกล่าวเสริมขึ้น ในน้ำเสียงของพวกเขามีความโกรธปะปนอยู่! 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เล่นตามน้ำ แล้วคว้าไหล่ของเฮ่อเหลียนเหมยเพื่อปลอบให้นางหยุดร้องไห้ น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ทำผิดเพราะความวู่วามเพียงชั่วขณะ ส่วนน้องสามกับข้าก็เพียงแค่ต้องการป้องกันตัวเท่านั้นเจ้าค่ะ” 

คำพูดนั้นฟังดูเหมือนว่านางกำลังขอความเมตตาให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่อันที่จริงมันเป็นการปิดกั้นทางหนีของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ต่างหาก ต่อให้ตู๋ซูเฟิงต้องการจะช่วยเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย… 

……………………………………………………………………………………………………………… 

[1] ดอกสาลี่ต้องหยาดฝน (梨花带雨) เป็นการเปรียบเทียบดอกสาลี่กับใบหน้าของสตรีว่าในยามร้องไห้ก็ยังดูงดงาม